ห้องตรวจตา...ชั้น 5 อาคารเฉลิมพระเกียรติ

Blogนี้ผมตั้งใจทำขึ้นเพื่อตอบแทนสดุดีนโยบายบัตรทองประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรคของรัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร
จะรีบไปไหน...จะรีบไปไหน...รอโหลดซักกะเดี๋ยวซิครับ คลิก...นโยบาย"ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ"

* ขอขอบคุณที่ติดตามรับชมและช่วยประชาสัมพันธ์ลิงค์ http://eye009.blogspot.com/ ให้แพร่หลาย *
@ ปู้นนน...!!! คนเมืองใต้เจียงใหม่ของหมู่เฮาลงไปตางปู๊นนน..... * * * * * @ 2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย . . . ร่วมด้วยช่วยกันเผยแพร่สื่อสารถึง"คนเสื้อแดง"ทั่วไทยและทั่วโลก . . . ขอขอบพระคุณเจ้าของclipภาพถ่ายและบทความทุกๆท่านที่กรุณาเอื้อเฟื้อแบ่งปัน . . .น้ำใจซื้อขายไม่ได้ แต่น้ำใจให้กันได้...อิอิ


PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับส่วนต่างๆและระบบการทำงานของดวงตา, โรคตาต่างๆ และวิธีการดูแลรักษาดวงตาอย่างถูกต้องที่สามารถปฏิบัติตามในเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง... ขอขอบคุณ www.knowledge.com

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

22 บริหารตา...คลายเมื่อยล้า


บริหารตา...คลายเมื่อยล้า
By: Lisaguru

การมีสายตาที่ดีย่อมส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ในยุคโลกาภิวัฒน์ทำให้ผู้คนต้องใช้สายตากันมากขึ้น เช่น ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ เล่นเกม ส่ง SMS ล้วนส่งผลให้กล้ามเนื้อตาเมื่อยล้าปวดเมื่อยตา

ท่าบริหารตา

1. นั่งสบายๆบนเก้าอี้ ตามองที่ปลายจมูกโดยไม่เหลือบไปที่ใดและไม่กะพริบตา นับหนึ่งถึงสิบ จากนั้น ปิดตาเพื่อผ่อนคลาย ทำซ้ำ 5 ครั้ง

2. ศีรษะตั้งตรง มองตรงไปข้างหน้าสองตาเหลือบมองไปที่ไหล่ขวาโดยไม่ขยับศีรษะตาม นับหนึ่งถึงสิบ จากนั้น ปิดตาเพื่อผ่อนคลาย ทำข้างซ้ายเหมือนข้างขวา ทำซ้ำข้างละ 5 ครั้ง

3. จินตนาการว่าคุณกำลังมองนาฬิกาเรือนใหญ่ โฟกัสตาไปที่ศูนย์กลางของนาฬิกา ศีรษะไม่ขยับ ตาไล่มองตามเข็มนาฬิกา นับหนึ่งถึงสิบ ผ่อนคลายแล้วมองไปที่ศูนย์กลางของนาฬิกาใหม่ตามองไล่ทวนเลขนาฬิกาอีกครั้ง นับหนึ่งถึงสิบ ทำซ้ำ 10 ครั้ง

4. นั่งห่างจากหน้าต่างประมาณ 200 มิลลิเมตร หรือ 6 นิ้ว โดยการทำเครื่องหมายที่กระจกหน้าต่างไว้ในระดับสายตา อาจใช้สติ๊กเกอร์สีแดงหรือสีดำก็ได้ และให้คุณมองเหนือเครื่องหมายที่ทำไว้ ตาโฟกัสไปที่ใดที่หนึ่งแล้วนับ 1 ถึง 15 จากนั้น ละสายตามองไปที่เครื่องหมายทำซ้ำ 5 ครั้ง

5. ถือปากกาไว้ในมือ ยื่นแขนที่ถือปากกาไปข้างหน้าจนสุดแขน แล้วค่อยๆถือปากกาเข้ามาจ่อที่จมูกช้าๆ ตาโฟกัสที่ปากกาเท่านั้น จากนั้น ยื่นแขนที่ถือปากกาไปจนสุดแขนอีกครั้ง ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง

6. นั่งสบายๆ แล้วกลอกลูกตาตามเข็มนาฬิกา 5 ครั้ง จากนั้น ทวนเข็มนาฬิกาอีก 5 ครั้ง

7. ปิดตาแน่นๆ นับ 1-5 จากนั้น เบิ่งตาให้กว้างที่สุด นับ 1-5 ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง

8. ปิดตาสบายๆ จากนั้น ใช้ปลายนิ้ว 3 นิ้วนวดตาเบาๆเป็นวงกลมอย่างระมัดระวังประมาณ 1-2 นาที

9. เปิดตาและมองไปข้างหน้าเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมายประมาณ 2-3 นาที ซึ่งทำได้ทุกวันโดยเฉพาะเมื่อคุณต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์


วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

21 น้ำตา


น้ำตา
โดย... นพ.วิเชียร ดิลกสัมพันธ์ และ นพ.ชูศักดิ์ เวชแพศย์ สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 8 อวัยวะรับความรู้สึกพิเศษ

น้ำตา คือ น้ำ หรือ สารคัดหลั่ง ที่มีหน้าที่หล่อเลี้ยงดวงตาให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ น้ำที่หล่อเลี้ยงดวงตานี้หลั่งมาจากต่อมน้ำตา หนังตา และเยื่อบุตา ตลอดเวลาในปริมาณเล็กน้อย จนไม่สังเกตว่ามีน้ำตา แต่เมื่อเวลาที่เกิดอารมณ์ดีใจ เสียใจ หรือมีสิ่งแปลกปลอมทำให้ระคายเคืองตา จะมีน้ำหลั่งมาจากต่อมน้ำตาในปริมาณมากพอให้เห็นได้ บางครั้งอาจมีลักษณะของตาแดง บวมช้ำ ร่วมด้วย

ส่วนประกอบของน้ำตา

น้ำตาประกอบด้วย น้ำ และ สารต่างๆ ที่เป็นเสมือนอาหารให้เซลล์ผิวดวงตา ช่วยให้ผิวดวงตาแข็งแรง เช่น ออกซิเจน โดยปกติ กระจกตา เป็นอวัยวะที่ไม่มีเลือดมาเลี้ยงเหมือนกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ ในดวงตา จึงต้องการออกซิเจนจากอากาศและน้ำตาเป็นหลัก นอกจากนี้ น้ำตา ยังมีสารอีเล็กโทรไลต์และวิตามินต่างๆ เช่น วิตามินเอ วิตามินอี มีสารต้านจุลชีพ (antimicrobial) และสารต้านอนุมูลอิสระ (anti-oxidant) ที่จำเป็นต่อการคงสภาพที่ปกติของผิวดวงตา

ในภาวะปกติ น้ำตาสร้างมาจากต่อมน้ำตา ต่อมภายในเยื่อบุตา ต่อมบริเวณโคนขนตา ตลอดจนต่อมภายในหนังตา แต่ละต่อมสร้างน้ำตาต่างชนิดกัน โดยเรียงเป็น 3 ชั้น ชั้นนอกเป็นชั้นไขมัน ชั้นกลางเป็นน้ำ และชั้นที่ชิดผิวตาเป็นชั้นเมือก น้ำตาจะหายไปโดยการระเหยร้อยละ 20 ที่เหลือจะไหลลงท่อบริเวณหัวตาลงสู่คอและจมูก

อวัยวะสำหรับหลั่งน้ำตา

1. ต่อมน้ำตา อยู่ในเบ้าตาตรงมุมบนหัวตาไปถึงมุมหางตา มีท่อเล็กๆ ประมาณ 3-9 ท่อ เปิดสู่รอยพับบนเยื่อบุตา ทำให้ตาชุ่มชื้นอยู่เสมอ ช่วยชะล้างฝุ่นละออง และสิ่งแปลกปลอมที่เข้าตา

2. หลอดน้ำตา เป็นหลอดเล็กๆ อยู่ในเปลือกตาบนและล่าง ตรงมุมหัวตา หลอดน้ำตายาวประมาณ 10 มิลลิเมตร ทอดไปสู่ถุงน้ำตา จึงเป็นทางระบายน้ำตาด้านหน้าของลูกตาไปสู่ถุงน้ำตา

3. ถุงน้ำตา อยู่หลังผิวหนังบริเวณระหว่างมุมหัวตาของเปลือกตากับดั้งจมูก มีท่อยาวประมาณ 18 มิลลิเมตร กว้าง 3-4 มิลลิเมตร เปิดสู่ช่องจมูกส่วนหน้า

ในขณะร้องไห้ ต่อมน้ำตาจะหลั่งน้ำตาออกมามาก บางส่วนก็ล้นไปสู่แก้ม บางส่วนผ่านหลอดน้ำตา ถุงน้ำตา ไปตามท่อสู่โพรงจมูก น้ำตาและน้ำมูกรวมกันเป็นขี้มูกโป่ง

อิอิ...


วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

20 สายตา...สั้น เอียง ยาว แก่ คืออะไร



สายตาสั้น สายตาเอียง สายตายาว สายตาแก่ คืออะไร
โดย... พญ.ภัณฑิลา ดิษยบุตร จักษุแพทย์


สายตาสั้น

ผู้ที่มีสายตาสั้น จะมองเห็นในระยะใกล้ได้ชัดเจน แต่มองระยะไกลไม่ชัด เนื่องจากการหักเหของแสงมาตกก่อนที่จะถึงประสาทตา จึงไม่สามารถรับภาพได้ชัดเจน



สายตาเอียง

เนื่องมาจากเลนส์ของลูกตาหรือแก้วตาเบี้ยวผิดปกติ ทำให้มองเห็นภาพไม่ชัด และไม่เหมือนธรรมดา สายตาเอียงวัดด้วยดีกรีหรือองศา มีตั้งแต่ศูนย์ถึงร้อยแปดสิบองศา



สายตายาว

จะมองไม่ชัดทั้งไกลและใกล้ เนื่องจากการหักเหของแสงไม่พอ เมื่อเป็นกับเด็กๆ ลูกตาจะสามารถปรับสายตาได้ทำให้สามารถมองเห็นได้ชัดเจน แต่อาจมีอาการปวดศีรษะหรือปวดลูกตา หรือเมื่อยตาหรืออ่านหนังสือไม่ทน ถ้าผู้สูงอายุที่มีสายตายาว ลูกตาจะปรับตัวไม่ได้ ผู้นั้นจะมองไม่ชัดทั้งไกลและใกล้



สายตาแก่ หรือ สายตายาว

เป็นอีกแบบหนึ่งซึ่งเกิดกับผู้มีอายุตั้งแต่ สี่สิบปีขึ้นไป ที่เรามักเรียกว่าสายตายาว ผู้นั้นจะมองไกลได้ชัดเจนแต่เวลาอ่านหนังสือจะดูพร่าเลือนไป ต้องยืดแขนออกไปเพื่อให้อ่านหนังสือได้ชัดเจน จะต้องใช้แว่นขยาย หรือ เลนส์บวก เพื่อช่วยใน การอ่านหนังสือแต่ไม่ต้องใช้แว่นในหารดูระยะไกล

อาการของโรคทางสายตา

1. มองไม่ชัด เกิดตามลักษณะของสายตาที่เป็นถ้าเป็นสายตาสั้นจะมองใกล้ได้ชัด มองไกลไม่ชัด สำหรับสายตาแก่ ก็จะมองไม่ชัดเวลาอ่านหนังสือ

2. ปวดศีรษะและปวดตา จะมีอาการเมื่อยตา หรือมีอาการปวดบริเวณท้ายทอยในขณะที่พยายามเพ่งสายตา

3. อ่านหนังสือไม่ได้นาน บางรายอ่านหนังสือได้บ้างแต่อ่านไม่ได้ทน เช่น ผู้ที่สายตายาวเมื่ออ่านไปนานๆ ตัวหนังสือจะพร่าไปหมดและอาจมีอาการปวดศีรษะตามมา

4. มีอาการตาเหล่ ในรายที่มีสายตายาวมากๆมักจะมีตาเหล่ เข้าที่หัวตา ส่วนพวกที่สายตาสั้นมากๆ ก็อาจมีอาการตาเหล่ออกได้ สายตาผิดปกติส่วนมากเป็นกรรมพันธุ์ พวกที่ตาผิดปกติส่วนใหญ่เห็นกรรมพันธุ์เกิดจากที่พ่อแม่มีสายตาที่ผิดปกติ บางรายพ่อแม่ตาเป็นปกติแต่ลูกกลับสายตาสั้นก็มีหรือกลับกัน แต่โดยทั่วล้วนพ่อแม่ที่มีสายตาผิดปกติมีโอกาสที่ลูกจะมีสายตาผิดปกติสูงกว่าธรรมดา

