ห้องตรวจตา...ชั้น 5 อาคารเฉลิมพระเกียรติ

Blogนี้ผมตั้งใจทำขึ้นเพื่อตอบแทนสดุดีนโยบายบัตรทองประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรคของรัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร
จะรีบไปไหน...จะรีบไปไหน...รอโหลดซักกะเดี๋ยวซิครับ คลิก...นโยบาย"ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ"

* ขอขอบคุณที่ติดตามรับชมและช่วยประชาสัมพันธ์ลิงค์ http://eye009.blogspot.com/ ให้แพร่หลาย *
@ ปู้นนน...!!! คนเมืองใต้เจียงใหม่ของหมู่เฮาลงไปตางปู๊นนน..... * * * * * @ 2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย . . . ร่วมด้วยช่วยกันเผยแพร่สื่อสารถึง"คนเสื้อแดง"ทั่วไทยและทั่วโลก . . . ขอขอบพระคุณเจ้าของclipภาพถ่ายและบทความทุกๆท่านที่กรุณาเอื้อเฟื้อแบ่งปัน . . .น้ำใจซื้อขายไม่ได้ แต่น้ำใจให้กันได้...อิอิ


PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับส่วนต่างๆและระบบการทำงานของดวงตา, โรคตาต่างๆ และวิธีการดูแลรักษาดวงตาอย่างถูกต้องที่สามารถปฏิบัติตามในเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง... ขอขอบคุณ www.knowledge.com

วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

31 เลือกแว่นให้จ๊าบ...


เลือกแว่นให้จ๊าบ...
by: ศ.พญ.สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต

เดี๋ยวนี้เป็นที่ฮือฮา ในคนสายตาสั้น ที่หันมาเลือกการแก้ไข โดยใช้เครื่อง Ezcimer laser โดยวิธีใหม่สุดที่เรียกว่า Lasix ซึ่งเป็นวิธีการ ผ่านกระจกออกก่อน แล้วใช้แสง Excimer ตัดกระจกตาออกมา บางส่วนและนำส่วนของกระจกตา ที่ฝานออกมาปิดไว้เหมือนเดิม

แม้จะเป็นวิธีที่ถือว่า มีการพัฒนาการไปอย่างมากจนเชื่อถือได้แล้ว แต่คงจะต้องมีการเสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก ไม่เหมาะกับยุคนี้

วิธีแก้ไขสายตาผิดปกติที่ง่ายที่สุดใช้กันมานานที่สุด คงหนีไม่พ้นแว่นสายตา คาดว่าแว่นสายตาเริ่มมีใช้ตั้งแต่ ปี ค.ศ.1286 ในปัจจุบันคาดว่าประมาณครึ่งหนึ่งของชาวอเมริกัน ใช้แว่นตาจึงถือเป็นอุปกรณ์สำหรับชีวิตประจำวันที่สำคัญกล่าวกันว่า ธุรกิจเกี่ยวกับแว่นตาในสหรัฐอเมริกามีมูลค่าถึงกว่า 7 ล้านๆ เหรียญสหรัฐ

วิวัฒนาการของแว่นตา มีหลักฐานบันทึกไว้ว่า 100 ปี ก่อนคริสตศักราช บุคคลสำคัญชาวโรมันที่มีอายุมากขึ้น มองระยะใกล้ไม่ชัดเจนจนอ่านหนังสือเองไม่ได้ ต้องใช้ทาสอ่านหนังสือให้ฟัง เป็นยุคก่อนจะมีแว่นตา ชาวกรีกโบราณใช้ลูกแก้วบรรจุน้ำวางบนหนังสือ จะได้ตัวหนังสือที่ขยายใหญ่ขึ้น มีคนพยายามใช้มรกต ช่วยตัดแสงจ้าออกช่วยในการอ่านหนังสือ

จากบันทึกของ Marco Polo (ปี 1270) ว่า ชาวจีนเริ่มรู้จักใช้แว่นตา แต่เป็นการใช้เพื่อปกป้องดวงตา จากอันตรายมากกว่า แว่นตาคู่แรกที่คาดว่ามีในปี ค.ศ.1286 เป็นเลนส์เว้าโดยมีกรอบทำด้วยไม้โอ้ก แว่นอันถัดๆ มาอาจเป็นแว่นมือถือ เป็นแว่นที่ใช้แถบรัดศีรษะ ตลอดจนการใช้กล้ามเนื้อรอบเบ้าตาหนีบแว่นไว้ ซึ่งเรียกว่า Monocle คิดโดยชาวเยอรมัน ซึ่งมีปัญหาที่แว่นตาตกได้บ่อยๆ จึงไม่มีที่ใช้อีก

แว่นที่มีรูปทรงแบบที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ โดยมีเลนส์อยู่ในกรอบและมีก้านแว่นแนบกับขมับเกี่ยวไว้ที่หู แม้ว่ากรอบแว่นตาจะมีการพัฒนามาเรื่อยๆ ก็ยังได้รูปแบบที่ไม่ดีนัก กรอบยังต้องวางอยู่บนดั้งจมูกซึ่งมีรูปร่างขนาดแตกต่างกันระหว่างบุคคล ยังขึ้นกับระดับหูของผู้สวม ซึ่งอาจสูงต่ำไม่เท่ากัน กรอบยังขยับขึ้นลงบนดั้งจมูก การจะใช้สายตาออกมาชัดเจนดี เลนส์แว่นตาต้องอยู่ในแนวของสายตา การกลอกตาไปมา อาจทำให้แนวสายตากับแนวของเลนส์ไม่ตรงกัน ยังต้องมีก้านแว่นเกะกะเกี่ยวอยู่ข้างหู ด้วยข้อไม่ดีเหล่านี้ การจะให้คนบางคนใช้แว่นตาจึงต้องมีแรงจูงใจพอสมควร

แรงจูงใจที่สำคัญที่สุดคือการมองเห็นที่ชัดเจน แรงจูงใจอันถัดมาคือ กรอบแว่นตาที่สวยเข้ากับใบหน้า ทำให้ผู้สวมมีความมั่นใจยิ่งขึ้น ทุกคนที่ต้องใช้แว่นตา คงต้องการที่จะสวมแว่นที่ผู้อื่นมองดูแล้วชมว่าสวยงามเหมาะสม สะดุดตา เพิ่มพูนบุคลิก การเลือกกรอบแว่นตาที่เหมาะสมถูกต้อง ในการวาดภาพหรือถ่ายภาพ อันจะทำให้ภาพที่ออกมาสวย การใช้แว่นตาที่รูปแบบเหมาะสมก็จะเสริมบุคลิกของผู้สวมเช่นกัน ไหนๆ เราก็ตัดสินใจใช้แว่นสายตาแก้ไขความผิดปกติของสายตาแล้ว มาให้ความสนใจในการเลือกกรอบแว่นกันสักนิด

เริ่มต้นด้วยมาดูกันถึงแว่นตา ซึ่งประกอบด้วย กรอบแว่นตาซึ่งรับเลนส์ทั้ง 2 ข้างเชื่อมกันด้วยแกนหรือโครง ที่วางอยู่บนหรือหน้าดั้งจมูก และก้ามแว่นที่เกี่ยวกับหู การเลือกแว่นตาที่เหมาะสมอยู่ที่รูปแบบของกรอบแว่นตา อาจจะเป็นรูปกลม รูปรี รูปเหลี่ยม รูปแบบของบริเวณ ที่เชื่อมกรอบทั้ง 2 ข้าง ควรอยู่สูงหรือต่ำ ตลอดจนก้านแว่น บริเวณชิดกรอบแว่นควรจะมีรูปแบบหรือตกแต่งเพิ่มเติมอย่างไร


การเลือกรูปแบบ ของกรอบแว่นตา ขึ้นอยู่กับรูปหน้าของคนเรา ซึ่งอาจแบ่งได้เป็น 7 แบบ โดยอาศัยสัดส่วน ของความกว้าง และความยาวของใบหน้า และกำหนดจุดตำแหน่ง ของรูปหน้า ได้แก่ จุดที่หน้าผาก จุดที่โหนกแก้ม และจุดที่กราม ทำให้เราสามารถ เห็นลักษณะของรูปหน้า ได้ง่ายขึ้น และรูปหน้าพื้นฐาน อาจจะแบ่งได้เป็น 7 แบบ ได้แก่

1. รูปหน้าไข่ เป็นรูปหน้าที่สวยที่สุด คางจะแคบกว่าหน้าผากเล็กน้อย และโหนกแก้มจะสูง รูปกรอบที่ดี ควรจะรักษาความสมดุล ของรูปหน้านี้ไว้ ใบหน้ารูปไข่เป็นรูปหน้าที่ไม่เหลี่ยมไม่กลมจึงสามารถใช้กรอบแว่นทั้งกลม และเหลี่ยมได้ และควรหลีกเลี่ยงกรอบที่มีตำแหน่งขาแว่นต่ำ

2. หน้ารูปทรงข้าวหลามตัด เป็นรูปหน้าที่ส่วนหน้าผาก และคางแคบ ควรเลือกกรอบแว่นที่ลดความกว้างของโหนกแก้มลง และขยายส่วนหน้าผาก และคางให้กว้างขึ้น กรอบที่เหมาะกับรูปหน้านี้ ได้แก่ ทรงกลม ทรงเหลี่ยม หรือทรงที่ด้านบนตรงและด้านล้างมน

3. รูปหน้าทรงกลม เป็นรูปหน้าที่มีความกว้าง เท่ากับความยาวมีเหลี่ยมมุมบนใบหน้าน้อย ควรเลือกกรอบที่ช่วยเพิ่มเหลี่ยมมุมบนใบหน้าเพื่อทำให้หน้าดูยาวขึ้น และผอมลง กรอบที่มีเหลี่ยมมุมเล็กน้อยจะช่วยลดความกลมของใบหน้าได้ ควรเป็นกรอบที่มีความกว้างมากกว่าความยาว และมีตำแหน่งขาแว่นสูงหรือตรงกลาง ควรจะมีสีค่อนข้างเข้ม เช่น น้ำตาลเข้ม แดงเข้ม น้ำเงินเข้ม หรือลายกระก็ได้

4. รูปหน้าสี่เหลี่ยมจตุรัส เป็นรูปหน้าที่มีช่วงกรามเด่นชัด หน้าผาก โหนกแก้ม และคางกว้างควรเลือกกรอบที่ทำให้หน้าดูยาวขึ้น เป็นกรอบที่มีความกว้างมากอาจเป็นรูปที่มีตำแหน่งขาแว่นตาอยู่ตรงกลาง นอกจากนี้การใช้สีสานหรือตกแต่งช่วยมุมบนของกรอบ จะช่วยเพิ่มความยาวของใบหน้าได้ รวมทั้งการเล่นลวดลายที่ขาพับ ในตำแหน่งที่อยู่เหนือระดับตา

5. รูปหน้าทรงสามเหลี่ยมตั้ง เป็นรูปหน้าที่ส่วนหน้าผากแคบ ส่วนแก้มและคางกว้างควรเลือกกรอบแว่นที่เพิ่มความกว้างของหน้าผาก และลดความกว้างของแก้ม กรามและคาง กรอบด้านบนควรกว้างและหนา ส่วนกรอบด้านล่างควรทำมุมเข้า

6. รูปหน้ารูปสามเหลี่ยมคว่ำ เป็นรูปหน้าที่ตรงข้ามกับ รูปหน้าทรงสามเหลี่ยมตั้ง ด้านหน้าผากกว้าง โหนกแก้มสูง รูปหน้าจะค่อยๆแคบลงมาจนถึงคาง ควรเลือกกรอบแว่น ที่ด้านล่างกว้างกว่าด้านบนหรือกรอบที่ด้านบนกลม ด้านล่างเหลี่ยม ขาแว่นควรจะอยู่ในตำแหน่งล่างเพื่อช่วยสร้างความสมดุลให้แก่ใบหน้า

