ห้องตรวจตา...ชั้น 5 อาคารเฉลิมพระเกียรติ

Blogนี้ผมตั้งใจทำขึ้นเพื่อตอบแทนสดุดีนโยบายบัตรทองประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรคของรัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร
จะรีบไปไหน...จะรีบไปไหน...รอโหลดซักกะเดี๋ยวซิครับ คลิก...นโยบาย"ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ"

* ขอขอบคุณที่ติดตามรับชมและช่วยประชาสัมพันธ์ลิงค์ http://eye009.blogspot.com/ ให้แพร่หลาย *
@ ปู้นนน...!!! คนเมืองใต้เจียงใหม่ของหมู่เฮาลงไปตางปู๊นนน..... * * * * * @ 2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย . . . ร่วมด้วยช่วยกันเผยแพร่สื่อสารถึง"คนเสื้อแดง"ทั่วไทยและทั่วโลก . . . ขอขอบพระคุณเจ้าของclipภาพถ่ายและบทความทุกๆท่านที่กรุณาเอื้อเฟื้อแบ่งปัน . . .น้ำใจซื้อขายไม่ได้ แต่น้ำใจให้กันได้...อิอิ


PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับส่วนต่างๆและระบบการทำงานของดวงตา, โรคตาต่างๆ และวิธีการดูแลรักษาดวงตาอย่างถูกต้องที่สามารถปฏิบัติตามในเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง... ขอขอบคุณ www.knowledge.com

วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553

37 ปวดตา...


ปวดตา
By: นพ.สุรพงษ์ ดวงรัตน์

คุณเคยปวดตาหรือปวดกระบอกตาบ้างมั้ย

ถ้าไม่เคยก็แล้วไป แต่สักวันหนึ่งอาจจะปวดได้ ขอให้อ่านไว้ประดับความรู้คงไม่เสียหายอะไร

ถ้าคุณเคยปวดแบบไหน ปวดที่ว่านั้นอยู่ในหัวขอใดหัวข้อหนึ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้หรือเปล่า ขอได้โปรดติดตามอ่านไปเรื่อยๆ เถอะครับ

“ปวดลูกตา” หรือ “ปวดกระบอกตา” เป็นอาการที่แสดงออกเช่นเดียวกับการปวดอย่างอื่นภายในร่างกาย เป็นต้นว่า ปวดท้อง ปวดหลัง ปวดฟัน ปวดเอว ปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัว ตลอดไปจนถึงส่วนบนสุดคือ ปวดระดับชาติ นั่นก็หมายถึง “ปวดหัว” นั่นเอง

หลายคนคงเคยปวดสารพัดอวดมาแล้ว แต่อาจไม่เคยปวดตาเลยก็ได้ หรือเคยมาแล้ว ก็ลองมาดูซิว่า ไอ้ที่ว่าปวดตา ปวดลูกตานั้นมันฉันใด เกิดได้อย่างไร และควรจะปฏิบัติตนอย่างไร อย่างน้อยก็พอจะรู้เค้าว่า ที่มาของการปวดตามันมาจากอะไร ดีกว่าปล่อยให้อาการแวดตุ๊บๆ เกาะกินอยู่ได้ โดยไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรและจะทำอย่างไรต่อไป

สาเหตุที่จะทำให้ปวดตามีด้วยกันหลายสาเหตุ ผมจะเขียนเฉพาะที่พบได้บ่อยๆ ในคนไข้โรคตาที่มาเป็นประจำ และควรจะให้คำแนะนำอย่างไร ก็แล้วกันครับ ส่วนเรื่องการรักษาบางครั้งค่อนข้างซับซ้อนและยุ่งยากสำหรับ “ชาวบ้าน” ธรรมดาที่จะเข้าใจ แต่ดีกว่าที่เราไม่รู้อะไรเสียเลย