เกิดสายตาผิดปกติในวัยใด

สายตาผิดปกติเกิดได้กับทุกวัยบางรายเกิดตั้งแต่เด็กอายุน้อยๆ พ่อแม่จะเห็นว่าเด็กอ่านหนังสือจะก้มหน้าชิดหรือเอียงหน้า หรือบอกกับผู้ปกครองว่ามองไม่เห็น บางรายเริ่มมัวเมื่อโตขึ้นประมาณ สิบขวบ บางรายก็มีอาการเมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้ว

เพราะเหตุใดสายตาสั้นจึงเพิ่มเร็ว

เด็กๆที่สายตาสั้นเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นสายตาจะสั้นเพิ่มขึ้น ตรงข้ามกับผู้ที่สายตายาว เมื่ออายุมากขึ้นมักจะดีขึ้นสายตาจะยาวลดลง เหตุที่สายตาสั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นั้นก็เพราะว่า เมื่อร่างกายเจริญเติบโต ลูกตาของเราจะมีการเจริญเติบโตไปด้วย ทำให้สายตาสั้นเพิ่มมาก มักจะเริ่มช้าลงเมื่ออายุประมาณ 20 ปี

ควรตรวจสายตาเร็วหรือช้าเพียงใด

ขณะนี้ตามโรงเรียนทุกแห่งจะมีการให้วัดสายตาซึ่งถ้าหากพบว่าสายตาผิดปกติ ก็จะได้ให้พบแพทย์ต่อไป หรือถ้าหากพบว่าเด็กที่เล็กกว่านั้น มีอาการที่สงสัยว่า จะมีปัญหาเรื่องสายตา ก็ควรพาไปพบแพทย์เช่นเดียวกัน ในเด็กๆที่สายตาสั้นควรตรวจวัดสายตาทุกปี ส่วนผู้ที่ อายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป นั้นนอกจากการตรวจวัดสายตาแล้ว ควรตรวจตาโดยทั่วไปด้วยรวมทั้ง การวัดความดันตาเพื่อตรวจหาต้อหินด้วย

เหตุใดตาสองข้างจึงสั้นหรือยาวไม่เท่ากัน

โดยปกติแล้วตาทั้งสองข้างจะมีสายตาสั้นหรือยาวต่างกันบ้าง ในบางรายสายตาสองข้าง อาจแตกต่างกันมากโดยตาข้างที่สั้นกว่าหรือยาวกว่าจะใช้งานได้ไม่เต็มที่ซึ่ง หากไม่ได้แก้ไขแต่เด็ก จะเกิดเป็นตาขี้เกียจได้และเมื่อใส่แว่นให้ตรงตามสายตาแล้ว ก็ยังไม่ชัดเจน

โรคแทรกซ้อนจากสายตาสั้น

อาจเกิดโรคบางอย่างได้เช่น วุ้นน้ำเหลืองในตาขุ่นเกิดเห็นเงาดำๆลอยไปมาในลูกตา ในกรณีที่สายตาสั้นมากๆ อาจเกิดข้อแทรกซ้อนที่ประสาทตาเช่น ประสาทตาฉีกขาด หรือจอประสาทตาเสื่อม หรือ ถ้าหากสายตาสองข้างมีความแตกต่างกันมากๆ ไม่ได้รับการแก้ไข ตั้งแต่เล็กๆก็อาจทำให้ตาข้าง นั้นที่ผิดปกติขี้เกียจไป ถึงแม้เมื่อแก้ไขด้วยแว่นเมื่อตอนโตก็ยังไม่สามารถทำให้สายตาดีเท่าปกติได้

การรักษา

สายตาจะเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมชาติของคนนั้น การใส่หรือถอดแว่นไม่ได้มีผลทำให้สายตาเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ขณะนี้มีการผ่าตัดรักษาสายตา ซึ่งจะกล่าวต่อไปในครั้งหน้า


วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

19 วิธีทำให้หายสายตาสั้น (แบบธรรมชาติไม่ต้องผ่าตัด)



วิธีทำให้หายสายตาสั้น (แบบธรรมชาติไม่ต้องผ่าตัด)
By: augusthalem in helth

ไปอ่านเจอมาในพันติ๊บ นานแล้ว คนที่แนะนำคือคุณ tansy จำกระทู้ไม่ได้มันนานมาก แต่จำได้แต่วิธีทำว่าทำอย่างไรถึงจะหายสายตาสั้น คือคุณ tansy เนี่ย แกเคยสายตาสั้นมาก่อน แล้วแกก็ค้นพบวิธี (โหดๆ) ที่ทำให้คุณ tansy หายสายตาสั้นได้ โดยไม่ต้องไปทำ Lasik ให้เสียตังค์ ลองมาดูกันนะ

คุณ tansy บอกว่า (ต่อจากนี้จะเป็นข้อเขียนของคุณ tansy ทั้งหมดนะก๊ะ)

สายตาคน มันจะสั้นหรือจะยาว มันขึ้นอยู่กับ shape ของ eyeballs เมื่อมันเปลี่ยน shape ไป มันจะเปลี่ยน focal length ไป ความสั้นความยาวของสายตาก็จะปรับเปลี่ยนไป

การที่ eyeballs จะเปลี่ยน shape ได้นั้น ทำได้ด้วยวิธีการแบบธรรมชาติบำบัดคือ

1. ควบคุมอาหาร

2. ใช้ acupuncture (การรักษาโดยแทงเข็ม)

3. ใช้ acupressure (การรักษาโดยนวดกดจุดบริเวณรอบๆตา หัว และคอ)

เรารักษาด้วยวิธีที่ 1. นั่นก็คือ ฝึก Macrobiotics (แม็กโครไบโอติก) เคร่งๆ การหยุดกินน้ำตาลกับผงชูรส หยุดกินข้าวขาว (แล้วเปลี่ยนไปกินข้าวกล้อง) และฝึกเดินลมปราณ มันช่วยเปลี่ยน eyeball shape ได้จริงๆ

สภาพสายตาของเราขณะนี้ปกติดีมากๆ (เพราะว่าเราไม่ได้กินน้ำตาลมา 20ปีแล้ว) แต่ถ้าวันไหนเราเกิดอุตริ อยากกินน้ำตาล แล้วไปกินของหวานเข้า พอกินไป ตาเราจะพร่ามองไม่เห็นไปหลายวัน เมื่อซวยกินน้ำตาลเข้าไปแล้วตาพร่ามองไม่เห็น

วิธีแก้ให้เร็วที่สุด แก้ได้โดยการกินอาหารแบบที่ชาวแม็กโครไบออติกเรียกว่า diet No.7 นั่นก็คือกินแต่ธัญพืช (ที่มีรำข้าว) ล้วนๆ แล้วไม่กินน้ำเลยเป็นเวลา 2-3 วัน แล้ว (นี่เป็นสูตรลับในการขับสารพิษออกจากร่างโดยเร็วที่สุด) มันจะขับสารพิษของน้ำตาลออกจากร่างได้อย่างรวดเร็ว จนตาเรามองเห็นชัดเจนอีกภายในเวลาประมาณ 1 วันครึ่ง ...แต่ถ้าไม่ใช้ diet No.7 แต่กินอาหารแม็คโครไบออติกแบบ อาหารสุขภาพปลอดสารพิษโดยทั่วๆไป เราอาจใช้เวลานานถึง 7 วันกว่าจะขับพิษของน้ำตาลออกไปจากร่างจนตาหายพร่า แล้วมองเห็นได้ชัดเจน

แฟนเราสายตาสั้นมากๆ แว่นเลนส์พิเศษเลยอ้ะ เราพยายามจะรักษาเธอด้วย Macrobiotics แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ นั่นก็เพราะว่า

"เธอโปรดปราน Coke (มันมีน้ำตาลและสารพิษอย่างอื่น) กับขนมหวาน...เป็นชีวิตจิตใจ... 555+++...."

เราเลยสอนเธอทำ acupressure แทน แต่รู้สึกว่าเธอไม่ค่อยจะขยันฝึกมากเท่าไหร่นะก้อเลยยังสายตาสั้นอยู่

ที่โรงเรียนในประเทศจีน ครูสอนนักเรียนที่สายตาสั้น ให้รู้วิธีทำ acupressure ผลปรากฏว่า นักเรียนเกือบทุกคนที่เคยใช้แว่น โยนแว่นทิ้งกันหมด เพราะว่าแก้ไขสายตาได้จริงๆ เราอ่านเจอข้อมูลนี้ในหนังสือเรื่อง Sports of China (ไม่แน่ใจว่าสะกดถูก) เมื่อประมาณ 20 กว่าปีมาแล้ว

ส่วนเรื่อง acupuncture (การแทงเข็ม) นั้น เรื่องมันตลก คือว่าเพื่อนเราคนหนึ่งเขาตาเข มาตั้งแต่เด็กๆ โดนเพื่อนๆล้อมาตั้งแต่เด็กๆ ครั้นเมื่ออายุประมาณ 30 กว่าๆ เขาไปผ่าตัด ให้หมอที่อังกฤษผ่าให้ตาหายเข (ตอนนั้นทั้งเขาและเราอยู่ในอังกฤษ) พอกลับบ้านมา เพื่อนเราได้รับผลข้างเคียงที่รุนแรงมากๆ ตาแสบบวมไปหลายอาทิตย์ (ต้องกินยา) กว่าจะหาย

แล้วอยู่มาวันหนึ่งพวกเราดูรายการ BBC เขาไปถ่ายสารคดีที่จีนมา แพทย์จีนสาธิตว่าเข็มมันทำอะไรได้บ้าง หมอเอาเข็มแทงไปตามจุดต่างๆบนหัวของคนไข้ พอแทงจุดหนึ่งตาคนไข้เขไปทางหนึ่ง พอแทงอีกจุดตาก็เขไปอีกทางหนึ่ง

เพื่อนเราส่ายหัว แล้วพูดว่า "โธ่เอ๊ย ทำไมมันง่ายยังงี้ฟระ รู้งี้กรูไม่ไปผ่าตัดหรอก แสบตาจะตายห่ะ ทรมานอยู่ตั้งหลายอาทิตย์"

/me โดยส่วนตัว เราสนใจเรื่อง acupressure แต่คุณ tansy ไม่ได้บอกว่ามันคืออะไร คงต้องไปหาเอง เพราะคนอย่างข้าเจ้า ให้งดหวาน ขอตายดีกว่า ซิก ซิก...


วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

18 เรื่องตา...ดูแลไว้ตั้งแต่วัยนี้


เรื่องตา...ดูแลไว้ตั้งแต่วัยนี้

ตั้งแต่ลูกน้อยคลอดออกมา สิ่งที่คุณแม่ต้องสนใจแน่ๆ ก็คือ อยากเห็นลูกรักมีอวัยวะครบ 32 โดยเฉพาะดวงตา ที่เรียกว่าเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย แต่สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นก็คือ หลังจากคุณแม่ได้ดีใจกับลูกน้อยที่สมบูรณ์ มีดวงตากลมโตน่ารักแล้ว ก็มักจะลืมเรื่องการให้ความสนใจกับดวงตาอย่างจริงๆจังๆ เพราะคิดว่า แค่ลูกมองเห็น ก็แสดงว่าเค้ามีดวงตาที่ปกติแล้ว ซึ่งความคิดนี้ไม่ถือว่าถูกซะทีเดียว เพราะปัญหาเรื่องดวงตา จริงๆแล้ว มีมากกว่าแค่ใช้มองเห็นได้หรือมองเห็นไม่ได้

108 ปัญหาดวงตาที่อาจเกิดขึ้น

1. ความผิดปกติของหนังตา เช่น หนังตาตก

2. ขนาดของลูกตาผิดปกติ เช่น ลูกตาเล็กเกินไป

3. พวกต้อต่างๆ เช่น ต้อหิน ต้อกระจก

4. เนื้องอกของลูกตา

5. จอรับภาพและประสาทตาผิดปกติ ซึ่งอาการนี้มักพบในทารกที่คลอดก่อนกำหนด

6. ตาเหล่

7. สายตาผิดปกติต่างๆ เช่น สวยตาสั้น สายตายาว ตาเอียง

สังเกตว่า ปัญหาดวงตาเหล่านี้ บางอย่าง ก็สามารถมองเห็นได้จากภายนอก ด้วยการมองด้วยตาเปล่า แต่อาการผิดปกติบางอย่าง ดูภายนอกก็อาจเหมือนลูกมีสายตาปกติ ดังนั้นคุณแม่จึงควรใส่ใจ พาหนูไปตรวจดวงตาด้วย