7. รูปหน้าทรงสี่เหลี่ยมยาว เป็นรูปหน้าที่ความกว้าง น้อยกว่าความยาว จึงควรเลือกกรอบที่ทำให้หน้าดูสั้นลง หรือกว้างขึ้น อาจเป็นทรงกลม ทรงยาว หรือทรงสามเหลี่ยมคว่ำ หรือกรอบที่มีแนวนอนหนารวมทั้งการเล่นลวดลายหรือตบแต่งขาแว่น และขาแว่นที่อยู่ตำแหน่งล่างจะช่วยให้ดูดีขึ้น

โดยสรุป การเลือกกรอบแว่นให้เหมาะสม ต้องพิจารณาองค์ประกอบที่สำคัญต่างๆ ควรเริ่มด้วย การวิเคราะห์สัดส่วนต่างๆของรูปหน้าทั้งด้านกว้าง และด้านยาวและจัดรูปหน้าว่าอยู่ในแบบใดในพื้นฐานทั้ง 7 แบบ เลือกกรอบแว่นที่เหมาะสมช่วยแก้ไขจุดด้อย และเสริมจุดเด่นให้แก่ใบหน้า โดยมีหลักสำคัญ 3 ประการ

1. ลักษณะกรอบควรจะแตกต่างหรือตัดกับรูปหน้า เช่น รูปหน้าทรงกลมควรเลือกกรอบที่มีเหลี่ยม

2. กรอบควรมีขนาดเหมาะสมกับขนาดใบหน้า หน้าใหญ่ไม่ควรใช้กรอบที่ใหญ่กว่าหน้า

3. กรอบควรสร้างสมดุลให้รูปหน้ามากที่สุด โดยสามารถแก้ไขความกว้าง ความยาวของส่วนต่างๆ บนใบหน้าให้เกิดสมดุลได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อเลือกรูปแบบของแว่นตาได้แล้ว ก็อย่าลืมพิถีพิถันเกี่ยวกับเลนส์ที่นำมาตัดด้วย อันจะทำให้ผู้สวมดูสวยสง่า และที่สำคัญมองเห็นได้ชัดเจนดีด้วย


วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

30 เบาหวานทำให้ตาบอดได้อย่างไร?


เบาหวานทำให้ตาบอดได้อย่างไร?
ขอขอบพระคุณ: thaiclinic.com

อย่าปล่อยให้ตัวคุณเองหรือญาติตาบอดเพราะเบาหวาน

1. โรคตาที่เกิดจากเบาหวานเป็นอย่างไร

กลุ่มโรคตาที่เกิดจากเบาหวาน ถือเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน ซึ่งมีความรุนแรงตั้งแต่ ทำให้ตามัว จนถึงตาบอด ประกอบด้วย

เบาหวานขึ้นจอรับภาพ (Diabatic Retinopathy) - มีการทำลายของเส้นเลือดที่เลี้ยงจอรับภาพ

ต้อกระจก (Cataract) - เลนส์แก้วตาเปลี่ยนสภาพจากใสเป็นขุ่น

ต้อหิน (Glaucoma) - ความดันตาสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำลายขั้วประสาทตา ทำให้ตาบอดแบบค่อย เป็นค่อยไปโดยไม่รู้สึกตัว

2. โรคไหนที่พบบ่อยที่สุด

เบาหวานขึ้นจอรับภาพ พบบ่อยที่สุดและเป็นสาเหตุของตาบอดอันดับหนึ่งในคนอเมริกัน เส้นเลือดที่เลี้ยงจอรับภาพจะบวม และรั่วน้ำเหลือง ทำให้จอรับภาพบวม และเกิดเส้นเลือดงอกผิดปกติที่จอรับภาพ และมีเลือดออกในลูกตา เพราะเส้นเลือดเหล่านี้จะเปราะแตกง่าย

3. ใครที่มีโอกาสเกิดเบาหวานขึ้นจอรับภาพ

คนไข้เบาหวานทุกคน ยิ่งเป็นเบาหวานนานเท่าไร โอกาสเกิดก็ยิ่งมากขึ้นพบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของคนไข้เบาหวาน เกิดเบาหวานขึ้นจอรับภาพ แต่ความรุนแรงอาจแตกต่างกันไป

4. อาการของเบาหวานขึ้นจอรับภาพเป็นอย่างไร

โรคนี้น่ากลัวตรงนี้เอง คือ ไม่มีอาการอะไรที่จะเป็นเครื่องเตือนคนไข้เลยในระยะแรกๆของโรค ไม่มัว ไม่เจ็บ ไม่ปวด จนกว่าโรคจะเป็นมาก ดังนั้น ถ้ารอจนมีอาการมักจะสายเกินไป

ตามัวจะเกิดขึ้นได้ ถ้าบริเวณแมคคิวล่าบวม จากน้ำที่รั่วจากเส้นเลือด หรือมีเส้นเลือดแตกแล้วมีเลือดออกมา จนทำให้น้ำวุ้นตาขุ่น

แม้แต่ในบางรายที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างมากมายภายในลูกตาแล้ว แต่อาการอาจยังไม่ปรากฏก็ได้

ดังนั้น การตรวจตาอย่างสม่ำเสมอเป็นระยะๆในคนไข้เบาหวาน จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก


5. จะรู้ได้อย่างไรว่าเบาหวานขึ้นจอรับภาพแล้วหรือยัง

ทางเดียวที่ดีที่สุด คือการพบจักษุแพทย์แล้วตรวจตาอย่างละเอียด การตรวจตาโดยจักษุแพทย์ จะครอบคลุมการตรวจ ทั้งต้อกระจก ต้อหินและจอรับภาพ ทั้งนี้ การตรวจจอรับภาพที่สมบูรณ์จำเป็น ต้องใช้ยาหยอดขยายม่านตาช่วยด้วย ซึ่งอาจทำให้ตาคนไข้มัวตลอดทั้งวันนั้นจากฤทธิ์ยาขยายม่านตา เมื่อ ยาหมดฤทธิ์ตาจะกลับเห็นเหมือนเดิม

6. เบาหวานขึ้นจอรับภาพ รักษาได้หรือไม่

ได้... จักษุแพทย์ทั่วโลกสามารถช่วยไม่ให้คนไข้เบาหวานตาบอดได้เป็นจำนวนมากด้วยการใช้แสงเลเซอร์ทำลายเส้นเลือดที่ผิดปกติในจอรับภาพ แสงเลเซอร์ยังสามารถช่วยรักษาแมคคิวล่าที่บวมน้ำให้ แห้งได้ โดยไปอุดรูรั่วของเส้นเลือดที่ผิดปกติ แต่การใช้แสงเลเซอร์ไม่สามารถช่วยให้การมองเห็นที่เสีย ไปแล้วกลับคืนได้ การใช้แสงเลเซอร์ต้องเป็นไปเพื่อการป้องกัน ดังนั้น การตรวจตาคนไข้เบาหวานจึง เป็นวิธีป้องกันตาบอดที่ดีที่สุด

7. โรคตาอื่นๆที่เกิดจากเบาหวาน พบบ่อยแค่ไหน

โอกาส เกิดต้อกระจก ของคนไข้เบาหวานสูงกว่าตาคนที่ไม่เป็นเบาหวานถึง 2 เท่า และต้อกระจก ก็เป็นตั้งแต่อายุยังไม่มากด้วย (ต้อกระจก จะทำให้คนไข้ตามัวมากขึ้นเรื่อยๆ) แต่เป็นโรคที่รักษาได้ผลดีมากด้วยการผ่าตัด

ต้อหินในคนไข้เบาหวาน ก็พบบ่อยกว่าคนที่ไม่เป็นหวาน 2 เท่า และยิ่งเป็นเบาหวานนานขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งมีอัตราเสียงต่อการเป็นต้อหินสูงขึ้น เช่นเดียวกับ โรคเบาหวานขึ้นจอรับภาพ ต้อหินเป็นโรค ที่น่ากลัวอีกโรคเพราะมักไม่มีอาการเตือน ต้องตรวจจึงจะทราบ แต่รักษาได้ด้วยยาหยอด หรือแสงเล เซอร์ หรือผ่าตัด

8. คุณจะช่วยอะไรได้บ้าง

ถ้าคุณเป็นคนไข้เบาหวานเอง คุณต้องพบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจตาอย่างละเอียดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ถ้าพบว่าเบาหวานขึ้นจอรับภาพแล้ว ก็ต้องกลับไปตรวจเป็นระยะๆ ถ้าคุณไม่เป็นเบาหวานแต่มีญาติเป็น คุณต้องบอกญาติที่เป็นเบาหวานให้พบแพทย์ เพื่อตรวจตา


วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

29 เด็กกับการเล่นทราย


เด็กกับการเล่นทราย

อย่าเพิ่งด่วนสรุปไปว่าเล่นทรายแล้ว ลูกจะเลอะเทอะหรือทรายจะเข้าตาลูก เพราะเด็กทุกยุคทุกสมัยมาชอบเล่นทรายกันทั้งนั้น ข้อหาว่าทรายทำให้เนื้อตัวเลอะเทอะ เล่นเสร็จปัดเนื้อปัดตัวหรืออาบน้ำให้ลูกก็หายได้ หรือหากกลัวทรายเข้าตาลูก เล่นทรายเปียกจะแก้โจทย์นี้ได้ หากเพียงข้อหาแค่นี้แล้ว เราไปกำจัดไม่ไห้ลูกเล่นทราย ก็น่าเสียดายแย่ เพราะเท่ากับไปตัดโอกาสที่ลูกจะได้รับประโยชน์มากมายจากทรายเชียวนะ

ช่วยพัฒนาประสาทสัมผัส

เม็ดทรายมีหลายขนาด และเมื่อสัมผัสก็จะให้ความรู้สึกแตกต่างกัน ทรายเม็ดใหญ่ หากใช้มือจับหรือกำจะให้ความรู้สึกสาก แต่หากเป็นทรายเม็ดเล็กๆ หรือเป็นทรายแป้ง จะให้ความรู้สึกเหมือนสัมผัสแป้งและรู้สึกสากเพียงเล็กน้อย เมื่อมือลูกได้รับสัมผัสที่แตกต่างจากทราย สัมผัสที่แตกต่างนี้จะทำให้สมองที่ควบคุมมือทำงาน กระตุ้นให้เส้นใยสมองถักทอสู่กัน

ช่วยเสริมสร้างจินตนาการ

สังเกตเวลาเด็กๆนั่งเล่นทรายแล้วลองถามเขาสิว่า เขาทำอะไรอยู่ บางคนก็จะบอกว่าสร้างบ้าน ทำขนม สร้างรถ ทำภูเขา ฯลฯ สารพัดคำตอบ นี่เพราะสมองส่วนสรรค์สร้างจินตนาการกำลังทำงานอย่างปรู๊ดปร๊าดทีเดียว

ข้อดีของสิ่งใกล้ตัวอย่างทราย ก็คือเป็นของเล่นที่ไม่สำเร็จรูป เป็นของเล่นปลายเปิด คือพลิกแพลงได้ ซึ่งเป็นลักษณะที่ดีของของเล่นที่ช่วยกระตุ้นจินตนาการ เด็กๆจะก่อทรายเป็นรูปร่างอะไรก็ได้ตามแต่เขาจะจินตนาการหรือเรียนรู้ พอเกิดจินตนาการ เส้นใยสมองก็จะเกิดขึ้นทันทีเช่นกัน