ฝีที่ต่อมเปลือกตา

หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “กุ้งยิง” นั่นแหละครับ อันนี้เป็นการอักเสบที่เกิดบริเวณต่อมที่อยู่บริเวณเปลือกตาบน หรือไม่ก็เปลือกตาล่างอันใดอันหนึ่ง การเริ่มเป็นครั้งแรก บางทีเจ้าตัวไม่สังเกตว่ามีฝีอยู่บริเวณดังกล่าวก็จะไม่ทราบ เพราะฝียังไม่ก่อตัวเต็มที่ หรือโผล่ออกมาให้เห็นชัด แต่ถ้าสงสัยให้ลองเอาปลายนิ้วชี้กดๆ ดูบริเวณเปลือกตาบน หรือล่างข้างนั้นดู ว่ารู้สึกเจ็บเมื่อกดตรงนั้นหรือเปล่า ถ้าเจ็บแสดงว่าอาจจะเกิดจากอันนี้ได้ เพราะกุ้งยิงมักเป็นข้างใดข้างหนึ่งที่เปลือกตาบนหรือล่างเพียงเม็ดเดียวเท่านั้น น้อยรายที่จะเป็นพร้อมๆกันหลายๆเม็ด

ถ้าฝีโผล่ออกมาให้เห็นชัด คือ เป็นเม็ดแดงๆ เช่นนี้ก็บอกชัดแจ้งอยู่แล้วว่า เป็นกุ้งยิงแน่ คุณอาจจะกินยาแก้อักเสบชนิดใดชนิดหนึ่งได้ เป็นต้นว่า ถ้าเป็นเด็กๆ อายุต่ำกว่า 10 ขวบ อาจให้พวกเพนนิซิลิน ชนิดน้ำเชื่อมขนาด 2 ออนซ์ (60 ซี.ซี.) กินครั้งละ 1 ช้อนชา หรือ 2 ช้อนชา แล้วแต่เด็กตัวโตตัวเล็ก วันละ 3 ครั้ง ก่อนกินอาหารประมาณ 3-4 วัน อาการจะค่อยทุเลาไป ถ้ายังไม่หายขาดอาจกินซ้ำได้อีกหนึ่งขวด หรือจะพาไปหาหมอตาดูซ้ำอีกที ว่าใช่โรคนี้หรือไม่ก็จะดีไม่น้อย

ถ้าเป็นผู้ใหญ่ คุณอาจกินยาปฏิชีวนะอะไรก็ได้ที่ไม่แพ้ เป็นต้นว่า เพนนิซิลลินชนิดเม็ดหรือเตตร้าซัยคลีน มื้อละ 2 เม็ด 3 เวลา ก่อนหรือหลังอาหารแล้วแต่ชนิดสัก 2-3 วัน อาการก็จะดีขึ้น แต่ถ้าไม่ทุเลา ควรไปหาหมอตา หรือผ่าตากรีดเอาหนองออกดีกว่าอาการทั้งหมดจะหายเป็นปลิดทิ้ง

เยื่อตาอักเสบชนิดเฉียบพลัน

ถ้าปุบปับมีอาการปวดกระบอกตา หรือปวดรอบๆ กระบอกตา บางครั้งปวดหัวร่วมด้วยอาจมีปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อทั่วตัว แสดงว่ามีการจู่โจมโดยเชื้อไว้รัสเข้าให้แล้ว เขื้อไวรัสตัวที่ว่านี้ เป็นตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดอาการตาแดงแบบเฉียบพลันชนิดที่เกิดจากไวรัส (ดูเรื่อง ตาแดง) บางคนอาจจะไม่แสดงอาการตาแดงออกมาให้เห็นขัดเจน แต่จะมีอาการปวดนำมาก่อน ปวดตาแบบนี้มักปวดทั้งสองข้าง

ถ้าสงสัยจะเป็นอันนี้ ลองพักผ่อนหรือพักสายตาซัก 2-3 วัน เช่นเดียวกับเป็นไข้หวัด อาการปวดเมื่อยเนื้อตัวจะค่อยๆ ทุเลาลงไปได้เอง เพียงกินยาแก้ปวดพาราเซตามอลครั้งละเม็ดเมื่อปวดมากเท่านั้น เมื่อไม่ทุเลา หรือเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ค่อยไปปรึกษาหมอ ดูให้แน่ใจอีกที