ตรวจสายตาครั้งแรก ควรเริ่มตั้งแต่ 6 เดือน

ข้อมูลจาก American Optometric Association (AOA) แนะนำว่า การตรวจสายตาทารกครั้งแรกในช่วง 6 เดือนความสำคัญมาก เพราะโรคเกี่ยวกับดวงตาส่วนใหญ่ สามารถตรวจพบ และรักษาอาการผิดปกติของดวงตาได้

หากว่าได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ แต่คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่มักมองข้ามการตรวจดวงตาของลูกในระยะนี้ อาการผิดปกติจึงถูกปล่อยทิ้งไว้นาน เพราะตรวจพบช้า ทำให้อาการผิดปกติยิ่งลุกลามมากขึ้นและรักษาได้ยากขึ้นด้วย

โดยระยะเวลาในการตรวจดวงตาของลูกครั้งแรก ควรเริ่มเมื่อลูกอายุได้ราว 6 เดือน

ครั้งที่สองเมื่อลูกอายุได้ 3 ขวบ

และครั้งที่สาม คือก่อนเข้าโรงเรียน

ขนาดประเทศอเมริกา ซึ่งมีความเจริญด้านการแพทย์มาก ยังมีเด็กที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคตา เพราะไม่ได้รับการตรวจอย่างทันท่วงที ถึงราว 15 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 10 ล้านคน คุณแม่ที่รู้แล้ว ก็อย่าได้ประมาทกับโรคเกี่ยวกับตาเหมือนกัน

ผลเสียของการมีดวงตาที่ไม่ปกติ

แม้วัยนี้ลูกน้อยจะยังเด็กอยู่ แต่ปัญหาสายตา ก็มีผลเสียอย่างมากต่อเค้า นั่นคือการพัฒนาการจะเป็นไปอย่างไม่ปกติและไม่สมบูรณ์ เช่นหากว่าลูกสายตาสั้นหรือตาเหล่ สมองก็จะเรียนรู้ภาพที่ไม่ชัด ทำให้พัฒนาการของตาข้างนั้นผิดปกติ และยังส่งผลต่อพัฒนาการโดยรวมของลูกอีกด้วย เพราะเมื่อเค้ามองเห็นสิ่งต่างๆไม่ชัดเจน การเรียนรู้ก็ย่อมช้า ไปจนถึงหยุดชะงัก ปัญหาเหล่านี้ หากไม่ได้รับการแก้ไขก่อนอายุ 5 - 6 ปี พัฒนาการของลูกก็จะผิดปกติอย่างถาวร

หรือแม้ว่า อาการทางสายตาของลูก จะไม่ใช่อาการผิดปกติใหญ่โต แต่เมื่อเค้าโตขึ้น การมองเห็นไม่ชัดก็จะส่งผลต่อความมั่นใจในตัวเองของเค้า เช่น ในโรงเรียน ซึ่งอาจจะทำให้เรียนไม่ทันเพื่อนหรือเข้ากับเพื่อนไม่ได้ก็เป็นได้

เรื่องของดวงตา เป็นเรื่องสำคัญตั้งแต่หนูยังเล็ก แต่เนื่องจากหนูยังพูดสื่อสารกับคุณแม่ไม่ได้ คุณแม่จึงควรสังเกตอาการทางดวงตาของหนูอยู่เสมอ และพาไปตรวจเช็คตามเวลา เป็นการให้ความสำคัญกับดวงตาของหนูตั้งแต่เริ่มต้น นำไปสู่พัฒนาการที่สมบูรณ์ในช่วงวัยต่อๆไป



คลิกที่นี่...ภาพสวยๆงามๆหาดูยากมาก...

*

17 เบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy)


เบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy)

เบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy) เป็น โรคแทรกซ้อนของเบาหวานที่ควบคุมไม่อยู่ จะลุกลามไปที่ตา และจะทำให้เกิดอันตราย ตั้งแต่ตามัว เห็นภาพซ้อน มองภาพแคบลง ไปจนถึงมองไม่เห็นไปเลย อาจ ทำให้สูญเสียการมองเห็นโดยเป็นผลมาจากจอประสาทตาเสื่อม สถิติในประเทศสหรัฐอเมริกาพบราวร้อยละ 35-40 ในประเทศไทยพบได้ประมาณร้อยละ 20-25

ในปัจจุบันนี้โดยที่การแพทย์เจริญขึ้นมาก ผู้ป่วยเบาหวานจึงมีชีวิตที่ยืนยาวนานกว่าในสมัยก่อนๆ ทำให้พบว่า มีการเปลี่ยนแปลงทางตาบ่อยขึ้นมากในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งมักจะพบในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เป็นโรคเบาหวานนี้มานาน คนไข้เบาหวานทุกคน ยิ่งเป็นเบาหวานนานเท่าไร โอกาสเกิดก็ยิ่งมากขึ้นพบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของคนไข้เบาหวาน เกิดเบาหวานขึ้นจอรับภาพ แต่ความรุนแรงอาจแตกต่างกันไป

โรคตาที่เกิดจากเบาหวาน

กลุ่มโรคตาที่เกิดจากเบาหวาน ถือเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน ซึ่งมีความรุนแรงตั้งแต่ทำให้ตามัว จนถึงตาบอประกอบด้วย

1. เบาหวานขึ้นจอรับภาพ เกิดจากการทำลายของเส้นเลือดที่เลี้ยงจอรับภาพ เบา หวานขึ้นจอรับภาพพบบ่อยที่สุด และเป็นสาเหตุของตาบอดอันดับหนึ่ง เส้นเลือดที่เลี้ยงจอรับภาพจะบวม และรั่ว ทำให้จอรับภาพบวม และเกิดเส้นเลือดงอกผิดปกติที่จอรับภาพ ทำให้มีเลือดออกในลูกตา เนื่องจากเส้นเลือดเหล่านี้เปราะและแตกง่าย

2. ต้อกระจก เกิดจากเลนส์แก้วตาเปลี่ยนสภาพจากใสเป็นขุ่น โอกาส เกิดต้อกระจกของผู้ป่วยโรคเบาหวานสูงกว่าตาคนที่ไม่เป็นเบาหวานถึง 2 เท่า และต้อกระจกก็เป็นตั้งแต่อายุยังไม่มากด้วย ต้อกระจกเองจะทำให้คนไข้ตามัวมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เป็นโรคที่รักษาได้ผลดีมากด้วยการผ่าตัด

3. ต้อหิน เกิดจากความดันตาสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำลายขั้วประสาทตา ทำให้ตาบอดแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่รู้สึกตัว ต้อหินในคนไข้เบาหวาน ก็พบบ่อยกว่าคนที่ไม่เป็นหวาน 2 เท่า และยิ่งเป็นเบาหวานนานขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งมีอัตราเสียงต่อการเป็นต้อหินสูงขึ้น เช่นเดียวกับ โรคเบาหวานขึ้นจอรับภาพ ต้อหินเป็นโรคที่น่ากลัวอีกโรคหนึ่งเพราะมักไม่มีอาการเตือน ต้องตรวจจึงจะทราบ แต่รักษาได้ด้วยยาหยอด หรือแสงเลเซอร์ หรือผ่าตัด

การเปลี่ยนแปลงของจอประสาทตาจากโรคเบาหวาน

1. เมื่อเส้นเลือดผิดปกติจะทำให้น้ำเหลืองออกมานอกเส้นเลือด และทำให้จอประสาทตาบวม ในระยะแรกอาจจะไม่มีอาการตามัว แต่ถ้าเป็นมากขึ้น และบวมที่จอประสาทตาตรงกลาง ก็จะทำให้การมองเห็นลดลงไป

2. ในรายที่เป็นมากขึ้นจะมี เส้นเลือดใหม่งอกบนผิวจอประสาทตา เส้นเลือดใหม่เหล่านี้เปราะ และแตกง่าย อาจแตก และเลือดกระจายเข้าไปในวุ้นน้ำของตาทำให้มองไม่เห็น

3. เส้นเลือดใหม่เหล่านี้ อาจทำให้เกิดแผลเป็น และดึงจอประสาทตาฉีกขาด และประสาทตาลอก ถ้าไม่รักษาตาจะบอดได้ ในขณะเดียวกันเส้นเลือดอาจงอกไปบนม่านตาทำให้เกิดต้อหินชนิดรุนแรงได้

การป้องกัน

1. ผู้ที่เป็นเบาหวานมา นานกว่า 15 ปี จะมีโอกาสเป็นเบาหวานขึ้นตามากกว่าร้อยละ 80 การดูแลตัวเองที่ดีจะช่วยลดอาการแทรกซ้อนจากเบาหวานขึ้นตาได้

2. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ระดับปกติ

3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และกินอาหารให้ถูกสุขลักษณะ

4. ตรวจ กับจักษุแพทย์อย่าง น้อยปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อตรวจตาอย่างละเอียด จะช่วยป้องกันโรคแทรกซ้อนหรือสามารถขจัดปัญหาทางตาได้ตั้งแต่เริ่มแรก และถ้าพบว่าเบาหวานขึ้นตาแล้ว ต้องกลับไปตรวจเป็นระยะๆ

5. ถ้ามีอาการตามัว ควรไปพบจักษุแพทย์ทันที


วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

16 ตา...ดวงตา เป็นหน้าต่างของหัวใจ...

ตา...ดวงตา เป็นหน้าต่างของหัวใจ...

ความชอบส่วนตัวอย่างหนึ่งของผมในการวาดรูป

คือ ผมชอบวาด ดวงตา

เกือบทุกรูปของผมที่วาดมา ในชีวิต

มักมีดวงตาอยู่ในภาพเสมอๆ

ทำไมนะเหรอ?

ผมว่า ดวงตาคนเราเป็นสิ่งที่น่าหลงใหลที่สุดในร่างกายมนุษย์ ฟังดูเหมือนโรคจิต...

แต่มีคำพูดอยู่คำหนึ่งที่ อธิบายได้ค่อนข้างชัดเจนว่า

"ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ"

มันบ่งบอกความนัยได้ว่า หากอยากรับรู้ให้ลึกซึ้งถึงตัวตน อารมณ์ความรู้สึก กับใคร ดวงตาบอกได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ (ค่านี้ กำหนดเอง ไม่มีใครไปวิจัยหรอกนะ)

เวลาผมคุยกับใคร ผมชอบมองตาคนๆนั้น ไม่ใช่แกล้งทำเป็นอยากฟัง...

แต่มองเพื่อให้รู้ว่า สิ่งที่เขาพูดนั้น เขาอยากให้เรารับฟังมากแค่ไหน

ผมไม่ชอบคุยโทรศัพท์

เพราะแค่น้ำเสียง อาจทำให้อารมณ์ผิดเพี้ยนได้

แต่ถ้าได้คุยต่อหน้า...ผมรับความรู้สึกทางด้านอารมณ์ได้เต็มที่

เมื่อเรารับอารมณ์ความรู้สึกของคนที่เราพูดคุยได้เต็มที่

เราก็ตอบสนองทางอารมณ์กับผู้ที่เราพูดคุยได้อย่างถูกต้อง

หลายคนชอบหลบสายตาเวลาคุยกัน อาจเพราะอะไรหลายอย่าง

เขินอาย

เก็บงำความลับอะไรบางอย่าง

หรือแม้กระทั่งกำลังโกหก

มันไม่มีความจำเป็นเลยที่ต้องทำแบบนั้น

แค่เราเปิดใจพูด แม้เรื่องๆนั้นจะผิดพลาดใหญ่หลวง

แต่ความจริงใจที่แสดงออกมาผ่านทางสายตานั้น

อาจทำให้คนอื่นรับรู้ได้ถึงสิ่งที่เราสำนึกในความผิดพลาดนั้น

เปิดใจ ผ่านดวงตา กันนะ

คนรักกันพูดคุยกัน มองตากันนะ

ไม่เข้าใจกัน ปรับความเข้าใจกัน มองตากันนะ

มองให้ลึกผ่านเข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ...จะได้เข้าใจกันด้วยใจ...

ไม่ใช่แค่คำพูดที่ผ่านลิ้นออกมา

*

15 ดวงตาเป็นภาษาของดวงใจ...


ดวงตาเป็นภาษาของดวงใจ...

เขาว่ากันไว้แบบนี้ แต่ถ้าจะบอกว่าดวงตาสื่อนิสัยของคนได้เหมือนกัน จะเชื่อกันไหม?