ช่วยเรียนรู้รูปทรง

เพราะทรายก่อรูปได้ง่าย และเปลี่ยนเป็นรูปทรงนั่นนี่ได้ง่าย จึงเหมาะต่อการนำมาสอนเรื่องรูปทรง เช่น หากคุณพ่อคุณแม่จะสอนเรื่องรูปทรง สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม ฯลฯ ก็เอาแม่พิมพ์รูปทรงเหล่านี้มาให้เด็กๆเล่นกับทราย หรือเรียนเรื่องสัตว์ก็เอาแม่พิมพ์รูปปลา ปู ฯลฯ มาให้เล่น การเรียนรู้รูปทรงแบบนี้ เป็นการเรียนรู้แบบสามมิติ ในขณะที่การวาดภาพบนกระดาษให้ลูกดูนั้น เป็นการเรียนรู้แบบสองมิติ

ฝึกการทำงานประสานกันของมือกับสายตา

มิติสัมพันธ์ จากการที่ลูกเททรายเข้าออกจากภาชนะ การก่อรูปทรงต่างๆ หรือการที่ลูกได้ลุกขึ้นยืน นั่ง ก้มๆ เงยๆ ตักทราย ตักน้ำ เป็นการฝึกหัดกำลังมือ แขน ขา และลำตัวให้แข็งแรง การทรงตัวก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะได้ก้มตัวมาข้างหน้า หรือเอียงตัวไปยกของ ซึ่งกล้ามเนื้อจะต้องทำงานให้สมดุลเพื่อรั้งตัวไว้ไม่ให้ล้ม พูดได้ว่าแค่กระบะทรายใกล้ตัวนี้จะช่วยพัฒนาลูกได้มากมาย ได้อย่างที่ของเล่นแพงๆบางชิ้นให้ไม่ได้เลย


ทำกระบะทรายให้ลูกเล่น

หากละแวกบ้านไม่มีทรายให้ลูกเล่น สวนสาธารณะบางที่ก็จัดกระบะทรายไว้ให้เด็ก แต่อาจเสี่ยงที่น้องหมาจะไปอึจับจองพื้นที่ ขอแนะนำให้ลองทำกระบะทรายให้ลูกเล่นที่บ้าน หาพื้นที่สัก 1x1 เมตร เพื่อให้มีพื้นที่ให้ลูกเล่นได้กว้างพอ หาไม้มาตีขอบให้เป็นกรอบสี่เหลี่ยม (หากไม่ต้องอยากให้ทรายกระจายมาก ก็รองพื้นด้วยผ้ายางพลาสติกก่อน) ซื้อทรายก่อสร้างเทลงไปในปริมาณที่เห็นว่าลูกเล่นแล้วสนุก หรือหากไม่มีพื้นที่จริงๆ ก็นำกะละมังใบย่อมๆ สัก 1 ใบ ใส่ทรายลงไปสักพอปิ่มๆขอบ หากระป๋องนม ขวดน้ำพลาสติก ช้อน ทัพพีเก่าๆ หรือของเล่นเข้ามาช่วยในการสร้างหรือขุด ไม่ว่า รถตัก พลั่ว หรือ ถังทราย เป็นตัวช่วยให้ลูก รับรองว่าลูกนั่งเล่นได้ทั้งวันจนเรานึกไม่ถึงเลยล่ะ

อยากเชียร์ให้แต่ละบ้านมีกระบะทรายฝีมือพ่อหรือแม่ติดบ้านไว้ ของเล่นง่ายๆ นี่แหละ เอาลูกอยู่หมัดเลยล่ะ แต่มีข้อควรระวังอยู่นิดหนึ่งว่า คุณพ่อคุณแม่ต้องดูลูกเล่นอยู่ใกล้ๆ เพื่อระวังไม่ให้ลูกหยิบทรายใส่ปาก หรือโยนเล่นจนกระเด็นเข้าตา รวมถึงดูแลความสะอาดของทรายด้วย

เล่นทรายกับลูก: นอกจากหาอุปกรณ์ของเล่นมาให้ลูกเล่นกับทรายแล้ว เด็กๆจะสนุกและได้เรียนรู้มากขึ้นหากพ่อแม่ร่วมเล่นกับเขาด้วย

น้ำหายไปไหน: เอานำมาสักขวด แล้วเทลงไปในทราย ลูกจะค่อยๆเห็นน้ำซึมลงไปในทราย น้ำหายไปกับตา และทำให้ทรายเปียก เมื่อทรายเปียกน้ำเขาจะเล่นได้สนุกกว่าทรายแห้ง เพราะทรายจับตัวกันดีกว่า

มือหนูอยู่บนทราย: ชวนลูกปั๊มนิ้วทั้ง 5 ลงบนทรายเปียก หรือจะเอาพิมพ์รูปทรงอื่นกดลงบนทรายให้เป็นรูปร่างก็ได้...สนุกหมด

สร้างหมู่บ้านของเรา: ตั้งโจทย์ให้ลูกก่อทรายสร้างหมู่บ้านในจินตนาการว่า เขาอยากให้หมู่บ้านเป็นแบบไหน มีอะไรบ้างในหมู่บ้านนั้น

กระดานทราย: ชวนลูกวาดรูปหรือเขียนคำลงบนทราย วาดเสร็จก็ชวนลูกตกแต่งภาพที่ได้ เช่น ใช้ก้อนหิน ใบไม้ กิ่งไม้มาตกแต่ง หรือวาดตัวการ์ตูนที่เขาชอบ เด็กๆ จะสนุก เพราะสามารถลบได้ เขียนใหม่ได้เหมือนเขียนบนกระดานดำเลย

ปราสาททรายฝีมือหนู: ชวนลูกสร้างปราสาททรายสูงๆ ให้ตื่นตาตื่นใจ โดยคุณพ่อคุณแม่เริ่มต้นแล้วให้ลูกเป็นลูกมือต่อเติม

เดินบนทราย: ขณะเล่นบนทรายนั้น ลูกควรถอดรองเท้า ให้เท้าเปล่าของลูกได้สัมผัสทรายทราย จะช่วยพัฒนาประสาทสัมผัสที่เท้าด้วย และยังเป็นการนวดเท้าให้ลูกด้วย ทำให้เท้าของลูกรู้สึกผ่อนคลาย และเด็กจะรู้สึกสนุกกับการเดินด้วยเท้าเปล่ามากกว่าใส่รองเท้าบนพื้นทราย

อะไรไม่รู้เข้าตา

แรกเริ่มเลยเมื่อมีอะไรก็ไม่รู้เข้าตา สิ่งที่คุณต้องทำก็คือล้างตาในน้ำสะอาด น้ำสะอาดที่ว่านี้ก็ดังเช่นน้ำดื่มบรรจุขวดหรือน้ำต้ม(ที่ทิ้งไว้จนเย็นแล้ว) ถ้าคุณใส่ Contact Lens ก็ให้เอาออกก่อน

การล้างตาที่ทำได้ก็อาจจะหาขัน มาใส่น้ำแล้วเอียงตาให้จุ่มในน้ำ จากนั้นลืมตาในน้ำแล้วมองขึ้นบนลงล่างซ้ายขวาซ้ายขวา ABAB Select Start กลอกตาไปรอบๆให้ตามาสัมผัสน้ำ

ล้างสักครั้งสองครั้งแล้วก็ดึงเปลือกตาล่างส่องกระจกดู ว่ามีอะไรติดอยู่ไหม ตำแหน่งที่มีฝุ่นไปติดได้บ่อยๆก็คือตำแหน่งตามภาพนี้คือ ที่หัวตาและเปลือกตาล่าง ล้างสักครั้งสองครั้งแล้วก็ดึงเปลือกตาล่างส่องกระจกดูว่ามีอะไรติดอยู่ไหม ตำแหน่งที่มีฝุ่นไปติดได้บ่อยๆก็คือตำแหน่งตามภาพนี้คือ ที่หัวตาและเปลือกตาล่าง

 
ฝุ่นใช้ไม้พันสำลี'ชุบ'น้ำสะอาดแตะที่สิ่งแปลกปลอมแล้วเขี่ยออก จากนั้นพลิกเปลือกตาบนส่องดู ถ้าเจอสิ่งแปลกปลอมก็เขี่ยออกด้วยไม้พันสำลี'ชุบ'น้ำเช่นกัน

คำถาม : ทำไมต้องพลิก?...พลิกเปลือกตาบนพลิกยาก แค่ดึงตึงๆออกมาดูไม่ได้เหรอ

คำตอบ : ไม่ได้ เพราะว่าการดึงมาข้างหน้าตรงๆ สิ่งแปลกปลอมจะไหลเข้าไปลึกยิ่งขึ้นจนมองไม่เห็น ทำให้เข้าใจผิดว่าไม่มีสิ่งแปลกปลอมค้างอยู่ได้

คำถาม : แล้วพลิกอย่างไร ไม่เห็นพลิกได้เลย

คำตอบ : ต่อไปนี้คือวิธีพลิก อุปกรณ์ที่ต้องใช้คือ ไม้พันสำลี 1.ใช้ไม้พันสำลี แตะกดที่เปลือกตาบนเบาๆ 2.ใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งจับที่ขอบตาบนส่วนที่เป็นขนตาและผิวหนัง 3.ตามองลงล่าง 4.ดึงหนังตาออกมาเล็กน้อยพร้อมกันนั้นหมุนไม้พันสำลีให้ตวัดขึ้น 5.หาสิ่งแปลกปลอมที่ติดอยู่ ถ้ามีใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำแตะเขี่ยออก 6.เมื่อเสร็จแล้วก็เพียงแค่มองเหลือบตาขึ้น เปลือกตาก็จะพลิกกลับมาเป็นปกติเอง

 
ระวัง! ฝุ่นผงเข้าตา

ชายคนหนึ่งรู้สึกระคายเคืองที่ตา ซึ่งเขาคิดว่าเป็นผงหรือฝุ่นเข้าตา จึงขยี้ตาเพื่อเอาฝุ่นออก

แต่ตาของเขาเริ่มแดง จึงไปซื้อยาล้างตามาหยอด หวังว่าฝุ่นจะออกจากตา

แต่ก็ไม่หาย...