สิ่งแปลกปลอมเข้าไปติดในตา

เช่น เศษผงหรือเศษเหล็กเล็กๆ ติดบริเวณเยื่อตา หรือบนกระจกตาดำ พวกนี้ทำให้มีอาการปวดตาได้อย่างเฉียบพลัน พร้อมกันนี้จะมีอาการเคืองตา น้ำตาไหลมาก ลืมตาลำบาก ต้องเอามือกุมตาข้างนั้นเกือบตลอดเวลา อาการเช่นที่ว่านี้ และมีประวัติหรือสงสัยอะไรเข้าตาตัวเองแน่นอนละก็ รีบไปหาหมอเถอะครับ ให้หมอแกเขี่ยออกเสีย มิฉะนั้นจะทรมานไม่มีที่สิ้นสุดพาลหงุดหงิดอารมณ์เสียไปตลอดเวลาอีกด้วย

สายตาผิดปกติ

คือ ภาวะที่คุณเองอาจจะมีสายตาเริ่มผิดปกติขึ้นมาแล้ว เป็นต้นว่าอาจจะสายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง แต่ยังสามารถมองเห็นได้ชัดเมื่อคุณพยายามเพ่งมองระยะแรกๆ พอเพ่งไปนานๆ รู้สึกตามัวพร่า แล้วในที่สุดจะรู้สึกปวดกระบอกตามาก น้ำตาไหล

การปวดตาในหัวข้อนี้ สังเกตได้ง่ายมาก คือ จะปวดเมื่อเริ่มใช้สายตามองอะไรทุกครั้งไป บางคนปวดจนรู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียน โดยเฉพาะมองภาพระยะใกล้ เช่น อ่านหนังสือ เย็บปักถักร้อย พิมพ์ดีด หรือเขียนแบบ ฯลฯ เป็นต้น และเมื่อมองไกลๆ รู้สึกตาพร่ามองไม่ค่อยชัด

เป็นเช่นนี้รีบไปหาหมอตาเถอะครับ อย่ามัวกินยาแก้ปวดอยู่เลย เสียเวลาเปล่าๆ สิ่งที่จะแก้อาการปวดเช่นนี้ คือ แว่นตาที่เหมาะกับสายตาเท่านั้น หรือผู้ที่เคยใช้แว่นสายตาเป็นประจำอยู่แล้ว เกิดปวดตาเมื่อใช้สายตามากๆ อีกทั้งแว่นที่ใช้อยู่ก็นานเกินหกเดือนไปแล้ว ควรจะจัดการเช็คแว่นเสียใหม่

ตาเขซ่อนเร้น

หมายถึง คุณอาจมีภาวะตาเขอ่อนๆ หรือที่เรียกว่า “ตาส่อน” อยู่ เมื่อพยายามเพ่งมองอะไรจะรู้สึกปวดกระบอกตาเช่นกัน ทั้งนี้เพราะตาพยายามบังคับการกลอกตาให้เพ่งไปที่จุดที่ต้องการมอง ทั้งๆที่การทำงานของกล้ามเนื้อการกลอกตาไม่ค่อยจะสมดุลกันอยู่แล้ว จึงทำให้ปวด

ข้อสังเกตจากการปวดในหัวข้อนี้ คือ ถ้าคุณเหนื่อยๆ หรือร่างกายอ่อนเพลีย บางครั้งจะมองเห็นภาพวัตถุที่มองเป็นภาพซ้อนได้ ขอให้นึกถึงอันนี้ไว้เถอะ แล้วไปคุยกับหมอดูว่า คุณ “ตาส่อน” จริงหรือเปล่า ถ้าหมอตาคนนั้นถามคุณว่าทำไมคุณจึงสงสัยแบบนี้ จงตอบอย่างภาคภูมิใจเถอะครับว่า ‘อ่านจากนิตยสารหมอชาวบ้านมาแล้ว’

ปวดหัว ไข้หวัดใหญ่ และไซนัสอักเสบ

อาจทำให้ปวดมากที่บริเวณกระบอกตาได้ เรียกว่า “ปวดร้าว” การปฏิบัติตนเช่นนี้ เราก็ให้การรักษาที่ต้นเหตุไป ถ้าต้นเหตุแห่งการปวดร้าวหาย ปวดตาก็จะพลอยหายไปด้วย