ก่อนจะบอกว่า เชื่อ หรือ ไม่เชื่อ ลองไปอ่านด้านล่างกันก่อนดีกว่า...

คนที่มีตายาว

มีประกายแวววาวเจิดจรัส

ว่ากันว่า...จะเป็นคนมีบุญวาสนา

คนที่มีตาดำและขาวดูใสบริสุทธิ์

ว่ากันว่า...เป็นคนมีสติปัญญาดี

คนที่มีตาโตตาดำเด่นชัดกว่าตาขาว

อายุจะยืนหมื่นๆปี

ถ้าสาวใดมีตาขาวมากกว่าตาดำ

จะมีนิสัยดุร้ายถึงขั้นเจี๋ยนผู้ชายที่ทำให้เธอแค้นได้

หากตาขาว ผสมด้วยตาดำมีประกาย

จะเป็นคนชอบความฟุ้งเฟ้อ

ไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่ตัวเอง

มีชีวิตคู่กระท่อน กระแท่น

สาวที่มีดวงตาโตและดำขลับ

ดวงตาแบบนี้เป็นที่ใฝ่ฝัน

ของหนุ่มๆทั้งประเทศ

มองอะไรก็ชอบมองตรงๆ ไม่วอกแวก

เธอจะมีดวงส่งเสริมผู้ชายให้เจริญรุ่งเรือง

ส่วนตัวเธอเองก็จะมีความสุขตลอดกาล

สาวที่มีตาดำและตาขาวแจ่มใส

เป็นคนซื่อสัตย์คบได้

หนุ่มๆฟังเอาไว้ว่าเธอนี่แหละจะ

จงรักภักดีต่อสามีจนชีวิตจะหาไม่

เรื่องเปลี่ยนผู้ชายไปเรื่อยไม่เกิดขึ้นกับเธอเด็ดขาด

สาวที่มีขอบตาดำ ขนตาดก ลูกนัยน์ตาหวานเยิ้ม หรือตาแหลมเล็ก

เธอเป็นสาวไฟแรงสูง

มีความคิดไม่แคร์สังคม

เธอจึงไม่ยอมอยู่ในกรอบสังคม

แหวกม่านประเพณีเป็นสิ่งที่เธอชอบมาก

สาวๆที่ตาเล็กเบ้าตาลึก

แสดงว่าเป็นคนมีอารมณ์อ่อนไหวง่าย

ใครอย่าไปพูดผิดหูเป็นอันขาด

เพราะเธอจะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง

ถึงขั้นเลิกคบกันไปเลยได้

ผู้ชายที่ตาซ้ายเล็ก

ขอต้อนรับคุณเข้าเป็นสมาชิกชมรมกลัวเมีย

แต่ถ้าตาเล็กและตาดำขุ่นมัว

แสดงว่าเป็นคนมีจิตใจรวนเร เอาแน่เอานอนไม่ได้

ถ้าดวงตามีประกายแข็งกล้า

ไม่สะทกสะท้าน

แสดงว่าเป็นคนทะนงถือดี

ถ้าชอบชำเลืองมองคนด้วยหางตาในระยะสั้น

เป็นคนใจคอโหดเหี้ยม

แต่ถ้าชำเลืองมองด้วยหางตาสูงขึ้นมาหน่อย

เป็นคนอารมณ์ร้อน

หากชอบชำเลืองมองคนด้วยหางตา

แถมตาเขเล็กๆ หรือที่เรียกว่าตาเอก

เป็นคนโลภมากในทุกเรื่อง

รวมทั้งเรื่องบนเตียงด้วย

เพราะสาวหรือหนุ่มที่มีตาลักษณะนี้

จะเป็นคนมีนิสัยเจ้าชู้

ชอบทอดสายตาเชิญชวนไปเรื่อยเปื่อย

คนที่ตาโปน มีสายตาฉายประกายแวววาว

นี่ก็เป็นคนเจ้าชู้เหมือนกัน มักมากในเรื่องกาเม

สาวๆระวังให้ดีเพราะหนุ่มประเภทนี้ชอบฟันแล้วทิ้ง !!!

ถ้าตาโปนแต่มีประกายดุดัน

ตำราว่าเป็นคนอายุสั้น

แต่ถ้าตาโตแต่หน้าตาเปล่งปลั่งดูมีสง่าราศี

เตรียมรับทรัพย์ได้ เงินทองจะไหลมาเทมา

*

วิธีแก้เผ็ดผู้ชายตาเจ้าชู้...


14 นัยน์ตา...


นัยน์ตา...

นัยน์ตา หรือที่เราเรียกสั้นๆว่า ตา เป็นอวัยวะที่ช่วยให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆได้ ตามีส่วนประกอบ 2 ส่วน คือ

ส่วนประกอบภายนอกตา ได้แก่ :

1. คิ้ว ทำหน้าที่ป้องกันมิให้เหงื่อไหลเข้าตา

2. ขนตา ช่วยป้องกันไม่ให้ฝุ่นละอองเข้าตา

3. หนังตา ทำหน้าที่ช่วยปิดเปิดเพื่อรับแสงและควบคุมปริมาณของแสงสู่นัยน์ตา ป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับตาและหลับตา เพื่อให้นัยน์ตาได้พักผ่อน นอกจากนี้การกระพริบตายังจะช่วยรักษาให้นัยน์ตาชุ่มชื้นอยู่เสมอ โดยปกติคนเรากะพริบตา 25 ครั้ง/นาที

4. ต่อมน้ำตา เป็นต่อมเล็กๆ อยู่ใต้หางคิ้ว ต่อมนี้จะขับน้ำตา มาหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา น้ำตาส่วนใหญ่จะระเหยไปในอากาศ ส่วนที่เหลือระบายออกที่รูระบายน้ำตา ซึ่งอยู่ที่หัวตา รูนี้เชื่อมกับท่อน้ำตาที่ต่อไปถึงในจมูก ถ้าต่อมน้ำตาขับน้ำตาออกมามาก เช่นเมื่อร้องไห้ น้ำตาจะถูกระบายออกที่รูระบายน้ำตา และเข้าไป ในจมูก ทำให้คัดจมูกได้

ส่วนประกอบภายในดวงตา ได้แก่ :

ส่วนที่เรียกว่าลูกตา มีรูปร่างเป็นทรงกลมรี ภายในมีของเหลว ลักษณะเป็นวุ้นใสคล้ายไข่ดาวบรรจุอยู่เต็ม อวัยวะที่สำคัญของส่วนประกอบภายในลูกตา ได้แก่ ตาขาว ตาดำ แก้วตา และจอตา(Retina)หรือฉากตา

1. ตาขาว (Sclera) คือส่วนสีขาวของนัยน์ตา ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเหนียวไม่ยืดหยุ่นแต่แข็งแรง ทำหน้าที่หุ้มลูกตาไว้ ด้านหลังลูกตา มีกล้ามเนื้อยืดอยู่ 6 มัด ทำให้กลอกตาไปทางซ้ายขวา หรือขึ้น-ลงได้ ผนังด้านหน้าของลูกตาเป็นเนื้อเยื่อใสเรียกว่า กระจกตา (Cornea) ซึ่งหากมีจุดหรือรอยถลอกเพียงเล็กน้อยจะรบกวน การมองเห็น และทำให้เคืองตาได้มากถ้าเป็นฝ้าขาวทำให้ตาบอดได้

2. ตาดำ คือส่วนที่เป็นม่านตา (Iris) มีลักษณะเป็นกล้ามเนื้อยืดหดได้และมีสีตามชาติพันธุ์ คนไทยส่วนใหญ่มีตาสีน้ำตาลเข้ม ดูเผินๆ คล้ายสีดำ จึงเรียกว่าตาดำ ตรงกลางม่านตามีรูกลม เรียกว่า รูม่านตา (Pupil) ซึ่งเป็นทางให้แสงผ่านเข้าทำให้เข้ารูม่านตาได้เหมาะ คือถ้าเราอยู่ในที่สว่างมาก ม่านตาจะหดแคบ รูม่านตาก็จะเล็กลง ทำให้แสงผ่านเข้าลูกตาได้น้อยลง เราจึงต้องทำตาหรี่ หรือหรี่ตาลง ถ้าอยู่ในที่สว่างน้อย ม่านตาจะเปิดกว้าง ทำให้แสงผ่านเข้าตาได้มากและทำให้มองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น เราจึงต้องเบิกตากว้าง

3. แก้วตา (Lens) อยู่หลังรูม่านตา มีลักษณะเป็นแผ่นใสๆ เหมือนแก้ว คล้ายเลนส์นูนธรรมดา มีเอ็นยึดแก้วตา (Ciliary muscle) ยึดระหว่าง แก้วตาและกล้ามเนื้อ และกล้ามนี้ยึดอยู่โดยรอบที่ขอบของแก้วตา กล้ามเนื้อนี้ทำหน้าที่ปรับแก้วตาให้โค้งออกมาเมื่อมาเมื่อมองภาพในระยะใกล้ และปรับแก้วตาให้แบนเมื่อมองในระยะไกล ทำให้มองเห็นภาพ ได้ชัดเจนทุกระยะ

4. จอตา หรือฉากตา (Ratina) อยู่ด้านหลังแก้วตา มัลักษณะเป็นผนังที่ประกอบด้วยใยประสาทซึ่งไวต่อแสง เซลล์ของประสาทเหล่านี้ทำหน้าทั่เป็น จอรับภาพตามที่เป็นแล้วส่งความรู้สึกผ่านเส้นประสาทตา ซึ่งทอดทะลุออกทางหลังกระบอกตาโยงไปสู่สมอง เพื่อแปลความหมายให้เกิดความรู้สึกเห็นภาพ ทำให้เรารู้ว่าเรามองภาพอะไรอยู่

การมองเห็นภาพ

คนเรามองเห็นภาพต่างๆ ได้เพราะแสงไปกระทบกับวัตถุแล้วสะท้อนเข้าสู่นัยน์ตาเรา ผ่านกระจกตา รูม่านตา แก้วตา ไปตกที่จอตา เซลล์รับภาพที่จอตาจะรับภาพ ในลักษณะหัวกลับแล้วส่งไปตามเส้นประสาทสู่สมองส่วนท้ายทอย สมองทำหน้าที่แปลภาพหัวกลับเป็นหัวตั้งตามเดิมของสิ่งที่เห็น

ความผิดปกติของสายตา

เกิดขึ้นเพราะส่วนประกอบของนัยน์ตาทีลักษณะผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการมองเห็นไม่ชัดได้ ตาพร่าได้ ที่พบบ่อยได้แก่

1. สายตาสั้น คือ การที่มองเห็นเฉพาะสิ่งที่อยู่ใกล้ๆ สิ่งที่อยู่ไกลจะเห็นไม่ชัด

สาเหตุ เกิดจากลูกตามีความยาวมากกว่าปกติ ทำให้ระยะระหว่างแก้วตา และจอตาอยู่ห่างกันเกินไป ทำให้ภาพของสิ่งที่มองตกก่อนจะถึงจอตา

การแก้ไข ใส่แว่นตาที่ทำด้วยเลนส์เว้า เพื่อช่วยหักเหแสงให้ลงที่จอตาพอดี

2. สายตายาว คือ การที่มองเห็นเฉพาะสิ่งที่อยู่ไกลๆ สิ่งที่อยู่ใกล้จะเห็นไม่ชัด

สาเหตุ เกิดจากลูกตามีความสั้นกว่าปกติ หรือผิวของแก้วตาโค้งนูนน้อยเกินไป ทำให้ภาพของสิ่งที่มองตกเลยจอตาไป ทำให้มองเห็นภาพใกล้ๆไม่ชัดเจน

การแก้ไข ใส่แว่นตาที่ทำด้วยเลนส์นูน เพื่อช่วยหักเหแสงให้ลงที่จอตาพอดี

3. สายตาเอียง คือ การที่มองเห็นบิดเบี้ยวจากรูปทรงที่แท้จริง บางคนมองเห็นภาพในแนวดิ่งชัด แต่มองภาพในแนวระดับมองไม่ชัด เช่น มองดูนาฬิกา เห็นเลข 3,9 ชัด แต่เห็นเลข 6,12 ไม่ชัด

สาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากความโค้งนูนของแก้วตาไม่สม่ำเสมอ จอตาจึงรับภาพได้ไม่ชัดเจนเท่าทุกแนว

การแก้ไข ใส่แว่นตาเลนส์พิเศษ รูปกาบกล้วย หรือรูปทรงกระบอก แก้ไขภาพเฉพาะส่วนที่ตกนอกจอตา ให้ตกลงบนจอตาให้หมด