ด้วยความระคายเคือง...จึงขยี้อีก แต่ตากลับยิ่งบวมและแดง...หลายวันผ่านไปตาหายแดงและบวม

เขาจึงตัดสินใจไปพบแพทย์

แพทย์ตัดสินใจขอผ่าตัด เพราะเกรงจะเป็นเนื้องอกได้

แต่ผลของการผ่าตัด..."หนอนตัวหนึ่ง"

เนื่องจากสิ่งที่ปลิวเข้าตานั้น ที่แท้เป็นไข่ของแมลง เข้าไปเจริญเติบโตในตา

ดังนั้นหากมีปัญหาฝุ่นเข้าตาและฝังแน่น ทำอย่างไรก็ไม่ยอมออกจนผิดปกติ

!!! ให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที ก่อนที่คุณจะเป็นดังภาพนี้

 


วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

28 การถนอมสายตาและการป้องกันตาบอด


การถนอมสายตาและการป้องกันตาบอด
โดย นายแพทย์สำราญ วังศพ่าห์

ทุกคนควรรู้จักถนอมสายตาและป้องกันตาบอดด้วยตนเอง ในวัยเด็กอาศัยครูและผู้ปกครองช่วยดูแล แพทย์เป็นแต่ผู้ให้คำปรึกษาแนะนำและให้การรักษา

การถนอมสายตา: หลักการปฏิบัติในการถนอมสายตามีดังนี้

1. กินอาหารให้ถูกต้อง อาหารมื้อหนึ่งๆ ควรมีอาหารโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่และวิตามินให้ครบถ้วน วิตามินเอ จำเป็นสำหรับการสร้างโครงสร้างของเยื่อบุชั้นนอก (epithelium) และของเซลล์ วิตามินเอเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาเคมีในชั้นจอตาขณะรับแสงสว่าง การพร่องวิตามินเอ ทำให้มีอาการมองเห็นไม่ชัดในที่มืด (night blindness) เยื่อหุ้มตาแห้ง กระจกตาแห้ง เป็นเกล็ดกระดี่ที่เยื่อหุ้มตากระจกตาเป็นแผลซึ่งทำให้ตาบอดได้

ในประเทศด้อยพัฒนา ภาวะพร่องวิตามินเอเป็นสาเหตุหนึ่งของตาบอดในวัยเด็ก ถ้าได้รับวิตามินเอมากเกินพอ ผิวหนังและเยื่อหุ้มตาจะมีสีเหลือง อาจมีอาการบวมของหัวประสาทตา มีเลือดออกที่จอตา การพร่องวิตามินดีอาจทำให้เป็นต้อแก้วตา เป็นโรคกระดูกอ่อน ตากระตุก การพร่องวิตามินอี ทำให้กล้ามเนื้อตาบางมัดทำงานไม่ปกติ การพร่องวิตามินซี วิตามินเค ทำให้มีเลือดออกที่จอตา การพร่องวิตามินบีหนึ่งทำให้ประสาทตาเสื่อมและฝ่อลีบ การพร่องวิตามินบีรวม ทำให้หลอดเลือดฝอยมารวมที่กระจกตาเพิ่มขึ้น หนังตาอักเสบ มีอาการกลัวแสง สายตามัว

2. ควรตรวจสายตาเมื่อมีอาการปวดศีรษะ หรือมองเห็นภาพไม่ชัดเจน ควรตรวจตั้งแต่เด็กเริ่มเรียนหนังสือ และสวมแว่นตาตามแพทย์สั่ง การไม่สวมแว่นตาในผู้ที่มีสายตาผิดปกติจะเป็นเหตุให้สายตามัวและถ้าทิ้งไว้นานตั้งแต่เด็ก แม้ใช้แว่นช่วยก็ไม่ช่วยให้มองเห็นชัดขึ้นเพราะสายตาข้างนั้นไม่ได้ใช้งานมานาน

3. เมื่ออยู่ในที่ที่มีแสงสว่างมากเกินควรควรสวมแว่นตาสีชาหรือสีดำ เพื่อลดความแรงของแสงที่อาจทำอันตรายต่อตา ผู้ที่ทำงานในที่ที่ใช้แสงสว่างมากเช่น การเชื่อมโลหะโดยใช้เปลวไฟที่ร้อนจัด หรือใช้ประกายไฟฟ้าที่มีแสงออกมามากนั้น ควรสวมแว่นดำกันแสง ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับวัตถุร้อนอยู่ตลอดเวลาเช่น งานเป่าแก้ว ทำโซ่ ควรสวมแว่นตาดำเพื่อป้องกันไม่ให้แสงอินฟราเรดทำลายแก้วตา มิฉะนั้นจะเกิดเป็นต้อแก้วตา ขณะดูสุริยคราสควรใช้แว่นสีดำมืดสวมหรือดูจากเงาสะท้อนในน้ำ อย่าดูด้วยตาเปล่า ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ความร้อนจากแสงอาทิตย์เข้าไปเผาทำลายประสาทจอตา

4. ผู้ที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการกลึงของ หรือต้มสารที่เป็นกรดหรือเป็นด่างควรสวมแว่นตาป้องกันไอกรดด่าง หรือป้องกันผงที่กระเด็นจากการกลึงไม่ให้เข้าตา

5. ควรล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสกับดวงตา ไม่ควรใช้สิ่งสกปรกเช็ดตา ทั้งนี้เพื่อป้องกันเชื้อโรครวมทั้งเชื้อราไม่ให้เข้ามาทำอันตรายลูกตา

6. ไม่จำเป็นต้องล้างตาเป็นประจำ เพราะน้ำตาของคนเราจะไหลล้างชำระอยู่ตลอดเวลา น้ำตาเป็นน้ำสะอาดภายในมียาฆ่าเชื้อโรคอยู่แล้ว การล้างตาจะทำให้ความเข้มข้นของน้ำตาอ่อนลง ยาล้างตาบางชนิดอาจมีความสมดุลของกรดด่างไม่พอเหมาะ ถ้ามีมากไปจะรบกวนลูกตา การล้างตาจะทำในรายที่ต้องการล้างเอาผงหรือขี้ตา หรือสิ่งสกปรกอื่นออก

7. ไม่จำเป็นจะต้องกลอกตาไปมาเพื่อออกกำลังให้ลูกตา เพราะโดยปกติแล้วกล้ามเนื้อกลอกตาทำงานหนักอยู่แล้วตลอดเวลาตื่น ควรพักสายตาด้วยการหลับตาหรือมองไปไกลๆดีกว่า

8. สิ่งที่เป็นพิษเป็นอันตรายต่อลูกตาควรละเว้น เช่น พิษจากบุหรี่ประเภทยาเส้นซึ่งทำให้ประสาทตาเสีย ยาหลายชนิด เช่น ควินิน สุราที่กลั่นไม่บริสุทธิ์ เหล่านี้จะทำอันตรายประสาทตาได้

9. ควรอ่าน เขียน หรือทำงานที่ละเอียดในที่ที่มีแสงสว่างพอเหมาะและเพียงพอ การดูโทรทัศน์ควรดูในที่มีแสงสว่าง เพราะแสงสว่างที่เกิดขึ้นเมื่ออิเล็กตรอนวิ่งมากระทบจอภาพนั้นลูกตาสามารถดูได้โดยไม่ต้องปรับสายตาต่อความมืด มีบางคนเข้าใจผิดว่าการดูโทรทัศน์จะเห็นได้เมื่อตาต้องปรับสายตาเหมือนกับดูในที่มืด ควรดูในระยะห่างจากจอภาพอย่างน้อย 5 เท่าของความกว้างของจอภาพ


การป้องกันตาบอด: โรคและอาการต่างๆที่ควรระวัง ได้แก่

1. เมื่อกรดด่างหรือสารเคมีเข้าตาควรรีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดที่พอจะหาได้ทันที อาจใช้น้ำประปาจากก๊อกก็ได้ การล้างตาในรายอย่างนี้ต้องล้างให้มากที่สุดและนานราว 5 นาที หลายๆครั้ง แล้วจึงไปพบจักษุแพทย์

2. เมื่อมีอันตรายที่ตาไม่ว่าลูกตาจะเป็นแผลหรือไม่เป็นก็ตาม อย่าใส่ยาอะไรทั้งหมด ควรใช้ผ้าหรือกระดาษสะอาดปิดตาแล้วไปพบแพทย์

3. อาการตาแดง ปวดตา เห็นดวงไฟมีแสงรุ้งรอบ มองเห็นภาพไม่ชัด มองเห็นมืดลง เหล่านี้ควรรีบปรึกษาแพทย์

4. ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคความดันเลือดสูง โรคเลือด โรคเรื้อน อาจมีโรคแทรกทางตาเกิดขึ้นได้ ผู้ป่วยโรคเหล่านี้แม้ยังไม่มีอาการของสายตาก็ควรให้จักษุแพทย์ตรวจอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อป้องกันการตาบอดจากโรคแทรกที่ตา ซึ่งถ้าเกิดเป็นแล้วมักทำลายประสาทตาให้ตาบอด และถ้าโรคเป็นมากแล้วรักษาให้หายยาก จึงควรป้องกันตั้งแต่ต้น

5. ผู้ที่อายุเลย 40 ปีไปแล้ว ควรตรวจเพื่อป้องกันโรคต้อหิน โรคต้อหินชนิดเรื้อรังนั้น เมื่อเริ่มเป็นผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติมากจึงมักไม่รู้ตัว จะรู้ตัวว่าเป็นหรือมีอาการก็ต่อเมื่อโรคนั้นเป็นมากแล้ว

6. ควรตรวจสายตาตนเองเป็นครั้งคราวโดยปิดตาดูทีละข้างว่าสายตาสองข้างเห็นเท่ากันหรือไม่หรือข้างหนึ่งข้างใดไม่เห็น ตาอยู่ด้านหน้าของใบหน้าและตาทั้งสองข้างทำงานพร้อมกัน ถ้าไม่ปิดดูก็ยังคงคิดว่าแต่ละข้างยังทำงานได้ดี


วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

27 รักลูกอย่างไร.........ให้เป็น

รักลูกอย่างไร.........ให้เป็น
นายแพทย์จอม ชุมช่วย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น

"ผมไม่แน่ใจว่า พ่อแม่รักผมหรือเปล่า บางทีเขาอาจรักที่ผมเรียนเก่งมากกว่า"

เป็นคำพูดของเด็กชาย อายุ 11 ปี ที่ผมได้ยินเมื่อเร็วๆนี้ หลายคนคงคัดค้าน และคิดว่าเด็กคิดมากไปเอง ไม่จริงหรอก มีพ่อแม่ที่ไหนไม่รักลูก

หลังจากผมพบกับพ่อแม่ของเด็ก ก็ทราบว่า พ่อแม่รายนี้รักลูกมาก แต่อะไรทำให้เด็กไม่สามารถรับความรู้สึกนี้ได้

เราคงคุ้นเคยกับคำกล่าวในทำนอง ใครหนอรักเราเท่าชีวี... คุณพ่อ คุณแม่ ความรักของพ่อแม่ยิ่งใหญ่ ความรักของพ่อแม่เป็นสิ่งจรรโลงโลก ผมเห็นด้วยกับคำกล่าวเหล่านั้น และเชื่อด้วยว่า หากพ่อแม่ให้ความรักกับลูกอย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่เยาว์วัย จะเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนา เป็นผู้ใหญ่ที่มีจิตใจมั่นคงในอนาคต

แต่หลายครั้งจากเด็กที่มารับการปรึกษา พบว่าสิ่งสำคัญกว่าไม่ใช่การให้ความรักของพ่อแม่ แต่อยู่ที่การรับรู้ของเด็ก เด็กแน่ใจหรือเปล่าว่าพ่อแม่รักตน เด็กมั่นใจในความรักของพ่อแม่หรือไม่ เด็กแต่ละรายมีความแตกต่างกันตั้งแต่แรกเกิด เด็กไม่ใช่ผ้าขาวที่รอว่าเราจะแต่งแต้มอย่างไรก็ได้ตามใจชอบ

หากพ่อแม่รักลูก ประการแรกพ่อแม่ควรเรียนรู้บุคลิกเฉพาะ ของลูกตนเองตั้งแต่เล็ก ยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง และเรียนรู้วิธีเข้าหาลูกของตน เพื่อเติมความรัก ความมั่นใจพื้นฐานให้เกิดขึ้นกับเด็ก


ความรักเป็นนามธรรมที่สามารถแปรเป็นรูปธรรมได้ สำหรับเด็กเขาจะรับรู้ความรักของพ่อแม่ผ่านรูปธรรมต่างๆ

การสบตา:

พ่อแม่ควรสบตา ส่งความรู้สึก รัก พอใจ ชื่นชม เมื่อโอกาสเหมาะสม มีการศึกษาทางจิตวิทยาหลายเรื่อง ยืนยันว่า การสบตากับลูกตั้งแต่เดือนแรกๆ จะช่วยพัฒนาทักษะทางสังคมของเด็กได้ และสังคมเบื้องต้นก็คือ ความสัมพันธ์กับพ่อแม่นั่นเอง น่าเสียดายที่หลายครอบครัวที่ผมพบมักสบตาขึงขัง เมื่อลูกทำผิด หรือส่งสายตาอำมหิต เพื่อปรามเด็กเท่านั้น