ต้อหินชนิดเฉียบพลัน

อันนี้น่ากลัวมาก รุนแรงเหลือเกิน คือ ปวดลูกตาข้างใดข้างหนึ่ง ปวดอย่างรุนแรงเหมือนกับ “ลูกตาจะระเบิด” หรือถลนออกมานอกเบ้า ตามัวพร่าอีกด้วย มองดวงไฟเห็นเป็นสีรุ้งรอบดวงไฟ บางครั้งปวดหัวและคลื่นไส้อาเจียนตามมา ปวดจนเรียกได้ว่า “ไม่เป็นอันกินอันนอน” กรุณาอย่าไปหาซื้อยาแก้ปวด หรือยาหยอดตาตามร้านมาใช้เลย ไม่หายหรอกครับ ถ้าสงสัยว่าเป็นแบบข้อนี้ อย่ารีรอครับ รีบไปหาหมอตาทันที มิฉะนั้น “ตาบอด” ร้อยเปอร์เซ็นต์

ทั้งหมดนั้นเป็นหัวข้อของ สาเหตุแห่งการปวดตา คุณลองพิจารณาดูซิครับว่า อาการปวดตาที่คุณกำลังเป็นหรือเคยเป็นมาแล้วจัดอยู่ในหัวข้อไหน

อีกแหละครับ บางครั้งหาสาเหตุจนพลิกตำราทุกเล่มแล้วยังหาไม่พบ แม้กระทั่งผู้เขียนเองบางครั้งเป็นขึ้นมาไม่รู้ว่าจะจัดอยู่ในหัวข้อไหน เหลืออันเดียวเพิ่งคิดออกว่าตัวเองอาจจะเป็นอันนี้แน่ นั่นก็คือ ถ้าจะเริ่มเป็น “ประสาท” แล้วกระมังก็เป็นได้

คุณละครับ เป็นอย่างผมคิดหรือเปล่า!






- ชื่อเต็มกรุงเทพฯ ทั้งภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ -
กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา
มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์
อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต
สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์

- คำอ่าน ภาษาไทย -
กรุงเทบมะหานะคอน อะมอนรัดตระนะโกสิน มะหินทรายุดทะยา
มะหาดิลกพบ นบพะรัดราดชะทานีบูรีรม
อุดมราดชะนิเวดมะหาสะถาน อะมอนพิมานอะวะตานสะถิด
สักกะทัดติยะวิดสะนุกำประสิด

- คำอ่าน ภาษาอังกฤษ -
KRUNGTHEPMAHANAKHON AMONRATTANAKOSIN MAHINTHRAYUTTHAYA
MAHADILOKPHOPNOPPHARATRATCHATHANIBURIROM
UDOMRATCHANIWETMAHASATHAN AMONPHIMAN-AWA-TANSATHIT
SAKKATHATIYAWITSANUKAMPRASIT

- คำแปลเป็น ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ -
กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา
E : City of Angels, Great City of Immortals,
ท : พระนครอันกว้างใหญ่ดุจเทพนคร เป็นที่สถิตของพระแก้วมรกต เป็นนครที่ไม่มีใครรบชนะได้

มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์
E : Magnificent City of the Nine Gems, Seat of the King,
ท : มีความงามอันมั่นคงและเจริญยิ่ง เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ด้วยแก้วเก้าประการ น่ารื่นรมย์ยิ่ง

อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต
E : City of Royal Palaces, Home of the Gods Incarnate,
ท : มีพระราชนิเวศใหญ่โตมากมาย เป็นวิมานเทพที่ประทับของพระราชาผู้อวตารลงมา

สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์
E : Erected by Visvakarman at Indra's Behest.
ท : ซึ่งท้าวสักกเทวราชพระราชทานให้พระวิษณุกรรมลงมาเนรมิตไว้

วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553

36 นัยน์ตากับคอมพิวเตอร์


นัยน์ตากับคอมพิวเตอร์
by: กัลยา เบญจพร

จากที่เราๆท่านๆ ต้องทำงานเกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ แน่นอนย่อมมีผลกับนัยน์ตา ซึ่งมักจะมีอาการปวดตาสำหรับผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ ซึ่งจักษุแพทย์ได้พบว่ามีหลายๆสาเหตุที่ทำให้นัยน์ตาต้องเสี่ยงภัยจากเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นผลทำให้เกิดอาการปวดตา พอจะแจกแจงได้ดังนี้