4. ตาส่อน ตาเอก ตาเข ตาเหล่

ตาส่อนและตาเอก หมายถึง คนที่มีตาดำสองข้างอยู่ในตำแหน่งไม่ตรงกัน ถ้าเป็นมากขึ้นเรียกว่า ตาเข และถ้าตาเขมากๆ เรียกว่า ตาเหล่ ซึ่งจะมองเห็นภาพเดียวกันเป็น 2 ภาพ เพราะภาพจาก ตาสองข้างทับกัน ไม่สนิท

สาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากกล้ามเนื้อบางมัดที่ใช้กลอกตา อ่อนกำลัง หรือเสียกำลังไป กล้ามเนื้อมัดตรงข้าม ยังทำงานปกติ จะดึงลูกตาให้เอียงไป ทำให้สมองไม่สามารถบังคับตาดำให้มองไป ยังสิ่งที่ต้องการ เหมือนลูกตาข้างที่ดีได้

การแก้ไข ควรปรึกษา จักษุแพทย์ในระยะที่เริ่มเป็น แพทย์อาจรักษาโดยการใช้แว่นตา หรือฝึกกล้ามเนื้อที่อ่อนให้ทำงานดีขึ้น หรืออาจรักษาโดยการผ่าตัด

การถนอมดวงตา

ตาเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย การถนอมดวงตาไว้ใช้งานได้นานและอยู่ในสภาพ ดีที่สุด จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติดังนี้

1. อย่าใช้สายตานานเกินควร ถ้าจำเป็นควรพักสายตาบ่อยๆ

2. การอ่านหนังสือ ต้องมีแสงสว่างเพียงพอ ควรมีแสงส่องจากทางซ้าย ค่อนไปหลังเล็กน้อย ตาควรห่างจากหนังสือประมาณ 1 ฟุต

3. การดูโทรทัศน์ ควรดูในห้องที่มีแสงสว่างพอสมควร และควรนั่งห่างจากโทรทัศน์ประมาณ 5 เท่าของของขนาดโทรทัศน์ เช่น โทรทัศน์ขนาด 14″ (วัดทแยงมุม) ควรนั่งห่างจากโทรทัศน์ 14x5 = 70 ” = 70/12 ฟุต = 5.83. = ประมาณ 6 ฟุต

4. เมื่อมีฝุ่นละอองหรือเศษผงเข้าตา อย่าใช้มือขยี้ตา ควรใช้น้ำสะอาด หรือน้ำยาล้างตาล้างเอาฝุ่นออก

5. หลีกเลี่ยงการมองแสงจ้า เช่น ดวงอาทิตย์ ของสีขาวที่อยู่กลางแดดเพราะจะทำให้เซลล์ประสาทตาเสื่อมได้

6. ระมัดระวังอุบัติเหตุที่อาจเกิดกับตาได้ เช่น อย่าให้ของแหลมอยู่ใกล้ตา ไม่เล่นขว้างปาหรือยิงหนังยางใส่กัน

7. ไม่ควรใช้ของร่วมกับผู้อื่น เช่นแว่นตา ผ้าเช็ดหน้า เพราะอาจติดเชื้อได้

8. เวลานอนควรปิดไฟ เพื่อให้ดวงตาได้พักผ่อนเต็มที่

9. ควรกินอาหารที่ให้วิตามินเอประจำ เช่น ไข่ นม น้ำมันตับปลา ผักผลไม้สีเหลือง เป็นต้น

10. เมื่อมีความผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา เช่นมองเห็นภาพไม่ชัด ตาบวม คันตา ฯลฯ ควรปรึกษาจักษุแพทย์


วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

00 eye009 จากดวงใจ...สู่ดวงตา...


ขอเชิญทุกๆท่าน ติชมแสดงความคิดเห็น...

ครับผม...ครอบครัวของผมสนิทสนมกับโรงพยาบาลนพรัตนราชธานีมานานหลายสิบปี เมื่อพ.ศ.2532 ลูกชายโทนของผมก็คลอดที่ รพ.นี้ แม่ของลูกชายก็เลือกประกันสังคมที่ รพ.นี้และผ่าตัดเอามดลูกออกก็ รพ.นี้ สำหรับผมบัตรทองประกันสุขภาพฯก็ รพ.นี้เช่นกัน เรียกว่าครอบครัวของผมเดินเข้าเดินออก รพ.นี้จนคุณเจ้าหน้าที่คุณพยาบาลและคุณหมอจำหน้าได้ก็แล้วกัน

จะเป็นเวรเป็นกรรมหรือโชคดีก็แล้วแต่ เพราะอานิสงส์จากบัตรทองนี่แหละ ทำให้ผมมองเห็นสิ่งสวยๆงามๆในโลกใบนี้ได้ ไม่งั้นผมพิการตาบอดไปแล้วครับ ผมเป็นทั้งต้อหินและต้อกระจก เป็นทั้งสองข้าง ข้างซ้ายผ่าตัดใส่เลนส์แก้วตาเทียมไปแล้ว เหลือแต่ข้างขวาคุณหมออุดมซึ่งเป็นคุณหมอผ่าตัดตาให้ผมติดตามเฝ้าดูอาการอยู่ถ้าไม่ดีขึ้นก็ต้องผ่ากันละ

คุณหมออุดมบอกว่า ผมต้องหยอดยาเพื่อปรับความดันลูกตาไปตลอดชีวิต และทุกๆเดือนผมมีนัดต้องไป รพ.เพื่อรับยามาหยอดตาทั้งสองข้าง

เดือนนี้เดือนสิงหาคมก็เช่นกันคุณหมออุดมนัดตรวจและรับยาวันพุธที่ 4 หลังจากตรวจตาและกำลังเขียนใบสั่งยาให้ผม คุณหมอพูดทำนองปรึกษาอยากจะให้ผมเป็นที่ปรึกษาในการทำเว็บบอร์ดของ รพ. ถามว่าผมมีเวลาว่างไหม ผมก็ตอบไปและพูดคุยสักครู่ผมก็เดินออกจากห้องเพราะมีคนไข้รอเข้าพบคุณหมออีก 2-3 ราย

ผมพาตัวเองมานั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานของคุณพยาบาลเลขาของคุณหมอเพื่อรอรับใบสั่งยาและใบนัดคุณหมอเดือนต่อไป ผมชวนคุณพยาบาลคุยและบอกว่า ผมเกรงใจเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเว็บของ รพ. กลัวจะไปด้วยกันไม่ได้ ท่านเป็นข้าราชการมันติดขัดอยู่ที่การตัดสินใจ สำหรับผมทำอะไรผมตัดสินใจด้วยตัวเอง ดีชั่วผมรับผิดชอบเอง ผมไม่ชอบระบบราชการเพราะตั้งแต่เรียนจบก็ทำงานกับบริษัทเอกชนมาตลอดจนเกษียณอายุ 60 เมื่อสองสามปีก่อน

แต่ผมก็ตั้งใจว่า...จะทำเว็บตัวอย่างขึ้นมาเพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลเว็บของ รพ.เอาไปเป็นแนวทาง วันนั้นผมกลับบ้านเปิดคอมฯเข้าเน็ตหาข้อมูลเกือบทั้งคืน และก็สมใจปรารถนาได้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดวงตา...เพียบ

และแล้วก็ได้ฤกษ์วันที่ 5 สิงหาคม 2553 เว็บบอร์ดของ "ห้องตรวจตา...ชั้น5 อาคารเฉลิมพระเกียรติ" (webTEST) ก็ปรากฏสู่สายตาของคุณๆผู้อ่าน ณ บัดนาว...

ก็ขอเชิญคุณๆผู้อ่านทุกๆท่านติชมแสดงความคิดเห็นได้นะครับ ช่องแสดงความคิดเห็นอยู่ท้ายบทความนี้ครับ

กรุณาทำตามนี้...

1. คลิก แสดงความคิดเห็น ด้านล่างบทความ

2. ถ้าตัวอักขระไม่ปรากฏให้ปิดแล้วเปิดใหม่

3. พิมพ์ ฝากความคิดเห็นของคุณ

4. ควรระบุชื่อเล่น(nick name)ต่อท้ายข้อความ

5. พิมพ์อักขระที่คุณเห็นในภาพด้านบน

6. คลิก ไม่ระบุชื่อ

7. คลิก เผยแพร่ความคิดเห็นของคุณ

ขอให้ทุกๆท่านได้รับความขอบคุณและขอบใจ

จาก... ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร

5ส.ค.2553

หมายเหตุ: คุณหมอ นพ.อุดม ภู่วโรดม ปัจจุบันท่านดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสถาบันพยาธิวิทยา กรมการแพทย์



วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

13 โรคตาแดง


โรคตาแดง

เป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เป็นโรคที่ไม่มีอันตรายรุนแรง เพราะส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส แต่ถ้าไม่รับการรักษาตั้งแต่เริ่มเป็น อาจติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้ โรคตาแดงอาจจะเป็นแบบเฉียบพลัน หรือแบบเรื้อรัง การใช้ contact lens หรือน้ำยาล้างตาก็เป็นสาเหตุของตาแดงเรื้อรังได้

การติดต่อ :

จากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ได้แก่ การสัมผัสโดยตรงกับน้ำตา ขี้ตา น้ำมูกของผู้ป่วย

จากใช้สิ่งของเครื่องใช้ร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ฯลฯ หรือจากแมลงวันแมลงหวี่ตอมตา

ตาแดงเป็นข้างหนึ่งหรือสองข้าง :

เป็นพร้อมกันสองข้างโดยมากมักจะเกิดจากภูมิแพ้

เป็นข้างหนึ่งก่อนแล้วค่อยเป็นสองข้างสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อเช่น แบคทีเรีย ไวรัส หรือ Chlamydia

ผู้ที่มีโรคตาแดงข้างเดียวแบบเรื้อรัง ชนิดนี้ต้องส่งปรึกษาแพทย์ :

อาการปวดตาหรือมองแสงจ้าไม่ได้ มักจะเกิดจากโรคชนิดอื่นเช่น ต้อหิน ม่านตา อักเสบ

ดังนั้นหากมีตาแดงร่วมกับปวดตาหรือมองแสงไม่ได้ ตามัวแม้ว่ากระพริบตาแล้วก็ยังมัวอยู่ โรคตาแดงมักจะเห็นปกติหากมีอาการตามัวร่วมกับตาแดงต้องปรึกษาแพทย์

อาการ :

แพทย์จะถามถึงยาที่ท่านรับประทาน ยาหยอดตา เลนส์ น้ำยาล้างตา ระยะเวลาที่เป็น ประวัติอื่น การเป็นหวัด การใช้ยาหยอดตา น้ำตาเทียม เครื่องสำอาง โรคประจำตัว

อาการที่สำคัญคือ :

คันตา เป็นอาการที่สำคัญของผู้ป่วยตาแดงที่เกิดจากภูมิแพ้ อาการคันอาจจะเป็นมากหรือน้อย

ลักษณะของขี้ตาก็ช่วยบอกสาเหตุของโรคตาแดง :

ขี้ตาใสเหมือนน้ำตามักจะเกิดจากไวรัสหรือโรคภูมิแพ้

ขี้ตาเป็นเมือกขาวมักจะเกิดจากภูมิแพ้หรือตาแห้ง

ขี้ตาเป็นหนองมักจะร่วมกับมีสะเก็ดปิดตาตอนเช้าทำให้เปิดตาลำบากสาเหตุมักจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย

หลังได้รับเชื้อประมาณ 1-2 วัน จะเริ่มมีอาการระคายเคืองตา ปวดตา น้ำตาไหล กลัวแสง มีขี้ตามาก หนังตาบวม เยื่อบุตาขาวอักเสบแดง โดยอาจเริ่มที่ตาข้างหนึ่งก่อน แล้วจึงลามไปตาอีกข้าง

ผู้ป่วยมักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ถ้าไม่ดูแลรักษาให้ถูกวิธี อาจเกิดอาการแทรกซ้อน เช่น กระจกตาดำอักเสบ ทำให้ปวดตา ตามัว

การปฏิบัติตัวและการป้องกันโรคตาแดง :

เมื่อมีฝุ่นละอองหรือน้ำสกปรกเข้าตา ควรรีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที

เมื่อมีอาการของโรค ควรพบแพทย์เพื่อรับยาหยอดตาหรือยาป้ายตาป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยใช้ติดต่อกันประมาณ 7 วัน หากมีไข้ให้รับประทานยาลดไข้แก้ปวดตามอาการ

หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่บ่อยๆ

ไม่ควรขยี้ตา อย่าให้แมลงตอมตา และไม่ควรใช้สายตามากนัก

ผู้ป่วยควรนอนแยกจากคนอื่นๆ และไม่ใช้สิ่งของต่างๆร่วมกัน และไม่ควรไปในที่มีคนมากเพื่อไม่ให้โรคแพร่ระบาด

ถ้ามีอาการปวดตารุนแรง ตาพร่ามัว หรืออาการไม่ทุเลาภายใน 1 สัปดาห์ ต้องรีบพบแพทย์อีกครั้ง

อย่าใช้เครื่องสำอางร่วมกับคนอื่น

อย่าใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าเช็ดตัวร่วมกัน

ใส่แว่นตากันถ้าต้องเจอสารเคมี

อย่าใช้ยาหยอดตาของผู้อื่น

อย่าว่ายน้ำในสระที่ไม่ได้ใส่คลอรีน

ยาเมื่อไม่ได้ใช้ให้ทิ้ง

เช็ดลูกบิดด้วยน้ำสบู่เพื่อฆ่าเชื้อโรค

การรักษาตาแดงด้วยตัวเอง :

ประคบเย็นวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ10-15 นาที

ล้างมือบ่อยๆ

อย่าขยี้ตาเพราะจะทำให้ตาระคายมากขึ้น

ใส่แว่นกันแดด หากมองแสงสว่างไม่ได้

อย่าใส่ contact lens ช่วงที่มีตาแดง

เปลี่ยนปลอกหมอนทุกวัน เปลี่ยนหมอนทุก 2 วัน

การหยอดยาหยอดตา :

ล้างมือก่อนหยอดตาทุกครั้ง

ดึงหนังตาล่างลง

ตาเหลือกมองเพดาน

หยอดตาตรงกลางเปลือกตาล่าง

ปิดตาและกรอกตาไปมาเพื่อให้ยากระจาย

การหยอดครีมให้หยอดจากหัวตาบีบไปปลายตา ปิดตาและกรอกตาไปมา

เช็ดยาที่ล้นออกมา

ล้างมือหลังหยอดเสร็จ

หากมีอาการต่อไปนี้ให้รีบพบแพทย์ :

ตามัวลง

ปวดตามากขึ้น

กรอกตาแล้วปวด

ไข้

ให้ยาไปแล้ว 48 ชั่วโมงไม่ดีขึ้น

น้ำตายังไหลอยู่แม้ว่าจะได้ยาครบแล้ว

แพ้แสงอย่างมาก


วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

12 กุ้งยิง (Chalazion)


กุ้งยิง (Chalazion)

กุ้งยิง คือ ก้อนแข็งเล็กๆ ที่เปลือกตา

อะไรคือสาเหตุ :

กุ้งยิงเกิดจากการบวมคั่ง และการปิดกั้นของต่อมผลิตน้ำมันบริเวณเปลือกตา ทำให้เกิดการอุดตันที่ต่อมผลิตน้ำมัน

อาการเป็นอย่างไร :

มีก้อนเล็กๆที่เปลือกตา มีอาการบวมเล็กน้อยและอาจมีอาการเจ็บในบางราย

รักษาได้อย่างไร :

อาจรักษาได้โดยการใช้ยาหยอดตาปฏิชีวนะ และการประคบด้วยความร้อน เช่น ผ้าชุบน้ำอุ่น วันละ 3-4 ครั้ง และนวดเบาๆ เพื่อลดการปิดกั้นของต่อมน้ำมัน หากยังไม่หายต้องทำผ่าตัดเพื่อกำจัดก้อนแข็ง ในบางกรณีอาจรักษาด้วยการฉีดสเตอรอยด์


11 จอประสาทตาฉีกขาดและลอกหลุด


จอประสาทตาฉีกขาดและลอกหลุด

จอประสาทตาเป็นเนื้อเยื่อที่มีลักษณะบางใส ทำหน้าที่เหมือนฟิล์มในกล้องถ่ายรูป เมื่อแสงผ่านเข้าสู่ตาและโฟกัสที่จอประสาทตา เซลล์ที่ไวต่อแสงจะทำหน้าที่รับภาพและแปลงสัญญาณไฟฟ้า ส่งต่อเข้าสู่เส้นประสาทตาและสมอง เพื่อแปรภาพที่เห็นตามลำดับ เมื่อจอประสาทตาฉีกขาดและลอกหลุดจากผนังด้านหลังของตา เซลล์ที่ไวแสงจะเริ่มเสื่อมสมรรถภาพจนไม่สามารถส่งภาพเข้าสู่เส้นประสาทตาและสมองได้ ดวงตาจึงเริ่มมีปัญหาในการรับภาพ หากมิได้รับการรักษาโดยเร็ว ตาจะค่อยๆบอดลงในที่สุด

อะไรคือสาเหตุ :

จอประสาทตาลอกมักเกิดจากการเสื่อมของน้ำวุ้นตา โดยปกติภายในลูกตาจะเต็มไปด้วยน้ำวุ้นใสที่เรียกว่า น้ำวุ้นตา เมื่อน้ำวุ้นเสื่อมจะเกิดการสลายตัว และเกิดผลกระทบทำให้จอประสาทตาฉีกขาดและหลุด

อาการเป็นอย่างไร :

1. เห็นเงาดำเป็นจุดหรือหยากไย่ที่เกิดขึ้นโดยทันที หรือหากเคยเห็นอยู่ก่อนแล้ว จะเห็นเพิ่มมากขึ้น

2. มีไฟแลบเกิดขึ้นทั้งในเวลาหลับตาและลืมตา

3. มีเงาคล้ายม่านดำมาบัง ทำให้สายตัวมัวและมืดลงในที่สุด

รักษาได้อย่างไร :

ในกรณีที่จอประสาทตาฉีกขาดหรือมีรูรั่ว จักษุแพทย์จะพิจารณาจากตำแหน่งของโรค เพื่อตัดสินว่าจะเลือกวิธีรักษาวิธีใด ซึ่งมีทั้ง การฉายแสงเลเซอร์ที่จอประสาทตา และ การรักษาโดยใช้ความเย็น


10 สายตาเพลีย


สายตาเพลีย

การใช้สายตาในการอ่าน เขียน ดู หรือทำงานอยู่กับโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ สิ่งพิมพ์ต่างๆ โดยใช้เวลาค่อนข้างมากในแต่ละวัน ปัญหาตามมาที่พบค่อนข้างบ่อย คือ อาการไม่สบายตา เช่น ปวดเบ้าตา หรือปวดรอบดวงตา สายตาพร่าลายขณะทำงาน อาการต่างๆที่เกิดขึ้นนี้เราเรียกว่า อาการ “สายตาเพลีย”

อะไรคือสาเหตุ :

มีปัจจัย สำคัญๆ 3 ประการ คือ 1. สภาวะแวดล้อม 2. ความผิดปกติของตา ที่มีส่วนทำให้กล้ามเนื้อตาต้องทำงานมากขึ้น 3. สาเหตุทางร่างกายและจิตใจ

อาการเป็นอย่างไร :

เมื่อผู้ป่วยมีสายตาเพลีย อาจมีการมองเห็นภาพหรือตัวอักษร พร่าลายเป็นพักๆ หรือบางครั้งเห็นภาพซ้อนได้ นอกจากนี้อาจเกิดอาการปวดเมื่อยตา หนังตาหนัก เคืองระคายตา แสบตา น้ำตาไหล บางครั้งมีอาการ มึนศีรษะร่วมด้วย และมักมีอาการในช่วงบ่าย

รักษาได้อย่างไร :

ควรไปตรวจกับจักษุแพทย์เพื่อทราบว่ามีสาเหตุจากโรคตาอื่นหรือไม่ การใช้สายตาอ่านหนังสือหรือทำงานมากๆ ทำให้ไม่สบายตา หงุดหงิด ประสิทธิภาพการทำงานลดลง การรักษาที่ดีที่สุด คือ การป้องกันโดยใช้แสงสว่างพอเหมาะและทิศทางที่ถูกต้อง สิ่งที่ดูควรห่างจากตาประมาณ 35 เซนติเมตร และพักสายตาโดยการหลับตาหรือมองไกลเป็นระยะๆ ทุกครึ่งชั่วโมง เป็นเวลา 1-2 นาที รวมไปถึงการดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนนอนหลับเพียงพอ


09 เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้


เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้

เยื่อบุตาคือ เยื่อแผ่นบางๆ ครอบคลุมส่วนที่เป็นตาขาวและผลิตเมือกเพื่อเคลือบและหล่อเลี้ยงผิวของดวงตา เมื่อเยื่อบุตาเกิดการระคายเคืองหรือบวม เส้นเลือดบริเวณนั้นก็จะบวม และทำให้ตาค่อยๆ แดงขึ้น

อะไรคือสาเหตุ :

การระคายเคืองไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม สามารถทำให้เยื่อบุตาอักเสบได้

อาการเป็นอย่างไร :

อาการที่สำคัญที่สุดคือ ผู้ป่วยจะคันตา ในเด็กเล็กซึ่งไม่สามารถพูดหรือบอกความรู้สึกของตนเองได้ ผู้ปกครองสามารถสังเกตเห็นได้เองว่าเด็กจะชอบขยิบตาหรือขยี้ตาทั้งสองข้างเสมอๆ เมื่อเริ่มมีอาการเยื่อบุตาขาวจะแดงเรื่อ แต่เมื่อมีอาการเรื้อรัง เยื่อบุตาขาวจะมีสีน้ำตาล-แดง และผู้ป่วยอาจมีขี้ตาลักษณะเป็นเมือกใสออกมา อาการจะเป็นมากในช่วงกลางคืนเมื่อเข้านอนและหลังตื่นนอนตอนเช้า เพราะสิ่งที่แพ้ส่วนใหญ่เป็นฝุ่นและตัวไรที่อยู่ในห้องนอนของผู้ป่วย

การอักเสบ : เกิดจากการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย

ไวรัสเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เยื่อบุตาอักเสบ โดยทั่วไปตาแดงหมายถึง เยื่อบุตาอักเสบจากไวรัส ซึ่งทำให้การสร้างน้ำตาลดลง และเป็นโรคที่สามารถติดต่อกันได้จากน้ำตาผู้ป่วย จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้าและผ้าเช็ดตัว รวมถึงการล้างมือบ่อยๆ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดต่อของโรคได้

แบคทีเรีย เช่น Staphylococus ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของตาแดงซึ่งผู้ป่วยจะมีขี้ตาเป็นเมือกออกมามาก แต่ไม่ติดต่อไปยังผู้อื่น

รักษาได้อย่างไร :

1. ลดการสัมผัสหรือถูกสิ่งที่แพ้ อันได้แก่ ไรฝุ่นและฝุ่นละอองที่อยู่ในห้องนอน ดังนั้นการจัดห้องนอนที่เหมาะสม สามารถทำให้อาการดีขึ้นหรือหายได้

2. การรักษาด้วยยา แพทย์จะเลือกใช้ยาให้เหมาะสมกับอาการและความรุนแรงของโรค ซึ่งมีทั้งยาหยอดตาและยารับประทาน


08 ม่านตาอักเสบ


ม่านตาอักเสบ

ม่านตาอักเสบ คือ การอักเสบของม่านตา ซึ่งเป็นเนื้อเยื้อที่กั้นอยู่ระหว่างช่องหน้าตาของลูกตาและเลนส์แก้วตา ทำหน้าที่กั้นแสงให้เข้าสู่ดวงตาชั้นในอย่างเหมาสม

อะไรคือสาเหตุ :

อาการอักเสบของม่านตา อาจเกิดจากเชื้อไวรัส เชื้อรา หรือพยาธิ แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน นอกจากนี้ยังอาจเกี่ยวข้องกับโรคตาอื่นๆ ตลอดจนอาการเจ็บป่วยในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เช่น ข้อต่ออักเสบ

อาการเป็นอย่างไร :

ดวงตามักมีความไวต่อแสง การมองเห็นเริ่มพร่ามัวทีละน้อย ปวดตาและตาแดง ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยฉับพลัน หรือทีละน้อย

รักษาได้อย่างไร :

ใช้ยาหยอดตาโดยเฉพาะอย่างยิ่งสเตอรอยด์ เพื่อลดอาการอักเสบและปวดตา หากมีอาการมากอาจต้องรักษาด้วยการรับประทานยาและฉีดยา หากเกิดอาการแทรกซ้อนด้วยโรคตาอย่างอื่น เช่น ต้อหิน ต้อกระจก หรือการก่อตัวของเส้นเลือดใหม่ อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการทำศัลยกรรมหรือเลเซอร์