การสัมผัส:

เด็กรับรู้ความอบอุ่นและความรู้สึกปลอดภัย จากการสัมผัสของพ่อแม่ การกอด การหอมแก้ม การจับมือ การนวด หรือแม้แต่การเล่นต่างๆ เช่น จั๊กจี๋ ปูไต่ จะนำไปสู่การรับรู้ความรักของเด็กอย่างดี ดังนั้น พ่อแม่ควรหมั่นถามตนเองว่า วันนี้เราสัมผัสลูกแล้วหรือยัง

การบอกรัก:

ไม่จำเป็นต้องทำทุกวัน หลายครอบครัวอาจรู้สึกเขิน และมองว่าเป็นวัฒนธรรมตะวันตกเกินไป ขอให้พ่อแม่หมั่นสำรวจความรู้สึกตนเอง หากอยากบอกลูก ขจัดความเขินอายของตนเองไปแล้วพูดว่า "พ่อรักลูกจ๊ะ" "แม่คิดถึงลูกจ๊ะ" หรือคำพูดที่แสดงความชื่นชมอื่นๆ เช่น "พ่อภูมิใจในตัวลูกจังเลย" "แม่ชื่นใจมากเลยจ๊ะ" พยายามบอกรักให้เป็นธรรมชาติของตัวเราเองและตามสมควรกับพัฒนาการของเด็ก

ความเขินอายและความไม่เคยชิน อาจเป็นอุปสรรคบ้าง แต่สิ่งที่ต้องระวังมากกว่า คือ การบอกรักแบบมีเงื่อนไข พ่อแม่หลายรายคงเคยพูดในลักษณะนี้ "ลูกแม่เก่งมากเลยสอบได้ที่ 1 แม่รักลูกจังเลย" เราสามารถพูดได้เป็นครั้งคราว แต่หากทุกครั้งที่บอกรักเป็นการบอกแบบมีเงื่อนไข ลูกอาจสงสัยในความรักนั้น และอาจนำไปสู่ปัญหา เหมือนเด็กชาย 11 ปี ข้างต้น พ่อแม่อาจลองถามตนเองว่า หากลูกเราไม่เก่ง หรือไม่เป็นตามที่คาดหวัง เรายังคงรักเขาหรือไม่ หากคำตอบคือ "รัก" นั่นคือ เรารักแบบไม่มีเงื่อนไข บอกให้เขารับรู้บ่อยๆเถอะครับ

การใส่ใจ:

ไม่ตลอดเวลาที่ลูกๆต้องการเรา หากเขาต้องการ เราควรตอบสนอง แน่นอนบางครั้งพ่อแม่อาจไม่มีเวลาจริงๆ อย่างน้อยก็ควรบอกเขา ไม่ใช่แสดงเพียงท่าทีรำคาญ หรือปฏิเสธ "ลูกจ๊ะ แม่ต้องรีบไปธุระกับคุณป้า คืนนี้ 2 ทุ่ม เราค่อยคุยกันนะจ๊ะ" การปฏิเสธด้วยท่าทีให้ความสำคัญเช่นนี้ คงดีกว่า "แกนี่ยุ่งจริงๆ เลย เห็นไหม แม่รีบอยู่"

ผมเชื่อว่า ความรักสร้างโลก จรรโลงโลกได้ แต่จะผ่านโดยการแสดงออกของพ่อแม่ ต่อลูกๆ ของตน และลูกๆ ที่รับรู้ ความรักที่เต็มเปี่ยมเหล่านั้น จะเติบโตขึ้นสร้างโลก ต่อสู้กับโลกภายนอก ตลอดจนมอบความรักกับคนรอบข้างต่อไป


วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

26 มาช่วยกันพัฒนาอัจฉริยะของลูกน้อยกันเถอะ


มาช่วยกันพัฒนาอัจฉริยะของลูกน้อยกันเถอะ
พญ.จันท์ฑิตา พฤกษานานนท์

สมองของลูกน้อยของคุณ กำลังทำงานอย่างอัจฉริยะ อยู่ต่อหน้าคุณ คุณพ่อคุณแม่ทุกคน มีส่วนในการช่วยลูกของคุณ ให้เป็นเด็กที่มีความสามารถแบบอัจฉริยะตัวน้อยๆได้ค่ะ

ภายในช่วงสองขวบปีแรก สมองของทารกจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างมาก คือเพิ่มจาก 300 กรัมเมื่อแรกคลอด เป็น 1,000 กรัมเมื่ออายุ 2 ปี น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนี้ ไม่ใช่เป็นจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนเซลล์ประสาท แต่เป็นจากการที่มีการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงศูนย์ต่างๆในสมอง (synapses) ให้มีการทำงานที่สอดประสานกัน

ถ้าปราศจากการเชื่อมโยงเครือข่ายเหล่านี้เข้าด้วยกันแล้ว มนุษย์เราก็ไม่สามารถ ทำการคิดวิเคราะห์ และทำความเข้าใจในเรื่องต่างๆ และด้วยเครือข่ายการเชื่อมโยงต่างๆ ในสมองนี้เอง ที่ทำให้ลูกน้อยของเรา ได้มีการเรียนรู้เกิดขึ้น

การทำการเชื่อมต่อเครือข่ายต่างๆ ของสมองนี้ เกิดขึ้นทีละเล็กละน้อย ทุกครั้งที่ลูกได้มีโอกาสรับสิ่งเร้า จากการกระตุ้นผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า อันได้แก่ การมองเห็น การได้ยิน การรับรส การสัมผัส และการได้กลิ่น ซึ่งลูกน้อยของเราสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ผ่านทางประสาทสัมผัสเหล่านี้ได้ ตั้งแต่แรกเกิด ทำให้การเชื่อมต่อเครือข่ายเกิดมากขึ้น

การเรียนรู้อย่างเป็นกระบวนการนั้น เกิดขึ้นโดยอาศัยส่วนต่างๆของสมองที่มีหน้าที่แตกต่างกันมาร่วมทำงานประสานสอดคล้องกัน อย่างเป็นระบบ ตัวอย่างเช่น ถ้าไม่มีการมองเห็นภาพด้วยตา ลูกน้อยก็จะไม่สามารถเห็นของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้าของเธอได้ และถ้าไม่มีความจำ ที่ถูกเก็บรวบรวมไว้ในสมองมาก่อนแล้ว ลูกก็จะไม่รู้สึกตื่นเต้นดีใจ เมื่อได้เห็นของเล่นชิ้นโปรด ที่วางอยู่ตรงหน้า ถ้าสมองไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อให้ทำงานได้ดี ลูกก็จะไม่สามารถเอื้อมไปหยิบของเล่นชิ้นโปรดมาเล่นได้ และในการทำเช่นนั้น ลูกต้องใช้การทำงานที่ประสานกัน ระหว่างมือกับตา ในการคว้าของเล่นที่อยู่ต่อหน้า มาเล่น และถ้าทำเช่นนั้นไม่ได้ ลูกน้อยก็จะไม่ได้มีประสบการณ์การเรียนรู้ว่า ของเล่นชิ้นนั้นคืออะไร และมีคุณสมบัติอย่างไร

ซึ่งในขั้นตอนพัฒนาการที่ลูกกำลังเรียนรู้นั้น เป็นงานที่ท้าทาย ให้สมองน้อยๆของลูก ได้มีโอกาสคิด และปรับปรุงระบบการเชื่อมโยงเครือข่ายต่างๆของสมองได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ทุกคน สามารถจะช่วยลูกน้อยของคุณได้

ในการที่จะให้ลูกน้อยของคุณได้เรียนรู้สิ่งต่างๆนั้น คุณแม่สามารถช่วยได้ โดยการนำโลกรอบข้างตัว มาแนะนำให้ลูกได้รู้จัก เช่น ทารกมักจะชอบเสียงผู้หญิง ที่มีโทนสูง และจะทำท่าสนใจฟังทุกครั้งที่ได้ยินเสียงนั้น คุณแม่ก็ควรที่จะทำเสียงสูงต่ำ พูดช้าๆ ชัดๆ และชวนลูกน้อยของคุณ คุยด้วยบ่อยๆเมื่อมีโอกาส ความสามารถในการติดต่อสื่อสารนั้น ลูกน้อยสามารถเรียนรู้เพิ่มขึ้น ได้อย่างรวดเร็ว ลูกสามารถตอบสนองต่อเสียงพูดของคุณแม่ ต่างจากเสียงพูดของคนอื่น

ความสามารถในการติดต่อสื่อสาร

ในวันแรกของชีวิต ลูกจะทำหน้าให้คุณแม่รู้ว่า ได้ยินเสียงคุณแม่ที่กำลังคุยด้วย และจะดูดนมแรงขึ้น เมื่อได้ยินเสียงคุณแม่ พออายุได้ 3 วัน ลูกจะแสดงสีหน้าให้คุณแม่รู้สึกได้มากขึ้นว่า ได้ยินเสียงคุณแม่ และกลอกตาไปทางที่มาของเสียง พออายุได้ 2-3 สัปดาห์ลูกจะเริ่มทำเสียงในคอ ตอบคุณแม่ และเริ่มพยายามหันไปหาทิศที่มีเสียงมา

คุณแม่ควรพยายามพูดกับลูกน้อยของคุณ โดยให้หน้าอยู่ห่างจากลูก ประมาณ 8-10 นิ้ว สบตา พูดคุยกับลูกช้าๆ ทำเสียงให้น่าสนใจ ให้ลูกสามารถมองเห็นสีหน้าของคุณแม่ได้ง่าย ถ้าคุณแม่ขยันพูดกับลูกบ่อยๆ คุณแม่จะประหลาดใจ เมื่อเห็นว่า ลูกพยายามจะสื่อสารกับคุณแม่ โดยการทำปากเปิดๆ ปิดๆ และยื่นลิ้นออกมา ทำทีเหมือนกับการพูด เมื่ออายุประมาณ 1 เดือน และพออายุประมาณ 3 เดือน ลูกจะจับแยกเสียงคุณแม่ ที่แสดงความรู้สึกดีใจ หรือเสียใจได้

การรับกลิ่น และการรับรส

ลูกมีประสาทรับกลิ่นที่ค่อนข้างไวมากตั้งแต่แรกเกิด ลูกจะจำกลิ่นน้ำนม ของคุณแม่ได้ และลูกน้อยของคุณสามารถเรียนรู้กลิ่นกายของคุณพ่อได้ด้วย ถ้าลูกได้มีโอกาสใกล้ชิดกับคุณพ่อมากพอ ถ้าลูกได้กลิ่นเช่นกลิ่นแอมโมเนีย กลิ่นน้ำหอมฉุนๆ ลูกก็จะสามารถเบือนหน้าหนีได้ ตั้งแต่สัปดาห์แรกของชีวิต

การมองเห็น

ในเวลาที่ว่าง ลูกน้อยของคุณ ก็จะทำการสำรวจสิ่งต่างๆรอบตัวในห้อง เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ลูกจะมองจ้องดู สิ่งที่เคลื่อนไหวช้าๆอยู่ตรงหน้า และบางครั้งจะทำท่าเหมือนกับว่า ลูกกำลังพยายามคว้าของเหล่านั้น ด้วยสายตา ดังนั้นเริ่มจากอายุ 2 อาทิตย์ขึ้นไป คุณแม่ควรให้ลูกได้มีโอกาส มองดูรอบๆ และให้วาง หรือห้อยแขวนสิ่งของ ที่มีสีสันสดใสข้างลูกในระยะห่างประมาณ 1 ฟุต เพื่อให้ลูกได้ฝึกการมอง และการกลอกตา จริงๆแล้วหน้าของคุณแม่ จะเป็นสิ่งที่กระตุ้นการมองของลูกได้เป็นอย่างดี เพราะสีที่ตัดกันของตาดำ ตาขาว ปากแดง ฟันขาว จะทำให้เด็กสนใจอยากมอง