*ความเสี่ยงภัยจากการใช้เวลาทำงานส่วนใหญ่กับคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นหนทางที่ก่อให้เกิดอันตรายกับนัยน์ตา

*ความไม่พอเพียงหรืออันตรายที่เกิดจากแสงและสภาพบนจอภาพ

*สภาพของนัยน์ตาที่แย่อยู่ก่อนแล้วรวมทั้งสภาพการทำงาน

*การใช้นัยน์ตาเพ่งมองหรือจ้องมองเค้นของนัยน์ตา

ลักษณะการทำงานของนัยน์ตา

สาเหตุที่พบบ่อยในการทำให้เกิดอาการเมื่อยตาหรือปวดตา นั่นก็คือการที่เราพยายามใช้นัยน์ตาในการมองภายใต้สภาวะที่เสี่ยงภัยหรือเป็นอันตรายกับนัยน์ตา การทำงานของนัยน์ตาถูกควบคุมโดยกล้ามเนื้อตา ซึ่งกล้ามเนื้อจะทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยและรัดเกร็ง สำหรับผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่พยายามใช้นัยน์ตาในการมองแต่ละวันนั้นคุณอาจจะต้องตกใจว่านัยน์ตานั้นมีการ 30,000 ครั้ง/วัน กล้ามเนื้อตาที่ถูกใช้ในการมองข้อความบนกระดาษหน้าหนึ่ง, การกระตุกของจอภาพ, การปรับสายตาในการมองสิ่งต่างๆ หรือเปลี่ยนโฟกัสในการมองและกลับมามองที่หน้าจออีกครั้ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหน้าที่ของกล้ามเนื้อตาทั้งสิ้น

การพิมพ์ตัวอักษรที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์ในสภาพการทำงานที่หลอดไฟในห้องมีความสว่างมากเกินwb และทำให้จอภาพของคุณมองไม่ชัดเหมือนหมอกมาบดบังอยู่หน้าจอนั่น เกิดจากการสะท้อนของแสงที่ตกกระทบกับจอคอมพิวเตอร์ของคุณ ทำให้ต้องมีการเพ่งไปที่จอภาพเป็นระยะเวลานานในการทำงานอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ จะมีการเลื่อนโฟกัสของสายตาที่จ้องมองบนจอภาพ เพื่อทำการอ่านข้อความบนจอภาพซึ่งได้จากการพิมพ์ลงไปบนคีย์บอร์ด จากสาเหตุต่างๆที่ทำให้เกิดอาการเมื่อยตาหรือปวดตานั้นยังไม่อาจบอกแน่นอนว่าเป็นสาเหตุใดที่แท้จริง บางอาการก็เกิดจากการเครียดกับการทำงานหรือการติดเชื้อ ฉะนั้นเราจึงไม่ควรรีรอในการปรึกษาหาคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในการดูแลรักษานัยน์ตาหรือจักษุแพทย์

อาการที่นัยน์ตาถูกใช้อย่างหักโหม

การมองเห็นสี: เมื่อมีการจ้องดูที่จอเป็นระยะเวลานานๆ ซึ่งตัวอักษรบนจอมีการแสดงสีเป็นสีเขียวบนพื้นจอดำ คุณจะรู้สึกว่าการมองเห็นสีนั้นยากขึ้นเมื่อคุณลองมองไปที่อื่นหลังจากที่มองจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ปรากฏการณ์เช่นนี้ถูกเรียกว่า "The McCulloch afterimage" ที่เกิดจากปริมาณของสีเคมีพิเศษที่อยู่ในเรตินาลดลง อย่างไรก็ตามนัยน์ตาก็จะสร้างสีให้เกิดใหม่ได้ในไม่ช้าหลังจากที่สีเคมีดังกล่าวขาดหายไปชั่วขณะหนึ่ง