07 ศัลยกรรมเปลี่ยนกระจกตา


ศัลยกรรมเปลี่ยนกระจกตา

กระจกตา คือ ดวงตาส่วนหน้าที่เป็นเนื้อเยื้อโปร่งใส ทำหน้าที่ส่งผ่านลำแสงเข้าสู่ดวงตาชั้นใน ทำให้เราสามารถมองเห็นภาพต่างๆ ได้อย่างชัดเจน

อะไรคือสาเหตุ :

การบาดเจ็บที่กระจกตาซึ่งเกิดจากมีด ดินสอ และวัตถุมีคมอื่นๆ

แผลเป็นที่กระจกตาอาจเกิดจากการถูกดอกไม้ไฟ แบตเตอรี่ระเบิด สารเคมีมีพิษ โดยเพาะอย่างยิ่งน้ำกรด

การเกิดอักเสบโดยเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา หรือไวรัส

อาการผิดปกติโดยพันธุกรรม อาจทำให้กระจกตาขุ่นมัว และสูญเสียการมองเห็น

อาการเป็นอย่างไร :

กระจกตาที่มีบาดแผลหรือเป็นโรคทำให้เกิดอาการขุ่นมัวและผิดปกติ ซึ่งปิดกั้นมิให้ลำแสงผ่านเข้าไปยังด้านหลังของดวงตา อาการที่พบคือ ความเจ็บปวด สายตาเลือนลาง หรือแม้กระทั่งตาบอด

รักษาได้อย่างไร :

หากกระจกตาถูกทำลายอย่างร้ายแรง การรักษาทำได้เพียงประการเดียวคือ การทำศัลยกรรมเปลี่ยนกระจกตา โดยนำกระจกตาที่มีผู้บริจาคมาใส่แทน จะสามารถทำได้โดยง่ายเนื่องจากกระจกตาไม่มีเส้นเลือด ศัลยกรรมเปลี่ยนกระจกตานับเป็นการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด


06 เยื่อบุตาอักเสบ


เยื่อบุตาอักเสบ

เยื่อบุตาอักเสบ คืออะไร เยื่อบุตา คือ เยื่อแผ่นบางๆ ครอบคลุมส่วนที่เป็นตาขาว และผลิตเมือกเพื่อเคลือบและหล่อเลี้ยงผิวของดวงตา เมื่อเยื่อบุตาเกิดการระคายเคืองหรือบวม เส้นเลือดบริเวณนั้นก็จะบวม และทำให้ตาค่อยๆ แดงขึ้น

อะไรคือสาเหตุ :

การระคายเคืองไม่ว่าจะเกิดจากอะไรก็ตามสามารถทำให้เยื่อบุตาอักเสบได้

อาการเป็นอย่างไร :

การอักเสบ ไวรัสและแบคทีเรีย :

ไวรัสเป็นสาเหตุที่ทำให้เยื่อบุตาอักเสบ โดยทั่วไปตาแดงหมายถึง เยื่อบุตาอักเสบจากไวรัสที่ทำให้น้ำตาลลดลงและจะมีอาการประมาณ 1-2 สัปดาห์

แบคทีเรีย เช่น Staphylococus เป็นสาเหตุของตาแดงและจะมีขี้ตาเป็นเมือกออกมามาก เยื่อบุตาอักเสบสามารถติดต่อกันได้จากน้ำตาผู้ป่วย ควรหลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้าและผ้าเช็ดตัว การล้างมือบ่อยๆ เป็นการช่วยลดการติดต่อของการอักเสบ

ภูมิแพ้ และอาการระคายเคืองจากสภาพแวดล้อม เป็นสาเหตุของตาแดง ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับน้ำตา และอาการคัน ในบางกรณีตาแดงเป็นสาเหตุที่ทำให้ตาบอดได้ อาการเจ็บตา สายตามัว ตาไม่สู้แสงเป็นอาการทั่วไปของโรคนี้ หากมีอาการดังกล่าวควรพบจักษุแพทย์ให้เร็วที่สุด

รักษาได้อย่างไร :

จักษุแพทย์จะให้ยาหยอดตาและยารับประทานแก่ผู้ป่วยหลังจากที่วินิจฉัยโรคแล้ว



05 จอประสาทตาเสื่อมจากเบาหวาน


จอประสาทตาเสื่อมจากเบาหวาน

เบาหวานเกิดจากความบกพร่องของร่างกายในการเผาผลาญและสะสมน้ำตาล ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง อาจมีผลทำให้สายตามัว เพราะกำลังสายตาเปลี่ยนไปตามระดับน้ำตาลในเลือดไม่คงที่ ในระยะยาวขนาดของหลอดเลือดขนาดเล็กจะมีการเปลี่ยนแปลงทั่วร่างกาย รวมถึงเส้นเลือกในลูกตาซึ่งมีผลกระทบต่อนัยน์ตา ที่สำคัญคือ ภาวะจอประสาทตาเสื่อมและต้อหินซึ่งทำให้ตาบอดได้ในที่สุด นอกจากนี้ผู้ป่วยเบาหวานยังมีโอกาสเป็นต้อกระจกได้เร็วกว่าคนปกติเนื่องจากมีน้ำตาลในเลือดมากเกินไป

อะไรคือสาเหตุ :

สาเหตุที่แท้จริงไม่สามารถสรุปได้ คาดว่าโรคเบาหวานจะไปทำลายหลอดเลือดขนาดเล็กที่ทำหน้าที่ส่งเลือดไปเลี้ยงจอประสาทตา สตรีมีครรภ์และผู้ที่เป็นโรคความดันสูงร่วมกับเบาหวาน จอประสาทตาอาจเสื่อมเร็วและรุนแรงกว่าผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานเพียงโรคเดียว

อาการเป็นอย่างไร :

สายตาจะค่อยๆพร่ามัว มองเห็นไม่ชัดเจน แม้ว่าโรคดังกล่าวจะไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด แต่ผู้ป่วยควรจะรีบไปพบจักษุแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที เพราะเบาหวานเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตาบอดได้หากรักษาไม่ถูกต้องหรือรักษาช้าเกินไป

รักษาได้อย่างไร :

เมื่อจักษุแพทย์พบว่าคนไข้มีอาการของโรคเบาหวานขึ้นจอประสาทตา ก่อนที่จะทำการรักษาจักษุแพทย์จะพิจารณาถึงอายุ ประวัติการรักษาโรคเบาหวานและวิธีการดำเนินชีวิตของผู้ป่วย ตลอดจนความรุนแรงของโรคที่จอประสาทตา ณ ปัจจุบัน ซึ่งในกรณีถ้าอาการของคนไข้ยังเป็นไม่มาก อาจเพียงติดตามดูอาการเป็นระยะๆ และให้คนไข้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดตามขึ้นตอนของการรักษาโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นวิธีการประคับประคองไม่ให้อาการเบาหวานขึ้นจอประสาทตาเป็นมากขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้าในกรณีที่คนไข้มีอาการรุนแรงมากขึ้น เช่น มีการรั่วซึมของเลือดหรือน้ำเหลืองจากเส้นเลือดที่ผิดปกติที่จอประสาทตาจนทำให้จุดรับภาพบวม ซึ่งจะต้องทำการฉีดยาลดอาการบวม และยิงเลเซอร์เพื่อห้ามการไหลซึมของเลือดหรือน้ำเหลืองที่ออกจากเส้นเลือดดังกล่าว เป็นต้น ทั้งนี้ จักษุแพทย์จะทำการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับอาการที่เกิดขึ้นตามดุลยพินิจ


04 ตาแห้ง & มะเร็งเต้านม และคลิปวิธีตรวจเต้านมด้วยตัวเอง


ตาแห้ง

ตาแห้ง คือ สภาวะที่ดวงตาผลิตน้ำตาไม่เพียงพอต่อการหล่อลื่นและให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตา

อะไรคือสาเหตุ :

- อายุ ทั่วไปแล้วน้ำตาจะค่อยๆ ลดลงเองตามวัยที่มากขึ้น

- เพศ มักพบในผู้หญิงวัยหลังหมดประจำเดือน

- ยาบางชนิด อาจทำให้การสร้างน้ำตาลดน้อยลง เช่น ยากลุ่ม Antic drug หรือ Antihistamine กลุ่มยาแก้แพ้ลดน้ำมูก และยารักษาสิวบางชนิด เช่น Roacutane

- โรค Sjogren’s Syndrome ซึ่งจะเกิดกับผู้หญิงเท่านั้น อาจมีอาการตาแห้งร่วมกับปากแห้งและข้ออักเสบ

อาการเป็นอย่างไร :

จะเกิดการระคายเคืองคล้ายมีเศษผงเข้าตา ฝีด แสบร้อน บางรายอาจมีขี้ตาเป็นเมือกเหนียวและตาแฉะ

รักษาได้อย่างไร :

- หยอดน้ำตาเทียม

- กระพริบตาเป็นระยะเพื่อให้น้ำตาเคลือบกระจกตาสร้างความชุ่มชื้นและป้องกันการระเหยของน้ำตา



ดาวน์โหลดคลิปวิธีตรวจเต้านมด้วยตัวเอง(ต้นฉบับมีเสียง)คลิกซ้ายที่นี่...



มะเร็งเต้านม และคลิปวิธีตรวจเต้านมด้วยตัวเอง

มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบบ่อยในหญิงไทยเป็นที่สองรองจากมะเร็งปากมดลูก มักเกิดในหญิงอายุ 40 ปีขึ้นไปและพบมากในหญิงที่ไม่มีบุตรหรือมีบุตรน้อย และในผู้ที่มีประวัติญาติพี่น้องเคยเป็นมะเร็งเต้านม หญิงอายุน้อยหรือชายก็อาจเป็นมะเร็งเต้านมได้ แต่พบได้น้อย

สาเหตุการเกิดโรค ยังไม่ทราบแน่นอน แต่ในทางระบาดวิทยา อาหารไขมันสูง มีส่วนทำให้เกิดโรคได้ ตำแหน่งเกิดของมะเร็งเต้านมมักเป็นที่ส่วนบนด้านนอกของเต้านมมากกว่าส่วนอื่น

ลักษณะอาการของโรค

เริ่มจากการคลำก้อนไม่ได้จนถึงมีก้อนเล็กๆ ขึ้นที่เต้านม ส่วนมากจะไม่มีอาการเจ็บปวด

ก้อนจะโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เต้านมมีลักษณะผิดไป อาจทำให้เต้านมใหญ่ขึ้น หรือบางชนิดทำให้เต้านมแข็ง หดตัวเล็กหรือแบนลงได้ ก้อนมะเร็งอาจจะรั้งให้หัวนมบุ๋ม เข้าไปจากระดับเดิม หรือทำให้ผิวหนังบริเวณเต้านมมีลักษณะ หยาบ และขรุขระ บางรายเมื่อบีบบริเวณหัวนมจะมีน้ำเหลืองหรือเลือดไหลซึมออกมา

มะเร็งจะลุกลาม แพร่กระจายจากตำแหน่งที่เกิดได้อย่างรวดเร็วไปตามหลอดเลือด และน้ำเหลืองสู่อวัยวะอื่นๆ

บริเวณที่พบการแพร่กระจายได้เร็วและบ่อยที่สุดได้แก่ ต่อมน้ำเหลือง ที่รักแร้

ในรายที่เป็นมากแล้วเนื้อมะเร็งบางส่วนจะเน่าตาย ทำให้เกิดเป็นแผลขยายกว้างออกไป และมีกลิ่นเหม็นจัด

การตรวจวินิจฉัยและรักษา

การตรวจพบและรักษามะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะเริ่มแรก จะมีโอกาสหายขาดได้

การตรวจเต้านมด้วยตนเองเดือนละครั้งเป็นประจำ หลังหมดประจำเดือน 7 วัน และ การตรวจโดยเอ็กซเรย์เต้านม ช่วยให้พบความผิดปกติ หรือก้อนมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก

การรักษานั้นอาจทำโดยการผ่าตัดการบำบัดทางรังสี และการใช้ยาสังเคราะห์บางประเภท ทั้งนี้อาจจะให้การรักษาโดยวิธีการเดียวหรือร่วมกันไปก็ได้ ขึ้นอยู่กับผลการ ตรวจพิเศษ ของชิ้นเนื้อมะเร็งและต่อมน้ำเหลืองที่ผ่าตัดออกมา

ข้อพึงปฏิบัติ

ควรตรวจเต้านมด้วยตนเองเดือนละครั้งเป็นประจำ หลังหมดประจำเดือน 7 วัน หากพบก้อนหรือสิ่งผิดปกติใด ๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