การใช้กล้ามเนื้อ

คุณแม่สามารถสอนลูกน้อย ให้เริ่มรู้จักการใช้ส่วนต่างๆของร่างกาย ในการสำรวจสิ่งต่างๆที่อยู่รอบข้างได้ โดยการจับมือของลูก มาทำท่าเหมือนปรบมือเข้าด้วยกัน เอานิ้วมือคุณแม่แหย่ที่ฝ่ามือฝ่าเท้าของลูกเบาๆให้รู้สึกจักกะจี้บ้าง หรือการออกกำลังแขนขาโดยการจับทำท่าต่างๆอย่างนุ่มนวล ในช่วงที่กำลังสบายๆหลังการป้อนนม หรือเปลี่ยนผ้าอ้อม

อะไรๆก็เข้าปาก

พออายุได้ 3-4 เดือน ลูกจะเริ่มทำการสำรวจสิ่งต่างๆโดยการใช้ปาก อะไรก็ตามที่คุณแม่เอาใส่ให้ในมือของลูก จะถูกนำเข้าปาก เพื่อการสำรวจก่อนเสมอ โดยการทำเช่นนี้ ลูกน้อยของคุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับรส อุณหภูมิร้อนเย็น ความอ่อนแข็ง และรูปทรงของสิ่งของต่างๆด้วย


ขอลองทำดูสักนิด

พออายุได้ 4 เดือนขึ้นไป ลูกน้อยเริ่มที่จะเรียนรู้คอนเซปต์ ของการกระทำและผลที่จะตามมา ลูกจะเริ่มรู้ว่า ถ้าขยับบางส่วนของร่างกาย จะมีบางอย่างที่น่าตื่นเต้นตามมา เช่น เมื่อขยับมือที่ถือกระดิ่งไปมา ลูกจะได้ยินเสียงกระดิ่ง หรือถ้าเอามือปัดโมบาย ที่แขวนอยู่ตรงหน้า โมบายจะหมุน โดยการได้เรียนรู้คอนเซปต์นี้ ทำให้ลูกน้อยสามารถพัฒนาตนเองต่อไปอีกได้เมื่อโตขึ้น เช่น ถ้าพยายามคลานไปอีกสักนิด ก็จะได้ของเล่น หรือเล่นตุ๊กตาหมีที่อยู่ไกลออกไป หรือถ้าดึงผ้าที่คลุมของเล่นออก ก็จะได้ของเล่นที่ซ่อนอยู่ข้างใต้ผ้า พอลูกอายุได้ 4 เดือนเศษ ลูกจะมีความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น คราวนี้จะไม่เพียงแต่ทำการสำรวจสิ่งต่างๆด้วยปากเท่านั้น แต่ลูกจะใช้มือในการสำรวจสิ่งต่างๆ เพื่อที่จะเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับของสิ่งนั้น ให้ได้มากที่สุด

คุณแม่สามารถเลือกของที่มีลักษณะและคุณสมบัติของสิ่งต่างๆ โดยคุณแม่อาจเลือกของที่มีคุณสมบัติตรงข้ามกันให้ลูกสำรวจเปรียบเทียบกันในเวลาเดียวกัน เช่น ของที่มีความนุ่มกับของแข็ง ของที่มีเหลี่ยมมุมกับของกลม ซึ่งจะช่วยให้ลูกน้อยของคุณแม่ได้เข้าใจถึงความแตกต่างได้ดีขึ้น

คุณแม่ยังสามารถสอนลูกน้อยเพิ่มเติมได้อีก เช่น พูดคำว่า “บอล” “กลิ้งบอล” “กลิ้งบอลกลมๆ” เมื่อเล่นกลิ้งลูกบอลเล็กเข้าหาลูก หรือบอกลูกว่าเหลี่ยม เมื่อเอาของชิ้นสี่เหลี่ยมใส่ในมือลูก เพื่อให้ลูกได้รู้สึกถึงความแตกต่างจากของกลม ที่คุณแม่เพิ่งเอาใส่ในมือเธอเมื่อสักครู่

นอกจากนี้ คุณแม่ยังสามารถแสดงให้ลูกรู้ได้ว่าไม่ใช่แต่ลูกบอลเท่านั้น ที่กลิ้งได้ แต่ของอื่นที่มีลักษณะกลมเช่นกันจะกลิ้งได้ โดยการกลิ้งส้ม หรือม้วนไหมพรมให้ลูกเห็น และให้ลูกได้ลองทำดู ซึ่งพบว่า เด็กอายุประมาณ 6 เดือนขึ้นไปจะสามารถเข้าใจในคอนเซปต์นี้ และเมื่อคุณแม่กลิ้งส่งของกลมๆให้ลูก ลูกจะกลิ้งกลับให้คุณแม่ แต่ถ้าคุณแม่ส่งของเหลี่ยม ที่กลิ้งไม่ได้ เช่น บล็อก หรือหนังสือให้ลูก ลูกจะไม่พยายามกลิ้งของนั้นกลับให้คุณแม่

ให้โอกาสลูกน้อยของคุณ ในการฝึกใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า เพื่อให้ได้เรียนรู้คอนเซปต์ต่างๆ โดยการทำอย่างที่ได้แนะนำมาแล้วในตอนแรก คุณแม่สามารถสอนคอนเซปต์ของความแตกต่าง เช่น ความนุ่มกับความแข็ง ความร้อนกับความเย็น ความแห้งกับความเปียก ฯลฯ โดยการพยายามใช้สิ่งของ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว มาเป็นสื่อการสอน และพยายามพูดคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องให้ลูกฟังซ้ำๆ รวมทั้งพยายามแสดงถึงคุณสมบัติของสิ่งต่างๆด้วย

ถึงแม้การทำอย่างนี้ อาจดูว่าไม่น่าสนใจ สำหรับคุณแม่ แต่สำหรับลูกน้อยของคุณแล้ว สิ่งเหล่านี่เป็นสิ่งแปลกใหม่ ที่ลูกกำลังกระหายจะเรียนรู้ และเป็นรากฐานที่สำคัญ ในการที่ลูกจะเรียนรู้เรื่องราวต่างๆที่มีในโลกของเธอต่อไป

กลวิธีที่คุณแม่ใช้ในการสอนลูกน้อยก็มีส่วนสำคัญที่จะกระตุ้นการเรียนรู้ให้เกิดขึ้น เช่น ถ้าคุณแม่จะพยายามบอกลูก ถึงของสิ่งเล็กๆ โดยการทำเสียงพูดเบาๆ กระซิบที่ข้างหูของลูกว่า “ตัวนิ้ด นิ้ด” ก็จะช่วยให้ลูกสามารถเข้าใจ ถึงความเล็กของมันได้ง่ายขึ้น ในการสอนลูกถึงความนุ่ม คุณแม่ก็สามารถใช้โทนเสียงที่นุ่มนวล ขณะที่เอาตุ๊กตาของเล่นที่นุ่มๆมาเขี่ยเบาๆที่ข้างแก้มของลูก และคุณแม่สามารถสอนเกี่ยวกับความเปียกได้โดยการเอามือของเธอไปรองน้ำที่ไหลออกมาจากก๊อกน้ำที่อ่างล้างมือ พร้อมๆกับการพูดคำว่า “เปียก เปียก” “น้ำเปียกมือ”

ความจำของลูกน้อยก็พัฒนาได้เร็วพอๆกับความสามารถในการเข้าใจสิ่งต่างๆ สิ่งหนึ่งที่คุณแม่สามารถช่วยฝึกสมาธิ และความจำของลูกคือ การเล่นและการทำซ้ำๆ เช่น การเล่นจ๊ะเอ๋ หรือ การร้องเพลงเด็ก เช่น “จับปูดำ ขยำปูนา” ซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อลูกเกิดความคุ้นเคย กับสิ่งเหล่านี้แล้ว เธอก็จะสามารถใส่ใจ กับคำที่ใช้ในเพลง หรือท่าทางที่คุณแม่ทำให้เธอดู และเริ่มทำตามได้อย่างสนุกสนาน

การแสดงท่าทาง ที่มีความสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ ที่เริ่มให้ลูกได้สัมผัสเรียนรู้ โดยการใช้น้ำเสียง และกริยาท่าทาง ที่เหมาะสม จะช่วยลูกในการแยกแยะสิ่งต่างๆ ออกจากกัน และช่วยในการเรียนรู้ของลูก ได้อย่างรวดเร็ว เช่น คุณแม่อาจพูดกับลูกว่า “ดูนี่ซิคะ ดอกไม้แดง ซ้วย สวย กลิ่นห้อม หอม” และทำท่าดมดอกไม้นี้ ให้ลูกดู ไม่นานต่อมา ลูกก็จะเริ่มทำท่าดมดอกไม้อื่นๆ ที่เธอเห็นด้วย หรือคุณแม่อาจทำท่า ขยับแขนแบบนกบิน พร้อมๆกับพูดว่า “นั่นนก นกบิน บินน....” เมื่อลูกเห็นนกมาเกาะที่หน้าต่าง ซึ่งต่อมาลูกก็จะเริ่มทำท่า ขยับแขนขึ้นลงแบบนก เมื่อเธอได้เห็นนกอีก

เมื่ออายุได้ประมาณ 10 เดือน ลูกจะเริ่มมีความจำ และความเข้าใจได้ในระดับหนึ่ง ที่จะช่วยแยกแยะลักษณะเฉพาะ ของของแต่ละสิ่ง ที่มีความแตกต่างกัน ลูกจะเริ่มแยกแยะได้ว่า เจ้าตัวขนยาวๆที่เดินไปมาในบ้านนี้ คือแมว และแมวชอบร้องเหมียวๆ ขณะที่ตัวที่มีขนเกรียน อยู่นอกบ้าน และชอบเห่าเสียงโฮ่งๆ คือหมา การที่คุณแม่เล่นกับลูกโดยการทำเสียง เหมียวๆ หรือโฮ่งๆ เมื่อเด็กเห็นสัตว์นั้นๆ จะช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ คำศัพท์และเข้าใจคอนเซปต์ของสัตว์นั้นได้ง่ายขึ้น

ในการที่ลูกสามารถแยกแยะความแตกต่างของสัตว์ต่างชนิด คนอื่นๆ และสิ่งของต่างๆได้นั้น ลูกเองก็กำลังเรียนรู้ ความเป็นคนพิเศษของตนเอง ซึ่งเมื่อลูกเริ่มได้คอนเซปต์ ของการเป็นตัวเองแล้ว ก็จะช่วยส่งเสริมความรู้สึกว่า ตนเองมีคุณค่า มีความสำคัญ

คุณแม่สามารถช่วยให้ลูก มีความรู้สึกในการเป็นตัวเองได้ โดยการให้ลูกมองภาพของตนเองในกระจกเงา พร้อมกับการเรียกชื่อของลูก เพื่อให้ลูกเริ่มรู้จักหน้าตาของตนเอง ซึ่งสัมพันธ์กับชื่อที่คุณแม่เรียก และควรจะใช้ชื่อเพียงชื่อเดียว ในการเรียกชื่อลูก เพื่อไม่ให้ลูกเกิดความสับสน ว่าชื่อไหน หมายถึงเธอจริงๆ และจะเป็นการช่วยให้ลูกได้เข้าใจ เกี่ยวกับการเป็นตัวเธอเองโดยการเรียกชื่อของลูก เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ในสิ่งของที่ลูกมี เช่น “นี่คือตุ๊กตาหมีของลูกแก้ว” “คุณแม่กำลังแปรงผมของลูกแก้วอยู่ ผมของลูกแก้วสวยจัง”