การมองเห็นภาพซ้อน: การมองเห็นภาพซ้อนเกิดจากกกล้ามเนื้อตาที่ควบคุมการรวมกันของภาพที่จุด ๆ เดียว ที่ตาทั้งสองข้างจะรวมภาพที่จุดๆหนึ่ง แต่เหมือนกับมีบางสิ่งมาอยู่ใกล้ๆกับจุดโฟกัสนั้น เมื่อเราพยายามมองก็จะทำให้เกิดเป็นภาพซ้อนๆกัน ซึ่งมักพบได้บ่อยๆ ภาพที่เห็นซ้อนๆกันนี้บางครั้งก็ไม่รู้สึกหรือไม่เกิดขึ้นโดยตรง แต่จะรู้สึกปวดหัวหรือเกิดอาการล้านัยน์ตา ภาพซ้อนก็เป็นอาการหนึ่งของความเครียดทางสุขภาพนัยน์ตาเช่นกัน ถ้าพบว่าเห็นภาพซ้อนปรากฏทันทีหรือเป็นอยู่เรื่อยๆ คุณควรจะไปพบหรือปรึกษากับจักษุแพทย์ทันที

ปัญหาจากโฟกัส: เมื่อกล้ามเนื้อซิเลียรี (ciliary) เกิดอาการล้าหรือตึงเครียด ซึ่งกล้ามเนื้อ ciliary เป็นกล้ามเนื้อที่มีความสัมพันธ์ระหว่าง ciliary body กับโครงสร้างของตาโดย ciliary body จะมีลักษระเหมือนกับเยื่อหุ้มหลอดเลือดที่มีความหนาอยู่ระหว่างส่วนที่เรียกว่า คอรอยด์ (choriod) และม่านตา (iris) ซึ่งเมื่อกล้ามเนื้อซิเลียรีเกิดอาการดังกล่าวก็จะทำให้ไม่สามารถมองเห็นจุดโฟกัสของภาพนั้นได้อย่างสมบูรณ์ อาการที่เกิดขึ้นกับนัยน์ตาที่เมื่อยล้าหรือเกิดจากการเค้นจ้องจะทำให้ความสามารถในการกำหนดโฟกัสของสายตาwbr>w ในส่วนของกล้ามเนื้อซิเลียรี (ciliary) หากต้องถูกใช้งานอย่างหนักโดยการทำงานอย่างซ้ำๆ เพื่อเลื่อนโฟกัสมองตามตัวอักษรที่พิมพ์หรือกวาดสายตาตามตัวอักษรที่พิมพ์บนจอภาพ หรือการที่พยายามมองอยู่ที่โฟกัสเดิมเป็นเวลานานๆ ก็เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการล้าและอาจทำให้สายตาหรือกล้ามเนื้อส่วนนี้เสื่อมไปด้วย

อาการปวดหัว

เมื่อคุณต้องใช้สายตาอย่างหนักโดยการเค้นหรือจ้องมองเขม็งเป็นเวลานานๆบนจอคอมพิวเตอร์ คุณก็อาจจะเกิดอาการปวดหัว ซึ่งคอมพิวเตอร์กับอาการปวดหัวนั้นเกิดจากความเครียดที่มีสาเหตุจากกล้ามเนื้อในบริเวณคอและบริเวณศีรษะเกิดความตึงเครียด และที่พบได้ทั่วๆไปก็คือ ส่วนของขมับ อาการปวดหัวนี้อาจไม่ใช่สาเหตุโดยตรงที่เกิดจากความเมื่อยล้าของนัยน์ตา แต่เป็นผลข้างเคียงจากความพยายามในการจ้องมองในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม หรือจากการพยายามที่จะมองตำแหน่งนั้นๆ หรือเอียงศีรษะเพื่อที่จะมองให้เห็นทั้งสองจุดโฟกัสที่อยู่ในตำแหน่งที่คงที่หรือกำลังเคลื่อนที่ ล้วนแล้วแต่ทำให้กล้ามเนื้อสายตาเกิดอาการล้า กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ควบคุมโดยตรง "กล้ามเนื้อควบคุมม่านตา (iris)" ซึ่งควบคุมการผ่านเข้าของแสง และ "กล้ามเนื้อซิเลียรี (ciliary)" ที่ควบคุมการทำงานของเลนส์เพื่อที่จะทำให้การเปลี่ยนระยะของโฟกัสหรือทำการปรับโฟกัสของเลนส์ หากสายตาของคุณมีโฟกัสที่สั้นหรือสายตาสั้น ก็จะทำให้คุณปวดหัว และมีอาการเมื่อยล้านัยน์ตาได้ง่าย