ให้ความร่วมมือในการรักษา อย่าหลงเชื่อและเสียเวลาไปกับการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีการทางไสยศาสตร์และยากลางบ้าน เพราะมะเร็งนั้นจะโตขึ้นเรื่อยๆ โอกาสที่จะหายขาดจะลดลง ทุกขณะ

พึงระลึกเสมอว่ามะเร็งของเต้านมหรืออวัยวะใดก็ตาม ถ้าได้รับการรักษาในระยะเริ่มต้น เร็วเท่าไร ความหวังที่โรคจะหายขาดก็ยิ่งมีมากขึ้นเพียงนั้น


03 ต้อลมและต้อเนื้อ


ต้อลมและต้อเนื้อ

ต้อลม คือ ก้อนเนื้อเยื่อที่งอกอยู่บนตาขาวข้างกระจกตาดำ มีลักษณะเป็นแผ่นหนาหรือนูนกลมสีขาวเหลือง มักพบทางหัวตามากกว่าหางตา บางครั้งเกิดได้ทั้งสองบริเวณ เมื่ออักเสบจะมีอาการแสบเคืองตา และตาแดงในบริเวณที่เป็นต้อ ต้อลมสามารถกลายเป็นต้อเนื้อได้

ต้อเนื้อ คือ ต้อลมที่ขยายตัวใหญ่และหนาขึ้น จนลามเข้าไปในกระจกตาดำ มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมซึ่งมีฐานอยู่ที่ตาขาว และยอดแหลมยื่นเข้าไปในกระจกตาดำ อาจเกิดได้ทั้งทางด้านหัวตาและหางตา พบที่บริเวณหัวตาบ่อยกว่าบริเวณหางตา

อะไรคือสาเหตุ :

น่าจะเกิดจากการที่ตาถูกรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตในแสงแดดอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานหลายๆ ปี ทำให้เซลล์ของเยื่อ เมือกบุตาขาวสร้างสารประเภทโปรตีนและไขมันมากกว่าปกติจนเป็นก้อนหรือแผ่นหนาอยู่ข้างกระจกตาดำ

อาการเป็นอย่างไร :

ผู้ป่วยอาจจะไม่มีอาการใดๆ ทั้งสิ้น ต้อลมอาจจะบังจุดศูนย์กลางของกระจกตาดำ ทำให้ตามัวลงจนมองเห็นไม่ชัด

รักษาได้อย่างไร :

เมื่อต้อลมอักเสบจะทำให้ตาแดงและระคายเคือง สามารถใช้ยาหยอดตาตามแพทย์สั่งเพื่อบรรเทาอาการได้ตามความจำเป็น กรณีของต้อเนื้อ หากมีขนาดใหญ่จนเห็นได้ชัด ควรรับการผ่าตัดเพื่อลอกต้อออก และปลูกเนื้อเยื่อใหม่ทดแทน ซึ่งจะลดโอกาสในการเกิดต้อขึ้นใหม่จากเดิม 40-50% เหลือเพียง 5-10%


02 ต้อหิน


ต้อหิน

ต้อหิน เป็นอาการของโรคตาที่เกิดจากความดันภายในลูกตาสูงผิดปกติ เป็นผลให้ประสาทตากระทบกระเทือนและสูญเสียการมองเห็น ภายในลูกตาจะมีของเหลว (Aqueous) ที่เป็นวุ้น ซึ่งจะมีการหมุนเวียน ถ่ายเทอยู่เสมอ โดยน้ำวุ้นนี้จะไหลออกจากดวงตาไปตามท่อที่อยู่มุมหัวตา เพื่อกลับคืนสู่กระแสโลหิต หากร่างกายผลิตน้ำวุ้นมากเกินไป หรือระบบระบายทำงานต่ำกว่าปกติ จะมีผลทำให้ความดันในดวงตาพุ่งสูงขึ้น

อะไรคือสาเหตุ :

ความผิดปกติของความดันภายในลูกตาเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดการลุกลามของต้อหิน ภายในลูกตาของเรานั้น จะมีส่วนเรียกว่า ช่องด้านหน้าของลูกตา (Anterior Chamber) ซึ่งมีตำแหน่งอยู่หลังกระจกตา แต่อยู่หน้าม่านตา และภายในช่องนี้ มีของเหลว ที่เรียกว่า Aqueous humor บรรจุอยู่เต็ม ของเหลวนี้จะทำหน้าที่นำ ออกซิเจน และสารอาหารที่จำเป็นไปหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง ซึ่งทั่วไปแล้วอัตราการสร้างของเหลวนี้จะสมดุลพอดีกับอัตราการไหลออก เราจึงมีระดับความดันภายในลูกตาที่ปกติ แต่ในสภาวะที่เป็นต้อหิน ของเหลวนี้จะไหลออกจากลูกตาด้วยอัตราที่น้อยลง จนทำให้ระดับความดันภายในลูกตาเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างช้าๆ และต่อเนื่อง ซึ่งถ้าเพิ่มขึ้นเป็นเวลานาน จะส่งผลให้ขั้วประสาทถูกทำลาย จนถึงขั้นสูญเสียการมองเห็น

ใครบ้างที่อาจเป็นต้อหิน :

1. ผู้ที่คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคต้อหิน

2. ผู้มีวัยสูงกว่า 50 ปี

3. ผู้เป็นโรคเบาหวาน

4. ผู้มีภาวะสายตาสั้นมากๆ

5. ผู้ที่ดวงตาเคยเป็นแผล

อาการเป็นอย่างไร :

สำหรับผู้ที่ตรวจพบเป็นต้อหินในระยะแรกๆ นั้น สายตาจะยังปกติอยู่ ไม่มีอาการปวด หรือผิดปกติใดๆ แต่เมื่อปล่อยให้โรคนี้ลุกลาม ผู้ป่วยจะเริ่มรู้สึกถึงการมองเห็นที่เปลี่ยนไป โดยจะมองเห็นวัตถุที่อยู่ข้างหน้าได้ชัดดี แต่จะไม่เห็นวัตถุที่อยู่ข้างๆ ซึ่งหมายความว่า ลานสายตาของผู้ป่วยแคบลง และถ้าไม่ทำการรักษา อาการของโรคจะทวีความรุนแรงมากขึ้น จนทำให้ลานสายตาค่อยๆแคบลง จนสูญเสียการมองเห็นไปในที่สุด

จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นต้อหิน :

ต้อหินถูกเรียกว่า “ขโมยสายตา” เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วไม่ปรากฏอาการใด จะทราบได้ด้วยการตรวจลานสายตาเท่านั้น

ต้อหินมีสี่ประเภท คือ

ต้อหินเรื้อรัง หรือ ต้อหินมุมเปิด ซึ่งพบมากที่สุดและเป็นกรรมพันธุ์ เกิดจากการที่แรงดันสะสมเพิ่มขึ้นทีละน้อยเป็นเวลานาน และทำลายการมองเห็นจากรอบนอกสู่ศูนย์กลางดวงตา

ต้อหินแบบเฉียบพลัน หรือ ต้อหินมุมปิด จะสร้างความเจ็บปวดรุนแรง และสายตาจะพร่ามัวฉับพลัน เนื่องจากความดันภายในลูกตาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจมีอาการเวียนศีรษะและคลื่นไส้ร่วมด้วย เมื่อเกิดอาการดังกล่าวควรไปพบจักษุแพทย์ทันที

ต้อหินแบบชั่วคราว หรือ ต้อหิน secondary เกิดจากแผลในดวงตา ตาอักเสบ เนื้องอก ตาบวม หรือแม้กระทั่งยาบางชนิด เช่น ยาหยอดตาบางชนิดที่มีสารสเตอรอยด์

ต้อหินโดยกำเนิด เป็นต้อหินประเภทสุดท้าย ซึ่งพบได้น้อยมาก

รักษาได้อย่างไร :

1. การใช้ยา มีทั้งยาหยอดและรับประทาน ตัวยาจะออกฤทธิ์ลดความดันลูกตา โดยลดการสร้างของเหลว ในด้านหน้าลูกตา หรือไปช่วยการไหลของของเหลวนี้ออกจากลูกตา หัวใจสำคัญอยู่ที่การใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อควบคุมความดันลูกตาอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้ไปทำลายขั้วประสาทตาและลานสายตารวมทั้งการมองเห็น

2. การใช้อาร์กอนเลเซอร์ ซึ่งเป็นเลเซอร์ ที่มีพลังงานสูง โดยจะฉายแสงไปที่บริเวณมุมของช่องด้านหน้าลูกตา เพื่อเปิดให้ของเหลวในลูกตา ไหลออกไปสู่ระบบไหลเวียนลูกตาได้สะดวกขึ้น

3. การผ่าตัด เป็นการผ่าตัดเปิดทางให้ของเหลว Aqueous ไหลออกจากตาได้อย่างสะดวก ซึ่งมักจะทำเฉพาะในผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้วิธีอื่นๆ

วิธีป้องกันการสูญเสียสายตาด้วยโรคต้อหิน สามารถทำได้หากตรวจพบในระยะเริ่มแรกและมีการรักษาอย่างถูกต้อง โดยการรับประทานยาและหยอดตาควบคู่กันไป การหยอดตาอย่างสม่ำเสมอด้วยวิธีที่ถูกต้องสำคัญมากในการรักษาโรคต้อหิน อีกทางหนึ่งคือ การรักษาด้วยเลเซอร์ ซึ่งไม่เจ็บปวดเลยและสามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าพักในโรงพยาบาล การผ่าตัดเพื่อสร้างระบบระบายของเหลวใหม่อาจเป็นสิ่งจำเป็น หากไม่สามารถควบคุมต้อหินได้ด้วยวิธีอื่น


01 ต้อกระจก


ต้อกระจก

ต้อกระจก คืออะไร ต้อกระจกเกิดจากการขุ่นตัวของแก้วตา (เลนส์ตา) โดยปกติแก้วตามีลักษณะใส ทำหน้าที่รวมแสง ให้ตกลงพอดีบนจอประสาทตา เมื่อเกิดต้อกระจก จอประสาทตารับแสงได้ไม่เต็มที่ ทำให้ผู้ป่วยมีสายตาพร่ามัว เหมือนมองผ่านกระจกฝ้า แต่ไม่มีอาการอักเสบหรือเจ็บปวดใดๆ ยิ่งแก้วตาขุ่นขึ้น การมองเห็นก็จะลดน้อยลง

อะไรคือสาเหตุ :

- วัย สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือ ความชราซึ่งทำให้แก้วตาขุ่นมัวและแข็งขึ้น

- อุบัติเหตุ ต้อกระจกเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย หากดวงตาได้รับอันตรายจากการกระทบกระเทือนอย่าง รุนแรง โดนของมีคมหรือสารเคมี หรือแสงรังสี

- โรคตาหรือโรคทางร่างกายบางโรค เช่น การติดเชื้อ โคเบาหวาน การรับประทานยาบางชนิด และโรค ตาบางโรคอาจจะเป็นสาเหตุหรือกระตุ้นให้เลนส์ตาขุ่นเร็วขึ้นได้

- กรรมพันธุ์และความผิดปกติแต่กำเนิด ในกรณีที่ผู้ป่วยยังเยาว์วัย ต้อกระจกเกิดขึ้นได้จากกรรมพันธุ์ หรือการติดเชื้อและการอักเสบตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เช่น มารดาเป็นหัดเยอรมันขณะตั้งครรภ์

อาการเป็นอย่างไร :

- สายตามัวเหมือนมีฝ้าหรือหมอกบัง

- เห็นภาพซ้อน สายตาพร่า สู้แสงไม่ได้

รักษาได้อย่างไร :

- ในบางกรณีอาจใช้ยาหยอดตา เพื่อชะลอความรุนแรงของต้อกระจก

- สลายต้อด้วยคลื่นอุลตร้าซาวด์ หรือ “เฟโค”

- การใส่เลนส์แก้วตาเทียมจะใช้ในกรณีที่ต้อกระจกสุกและแข็งตัวมาก


วิธีการรักษาด้วยคลื่นอุลตร้าซาวด์ :

แพทย์จะเจาะช่องเล็กๆ ที่ผนังตาขาว เพื่อสอดเครื่องมือสลายต้อ เข้าไปที่ต้อกระจก ปล่อยคลื่นอุลตร้าซาวด์สลายต้อจนหมด แล้วดูดออก จากนั้นใส่เลนส์แก้วตาเทียม ที่มีอายุการใช้งานตลอดชีพ เข้าไปแทนที่ แผลจะเล็กมากและสมานได้เอง โดยไม่ต้องเย็บแผล ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ โดยไม่จำเป็นต้องพักฟื้นที่ โรงพยาบาล และ ใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