ในขณะที่ลูกเริ่มมีคอนเซปต์ ของการเป็นตัวเธอเองนั้น เธอก็กำลังเริ่มเข้าใจบทบาท และความสัมพันธ์ระหว่างคุณแม่กับตัวของเธอได้ดีขึ้น และการที่คุณแม่ตอบสนอง และให้ความรัก และทะนุถนอมต่อกริยาต่างๆที่ลูกแสดงออกอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ทำให้ลูกได้รับความรู้สึกว่า ตนเองเป็นที่รัก และมีความสำคัญ เป็นคนที่มีคุณค่า ซึ่งจะช่วยให้ลูกมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง และมีความเป็นตัวเองมากขึ้น ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากในการพัฒนาการของเด็ก

ที่ได้แนะนำมาทั้งหมดนี้ ยังอาจไม่สมบูรณ์ และไม่ได้หมายความว่า ถ้าคุณแม่คุณพ่อได้ทำตามแล้ว จะทำให้ลูกอันเป็นที่รักยิ่งของเราเป็นเด็กอัจฉริยะได้ในชั่วข้ามคืน เพราะการอบรมเลี้ยงดูลูกนั้น ต้องอาศัยปัจจัย และตัวแปรอีกหลายอย่างมาประกอบ แต่ก็เชื่อแน่ว่า ด้วยความรัก ความเอาใจใส่ อย่างที่มีเหตุผลที่คุณพ่อและคุณแม่ ให้แก่ลูก จะทำให้ลูกของเราได้เจริญเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ และถ้าลูกมีความสามารถ ที่จะเป็นอัจฉริยะได้ เขาก็ได้มีโอกาสที่จะแสดงให้คนอื่นๆได้รับรู้ว่า เขานั่นแหละคืออัจฉริยะตัวจริง ที่คุณพ่อคุณแม่ได้พยายามฟูมฟักมาตั้งแต่แรกเกิดนั่นเอง

สำหรับตอนนี้ ก็ขอให้คุณพ่อคุณแม่ที่ติดตามอ่านมาถึงบรรทัดนี้ ได้แง่คิดและได้ประสบความสำเร็จ ในการดูแลลูกน้อยได้อย่างที่ตั้งใจไว้ อย่างน้อยก็ขอให้ยึดคติที่ว่า “การเริ่มต้นที่ดีเท่ากับสำเร็จไปแล้วกว่าครึ่ง” นะคะ


วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

25 สังเกต ตา หนูแบบไหนผิดปกติ...


สังเกต ตา หนูแบบไหนผิดปกติ...
จาก: นิตยสารดวงใจพ่อแม่

"น้ำตาคลอ เป็นเพราะหนูขี้แงแน่หรือจ๊ะ?"

"ขี้ตาเยอะ ขยี้ตาบ่อยๆ ง่วงรึเปล่า?"

"ทำไมหนูร้องไห้แล้วไม่มีน้ำตาล่ะ?"

อาการที่ว่านี้อาจบอกถึงความผิดปกติของดวงตาลูกน้อยได้ เรามีวิธีสังเกตอาการผิดปกติรวมถึงวิธีการดูแลรักษาดวงตาของลูกน้อยอย่างน่าสนใจ

ตาแฉะ

พบได้บ่อยในทารก 1 เดือนแรก โดยเด็กที่มีอาการตาแฉะจะมีน้ำคลออยู่ที่ตาเสมอ มักมีขี้ตาแฉะออกมาตรงหัวตา อาจจะเป็นเพียงข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ ซึ่งทำให้คนตาเหนียวติดกันเวลานอนหลับ อย่างไรก็ดี ตาแฉะนั้นเกิดจากหลายสาเหตุลองสังเกตอาการให้ถี่ถ้วนอีกสักนิด

ตาแฉะ มีขี้ตาขาวๆ: อาจเกิดจากเด็กเมื่อแรกเกิดแพทย์จะหยอดตาเด็กทันทีเพื่อป้องกันโรคหนองใน และเชื้อโรคต่างๆ ที่อาจเข้าตาเด็ก ซึ่งยานี้อาจทำให้เด็กตาแฉะและมีขี้ตาขาวได้

ตาแฉะเนื่องจากการติดเชื้อ: พบได้บ่อยในทารกแรกเกิดเช่นกัน ส่วนใหญ่เกิดจากการที่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไป ในตาของเด็กระหว่างการคลอด เช่น น้ำคร่ำหรือเลือด หรืออาจได้รับภายหลังการคลอดไปแล้ว เด็กจะมีขี้ตามาก และเมื่อตื่นนอนจะทำให้ลืมตาไม่ค่อยขึ้น เพราะขี้ตาที่แห้งเหนียว

ตาแฉะเนื่องจากการแพ้สารเคมี: ทารกแรกเกิดอาจเกิดอาการแพ้สารซิลเวอร์ไนเตรตที่หยอดตาหลังคลอด เพื่อป้องกันการติดเชื้อหนองในจากแม่

นอกจากตาแฉะแล้ว อาการผิดปกติของดวงตายังเกิดขึ้นได้อีกหลายสาเหตุ

มีน้ำตาไหลออกมาเมื่อทารกร้องไห้: เด็กแรกเกิดจะเริ่มมีน้ำตาประมาณ 2 อาทิตย์ผ่านไป ดังนั้น การมีของเหลวออกมาจากตาทารกก่อนเด็กอายุ 2 อาทิตย์ จึงมักเป็นความผิดปกติที่คุณแม่ควรพาไปพบแพทย์

ท่อน้ำตาหนูก็ตันได้นะ: หากเด็กอายุ 2 สัปดาห์ขึ้นไปแล้ว เวลาร้องไห้น้ำตายังไม่ยอมออกมา สันนิษฐานได้ว่าท่อน้ำตาของลูกอาจจะตันได้ค่ะ ถ้าเด็กมีน้ำตาเอ่อที่ตาอยู่ตลอดวันลองเอานิ้วกดเบาๆ ที่หัวตาด้านล่าง แต่ถ้าไม่ได้ผลควรพาไปพบจักษุแพทย์ เพื่อรักษาโดยการใช้ยาหยอดตา หรือใช้วิธีล้างท่อตา ในกรณีที่ไม่หายแพทย์จะใช้การผ่าตัดรักษาได้

หนังตาเด็กบวมแดง มีขี้ตาสีเหลืองหรือสีเหลืองปนสีเขียว: แสดงว่ามีเชื้อโรคเข้าตา ทำให้เด็กตาอักเสบอาจเป็นสาเหตุจากเชื้อบักเตรีหรือเชื้อไวรัสที่มาจากฝุ่น หรืออากาศที่ไม่สะอาด ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะแพทย์จะจัดยาหยอดตาที่เหมาะกับโรคมาให้

ตาเขหรือตาเหล่ในบางขณะ: เด็กทารกแรกเกิดถึง 2 เดือน ยังไม่สามารถเรียนรู้ที่จะปรับโฟกัสตาซ้ายและตาขวาเข้าด้วยกันได้ ทำให้ตาของลูกจึงดูเหมือนว่ามีอาการตาเหล่หรือตาเขได้ แต่ถ้าหากหลังจากอายุพ้น 3 เดือนไปแล้ว ตาลูกยังไม่หายเหล่หรือเข คุณแม่ก็ควรรีบพาลูกไปให้แพทย์ตรวจโดยทันที เพราะถ้าหากทิ้งไว้นานจะยิ่งรักษายาก

ดูแลรักษาดวงตาลูกน้อย:

ทำความสะอาดโดยเช็ดขี้ตาให้ลูกบ่อยๆ เมื่อเห็นว่ามีขี้ตาออกมา

ทำความสะอาดและเปลี่ยนผ้ารองนอนให้ลูกบ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าตา

หลีกเลี่ยงพาลูกไปในที่มีฝุ่น ควันเยอะๆ ลมแรง หรือแสงจ้ามากๆ

สังเกตอาการผิดปกติของดวงตาลูกเป็นประจำทุกวัน

เมื่อพบอาการผิดปกติควรพาลูกไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด แพทย์จะจัดยาหยอดตาที่เหมาะสมให้

เช็ดตาลูก: ทำความสะอาดขี้ตาที่ติดอยู่ โดยใช้สำลีชุบน้ำสุกอุ่นๆ เช็ดตาข้างหนึ่งโดยเริ่มเช็ดจากหัวตาไปยังหางตา

นวดตาลูก: การนวดหัวตาหรือถุงน้ำตา มักใช้ในกรณีที่จักษุแพทย์บ่งชี้ว่า เจ้าตัวเล็กของคุณท่อน้ำตาตัน ซึ่งวิธีนี้ก็จะช่วยทำให้ท่อน้ำตาเปิด และป้องกันถุงน้ำตาและเยื่อบุตาอักเสบได้ การนวดให้นวดวันละประมาณ 2-6 ครั้ง ครั้งละ 10 ที โดยวางนิ้วก้อยไว้ที่ตำแหน่งหัวตาชิดดั้งจมูกซึ่งตรงกับตำแหน่งของถุงน้ำตาและส่วนบนของท่อน้ำตา กดเบาๆ และเคลื่อนลงข้างล่างเพื่อเพิ่มความดันในท่อน้ำตาและทำให้รูของท่อน้ำตาเปิด

ระวังสักนิด! ก่อนนวดตาให้ลูก ควรสำรวจตัวคุณเองว่าเล็บยาวหรือไม่ และล้างทำความสะอาดแล้วหรือยัง เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดกับดวงตาของลูกได้ ที่สำคัญคือ ควรได้รับการแนะนำอย่างใกล้ชิดจากคุณหมอก่อน


วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

24 น้ำนมแม่ / ตาบอดสี colour blindness


น้ำนมแม่

น้ำนมแม่นั้นนอกจากจะมีประโยชน์ต่อทารกในวัยแรกเกิดแล้ว น้ำนมยังมีสรรพคุณต่างๆมากมาย ดังเช่นที่คนในสมัยก่อนนั้นได้เอาน้ำนมมาเป็นส่วนประกอบในการรักษาโรคต่างๆ ดังความเชื่อที่ว่า

- ถ้าเอาน้ำนมของคนทาที่ศีรษะของเด็กทารกที่มีผมบางจะมีผมขึ้นดกหนา

- ถ้าเอาน้ำนมหยอดตาคนที่เป็นโรคตาแดง จะหายจากการเป็นโรคตาแดงได้

นอกจากนั้นคนโบราณยังใช้น้ำนมมนุษย์ผสมกับดินปืน ใส่ในกระบอกดอกไม้ไฟ เชื่อว่าเมื่อจุดกระบอกไฟจะไม่ค่อยมีควันและมีดอกสวยงามสว่างไสว ความเชื่อเหล่านี้ยังถูกถ่ายทอดสืบต่อๆมา ซึ่งสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในต่างจังหวัด


ตาบอดสี colour blindness

ตาบอดสี หรือที่เรียกว่า colour blindness เป็นอาการที่ตาของผู้ป่วยแปรผลแปรภาพสีผิดไป จากผู้อื่นที่เป็นตาปกติ ตาเป็นอวัยวะจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขในสังคม หากเกิดความ ผิดปกติไม่ว่า จะเป็นเรื่องใดที่มีผลกระทบต่อการมองเห็น บุคคลนั้นๆ ย่อมได้รับผลกระทบไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ภาวะตาบอดสีเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในสังคมมากพอสมควร

ปกติแล้วตาคนเราจะมีเซลรับแสงอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นเซลรับแสงที่รับรู้ถึงความมืด หรือ สว่าง ไม่สามารถแยกสีออกได้และจะมีความไวต่อการกระตุ้นแม้ในที่ที่มีแสงเพียงเล็กน้อย เช่น เวลากลางคืน เซลกลุ่มที่สองเป็นเซลล์ทำหน้าที่มองเห็นสีต่างๆ โดยจะแยกได้เป็นเซล อีก 3 ชนิด ตามระดับคลื่นแสง หรือสี ที่กระตุ้น คือ เซลล์รับแสงสีแดง เซลล์รับแสงสีน้ำเงิน และเซลรับแสงสีเขียวสำหรับแสงสีอื่น จะกระตุ้นเซลดังกล่าวมากกว่าหนึ่งชนิดแล้วให้สมองเราแปลภาพออก มาเป็นสีที่ต้องการ เช่น สีม่วงเกิด จากแสงที่กระตุ้นทั้งเซลรับแสงสีแดงและเซลรับแสงสีน้ำเงินในระดับที่พอๆกัน ซึ่งเซลกลุ่มที่สองนี้จะ ทำงานได้ดีต้องมีแสงสว่างเพียงพอ ดังนั้นในที่สลัวๆเราจึงไม่สามารถแยกสีของวัตถุได้ แต่ยังพอบอก รูปร่างได้ เนื่องจากมีการทำงานในเซลของกลุ่มแรกอยู่ เมื่อเพิ่มแสงสว่างขึ้นเราจึงมองเห็นสีต่างๆขึ้นมา


ประเภทของตาบอดสี

โรคตาบอดสี พบได้ประมาณ 8% ของประชากร แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

กลุ่มที่เป็นตั้งแต่ กำเนิด (congenital color vision defects) กลุ่มที่มีความผิดปกติมาตั้งแต่ กำเนิดตาทั้ง 2 ข้างจะมีอาการมองเห็นสีผิดปกติเหมือนกันคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ผู้ที่สามารถเห็นสีได้ปกติจะต้องมีเซลล์รับแสงสีที่จอประสาทตาครบทั้ง 3 สี คือ แดง เขียว และน้ำเงิน และมีปริมาณเม็ดสีในเซลล์ที่ปกติ รวมทั้งระบบประสาทตาและการแปลผลที่เป็นปกติด้วย ส่วนความผิดปกติของ เม็ดสี และเซลล์รับแสงสีน้ำเงินนั้น ถูกควบคุมด้วยยีนบนโครโมโซม 7 จึงมีการถ่ายทอดแบบ autosomal dominant ซึ่งจะพบผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้น้อย

กลุ่มที่เป็นภายหลัง (acquired color vision defects) มักเกิดจากโรคทางจอประสาทตาหรือ โรคของเส้นประสาทตาอักเสบ มักจะเสียสีแดงมากกว่าสีอื่น และอาจเสียเพียงเล็กน้อย คือดูสีที่ควร จะเป็นนั้นดูมืดกว่าปกติ หรืออาจจะแยกสีนั้นไม่ได้เลยก็ได้

ซึ่งมักพบ กลุ่มแรก คือกลุ่มที่เป็นตั้งแต่กำเนิดบ่อยกว่ากลุ่มที่เป็นภายหลังเมื่อพิจารณาในกลุ่ม ที่ เป็นตั้งแต่เกิด กลุ่มย่อยที่พบได้บ่อยที่สุด คือ กลุ่มที่บอดสีเขียว-แดง ซึ่งพบได้ประมาณ 5-8% ใน ผู้ชาย และพบเพียง 0.5% ในผู้หญิง (ผู้ชายพบได้บ่อยกว่าเยอะนะครับ) ส่วนในกลุ่มที่เป็นภายหลัง มักพบเป็นการบอด สีน้ำเงิน-เหลือง และพบได้พอๆกันทั้งชายและหญิง ซึ่งจำนวนคนที่เป็น ในกลุ่มนี้น้อยกว่ากลุ่มที่เป็นแต่กำเนิดมาก


สาเหตุการเกิดตาบอดสี

ตาบอดสี (Clor blindness) เกิดขึ้นจากเซลล์ประสาทชนิดหนึ่งในม่านตาซึ่งมีความไวต่อสีต่างๆ มีความบกพร่องหรือพิการ ทำให้ดวงตาไม่สามารถที่จะมองเห็นสีบางสีได้ ตาบอดสี มีหลายชนิด ชนิดที่ทุกคนรู้จักโดยทั่วไปได้แก่ ตาบอดสีที่มองสีเขียวกับสีแดงไม่เห็น (Red–Green blindness) ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถแยกสีแดงกับสีเขียวจากสีอื่นๆได้ ดังนั้นคนตาบอดสีชนิดนี้จะมองเห็นสิ่งต่างๆในโลกเป็นสีน้ำเงิน สีเหลือง สีขาว สีดำ สีเทา และส่วนผสมของสีเหล่านั้นทั้งหมด

การพบโรคนี้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และมักเป็นกับแบบ แดง-เขียวแทบทั้งหมด ผู้หญิงมีโอกาสเป็นน้อยกว่าเนื่องจากในผู้หญิงมีโครโมโซม X ถึงสองตัว ถ้าเพียงแต่ X ตัวใดตัวหนึ่งมียีนเหล่านี้อยู่ ก็สามารถรับรู้สีได้แล้ว ในขณะที่ผู้ชาย มีโครโมโซม X เพียงตัวเดียว อีกตัวเป็น Y ซึ่งไม่ได้มีแพคเกจบรรจุยีนนี้แถมมาด้วย ;) ก็จะแสดง อาการได้เมื่อ X ตัวเดียวเท่าที่มีอยู่นั้นบกพร่องไป


การตรวจตาบอดสี โดยการให้อ่านอาจจะเป็นตัวเลขหรือสีซึ่งคนตาปกติจะบอกได้ถูกต้อง

ตาบอดสีมีหลายชนิด ชนิดที่พบบ่อยที่สุด เรียกว่า red/green colour blindness โดยจะแยก สีแดงและสีเขียวค่อนข้างลำบากโดยเฉพาะเวลาที่แสงไม่สว่างนัก ส่วนน้อยลงมาของคนที่มีตาบอด สีคือพวกที่ไม่สามารถแยกสีน้ำเงินกับสีเหลือง จะมีบ้างเหมือนกันที่เป็นโรคตาบอดสีทุกสีเลยแต่เป็นส่วนน้อยมาก คนที่บอดสี แดง-เขียวมักจะบอดสี น้ำเงิน-เหลืองด้วย ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นตาบอดสี ชนิดใด ล้วนจะมีสายตาหรือการมองเห็น (vision) ที่เป็นปกติ เพียงแต่ความสามารถในการแยกสี ไม่ปกติเท่านั้นเอง

กลุ่มที่มีความผิดปกติที่เกิดขึ้นมาภายหลัง มักเกิดจากการถูกทำลายของจอประสาทตาเส้นประสาทตา หรือส่วนรับรู้ในสมอง จากสาเหตุต่างๆ เช่น การอักเสบ ภาวะขาดเลือด อุบัติเหตุเนื้อ งอก การเสื่อมลงของจอประสาทตา หรือผลข้างเคียงจากยาหรือสารเคมี

ป่วยมักจะมีอาการเรียกชื่อสีหรือเห็นสีผิดไปจากเดิม โดยมากพบความผิดปกติของการมอง สี น้ำเงินเหลือง มากกว่าแดงเขียว ความผิดปกติของตาทั้ง 2 ข้างไม่เท่ากัน อาจเป็นตาเดียวหรือทั้ง 2 ตา มีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นหรือลดลงได้ รวมทั้งมีความผิดปกติของสายตาด้านอื่นๆ เช่น การมอง เห็นและลานสายตาลดลงได้ ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของโรค


อย่างไรก็ตาม มีอาชีพที่คนตาบอดสีไม่ควรทำได้แก่ อาชีพที่ต้องใช้ความสามารถในการแยกแยะสีเป็นสำคัญ เช่น นักเคมีที่ต้องทำงานกับสี, จิตรกร, พนักงานตรวจคุณภาพสินค้า (QC), ฯลฯ นอกจากนี้ อาชีพที่ไม่ควรรับคนตาบอดสีทำงานก็คือ อาชีพที่ต้องมีการใช้สีเป็นตัวแสดงถึงสิ่งต่างๆ เช่น ในอุปกรณ์ อีเลกโทรนิค, นักบิน, นักเดินเรือ เป็นต้น

นอกจากนี้พบว่า ตาบอดสีไม่ใช่จะมีแต่ข้อเสียเท่านั้น เราพบว่าคนตาบอดสีสับสนในเรื่องของสี แต่มีความสามารถในการแยกสีเฉดเดียวกันที่มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยได้ดีกว่าคนปกติ เช่น คนตาบอดสีเขียวจะแยกสีที่คล้ายกัน เช่น เขียวอ่อน เขียวอมเหลืองได้ดี ในบางประเทศ เช่น อิสราเอลมีการรับคนที่ตาบอดสีเข้าประจำในกองทัพบก เพราะคนเหล่านี้จะมองเห็นรถถังที่ทาสีพรางตัวอยู่ในภูมิประเทศได้ดีกว่าคนธรรมดา


วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

23 ตาบวม ปวดตา ตาช้ำ ทำอย่างไรดี


ตาบวม ปวดตา ตาช้ำ ทำอย่างไรดี

ดวงตาของคนเรานั้นสำคัญมาก หากว่าเมื่อไหร่ที่ดวงตาของเราไม่น่ามอง สาเหตุจากการบวม บอบช้ำจากการร้องไห้ หรือสาเหตุอื่นๆ ก็คงทำให้เรารู้สึกไม่สดชื่น ไม่อยากให้คนเห็น

ตาช้ำ อาจเกิดได้หลายสาเหตุ ที่ส่วนใหญ่คนเราเจอกันก็คือถ้าเรานอนไม่พอหรืออดนอนมาหลายคืน มีรอยช้ำใต้ตาเหมือนหมีแพนด้าแล้วก็ลองหาถุงชา (ควรเป็นชาชนิดซอง ถ้าจะให้ดีควรเป็นชากลิ่นคาโมมายล์) นำไปแช่ในน้ำร้อน หลังจากนั้นเอาขึ้นมาทิ้งไว้ให้เย็นแล้วนำมาปิดไว้ที่ตาประมาณ 15 นาที เพียงเท่านี้ดวงตาของคุณก็จะกลับมาสดใสเหมือนเดิมแล้ว

ปวดตา ถ้าคุณรู้สึกว่าปวดตาหรือรู้สึกล้า เนื่องจากการทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ลองหยุดพักสายตาเป็นระยะ ทุก 2-3 ชั่วโมง ประมาณ 10-15 นาที นอกจากนี้ยังสามารถใช้แตงกวาได้ โดยนำแตงกวามาหั่นเป็นชิ้นบางๆ แล้วมาปิดไว้บริเวณดวงตาประมาณ 10 นาที เท่านี้ก็ช่วยลดการปวดตาได้แล้ว

ตาบวม เพื่อนๆลองหามะเขือเทศนำมาหั่นแล้วปิดไว้ที่บริเวณดวงตาประมาณ 10 นาที เพียงเท่านี้รอบดวงตาของคุณก็จะหายบวม

อ่านแล้วก็อย่าลืมปฏิบัติกันนะครับ หากใครไม่อยากเป็นตาหมีแพนด้า แล้วละก็......