ป้องกันและบรรเทาอาการปวดตา

คุณสามารถที่จะป้องกันอาการปวดตาด้วยตัวคุณเองโดยการเปลี่ยนตารางเวลาการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์, สภาพแวดล้อมต่างๆ และบางครั้งอาจจะต้องทำตามตัวอย่างต่อไปนี้

หยุดพักสายตา

หยุดพักหรือเปลี่ยนตารางเวลาการทำงานใหม่ เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของประสาทตา The National Institute of Occupational Safety and Health (NIOSH) ได้แนะนำให้มีการหยุดพักสายตาโดยจะหยุดพักสายตาครั้งละ 15 นาที ทุกๆ 2 ชั่วโมง ซึ่งจัดว่าเป็นระดับปานกลางสำหรับการทำงานที่อยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า The Video Display Terminal (VDT) หรือหยุดพักทุกๆชั่วโมงเพื่อลดการเสี่ยงภัยจากจอภาพ ผู้เชี่ยวชาญบางคนก็ได้แนะนำว่าควรจะมีการหยุดพักบ่อยๆ โดยแต่ละครั้งใช้เวลาเพียงนิดหน่อย

หลีกเลี่ยงจากต้นเหตุ

เมื่อลุกไปจากตำแหน่งที่กำลังทำงานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว ระหว่างนั้นก็เป็นการหยุดพัก โดยหลับตาหรือทำการบริหารตาเพื่อให้นัยน์ตาได้พักและช่วยลดอาการเมื่อยล้าได้

หลีกเลี่ยงการทำงานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์

มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ไม่ต้องทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ และก็มีการหยุดพักสายตาบ่อยๆ ตลอดทั้งวัน จึงมักไม่ค่อยมีปัญหาเกิดกับดวงตามากนัก

พักผ่อน

นัยน์ตาที่ต้องจ้องเพ่งควรจะมีการฝึกการหยุดเพ่งสายตาหรือจ้องมองเป็นเวลานานๆ วิธีที่ดีที่สุดก็คงเป็นการล้มตัวลงนอนและหลับตาเพียง 2-3 เวลาและปิดไฟ วางผ้าชุบน้ำหมาดๆไว้บนเปลือกตา พักผ่อนและไม่ต้องกังวลกับสิ่งใดๆ

ควบคุมความสว่างและจอภาพ

การควบคุมความสว่างภายในสภาพแวดล้อมการทำงานก็นับว่าจำเป็น ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการปวดหรือเมื่อยล้าตาได้, ลดการเพ่งมอง, การสะท้อนของแสงต่างๆ และความไม่เพียงพอของแสงในการอ่านตัวอักษร โดยคุณจะต้องปรับความสว่างที่จอคอมพิวเตอร์ให้มีความสว่างที่พอดี ซึ่งหากทำงานกับคอมพิวเตอร์ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงจ้าและจอภาพก็มีความสว่างมากก็ยิ่งส่งผลเสียให้กับ คุณจะรู้สึกทันทีว่ามีอาการปวดร้าวดวงตาเร็วและแสบตาอย่างรุนแรง ดังนั้นควรควบคุมความสว่างจากสภาพแวดล้อมและที่จอคอมพิวเตอร์ด้วย เพื่อสุขภาพตาของคุณ

ขยายพื้นที่ในการทำงาน

ในระหว่างที่มีการกวาดสายตาเพื่อทำการอ่านข้อความบนจอเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าตา และปวดตาได้ง่าย ถ้าหากว่าระยะห่างระหว่างตากับจอภาพไม่สัมพันธ์กัน เช่น ในขณะพิมพ์ตัวอักษรให้ปรากฏบนจอภาพ ตำแหน่งของจอภาพควรห่างจากนัยน์ตาก็ควรจะห่างกันประมาณ 18-24 นิ้ว และระดับของสายตาในการมองควรจะทำมุม 15 องศากับแนวนอน

นัยน์ตาแห้งไร้ความชุ่มชื้น

นัยน์ตาที่แห้งพบบ่อยกับผู้ที่ทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นเหตุจากการขาดน้ำหล่อเลี้ยงดวงตา ดังนั้นดวงตาก็อาจจะเสียและเกิดอาการเมื่อยล้าและปวดได้ง่าย ในภาวะที่นัยน์ตาแห้งและเมื่อยล้ากล้ามเนื้อตาจะเป็นภาระที่หนักมากสำหรับผู้ทีใส่คอนแทคเลนส์

การเพ่งมอง

ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่มักจะมีการกะพริบตาน้อยครั้งในขณะใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ จึงเป็นเหตุให้น้ำตาหรือน้ำหล่อเลี้ยงดวงตาอยู่เสมอ

ขาดความชุ่มชื้นในบรรยากาศ

หลายๆออฟฟิศที่สร้างขึ้นนั้นมีบรรยากาศที่แห้งเนื่องจากการเปิดแอร์คอนดิชั่น และความร้อนจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ก่อให้เกิดความแห้งในบรรยากาศ ซึ่งทั้งสองสาเหตุนี้เป็นการทำให้น้ำหล่อเลี้ยงดวงตาระเหยไปอย่างง่ายดาย

ยาชนิดต่างๆ

มียาชนิดต่างๆมากมาย เช่น ไดยูเร็ตทิค (diuretics) และแอนตี้ฮิสตามิน (antihistamines) ที่มีผลทำให้นัยน์ตาลดการผลิตน้ำหล่อเลี้ยงดวงตา ซึ่งอาจจะต้องพบแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อขอยารักษาอาการดวงตาแห้ง ขนาดน้ำหล่อเลี้ยงดวงตา

อายุที่มากขึ้น

อายุมีความสัมพันธ์กับการผลิตของน้ำตา ซึ่งหากอายุมากขึ้นการผลิตน้ำตาก็ทำได้น้อยลง ปัญหาการผลิตน้ำตาน้อยลงนี้พบได้บ่อยกับผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 40 ปี

วิธีการแก้ปัญหาของดวงตาแห้ง

วิธีการที่จะบำบัดได้ที่รวดเร็วสำหรับอาการตาแห้งก็คือการใช้ยาหยอดตา โดยประกอบด้วยเมทธิลเซลลูโลส (Methyl cellulose) หรือโพลีไวนิลอัลกอฮอล์ (polyvinyl alcohol) ยาหยอดตาจะช่วยยับยั้งการครั่งของเลือดบริเวณตา หรือการบีบรัดที่เป็นต้นเหตุในการเกิดอาการตาแห้งไร้ความชุ่มชื่น ไม่ว่าคุณจะใช้ยาหยอดตาหรือการกะพริบตาบ่อยๆทุก 5 วินาที ก็สามารถช่วยให้ดวงตามีน้ำหล่อเลี้ยงดวงตาอยู่เสมอ

ตัวบ่งบอกเกี่ยวกับสายตา

เกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณมองดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณเองไม่ชัด หรือบางครั้งอาจมองเห็นภาพซ้อน และในขณะที่ทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์มักจะเกิดอาการปวดคอ ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่เป็นเพียงกับคุณคนเดียวเท่านั้น แต่ยังมีผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์อีกนับล้านๆคนที่ต้องทนทรมานกับอาการเมื่อยล้ากล้ามเนื้อตาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ดังเหตุทั้งสองที่จะกล่าว

การทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์จำเป็นต้องใช้สายตา และข้อบกพร่องของสายตาที่เกิดขึ้นอยู่ก่อนแล้ว ที่เป็นต้นเหตุให้เมื่อยล้าตาได้ แต่ถ้าหากคุณไม่รู้สึกตัวว่าเกิดข้อบกพร่องกับตาของคุณแล้วจะทำให้ยากแก่การมองเห็นจอภาพได้wbr>wbr>wกรณีที่เกิดข้อบกพร่องกับตาแล้ว

สายตาที่มีปัญหา ซึ่งมีวิธีการแก้ปัญหาที่เกิดกับสายตาจากเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งการทำงานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์จำเป็นต้องทำการแก้ปัญหาเกี่ยวกับสายตาเพื่อให้สามารถมองจอภาพได้ดี

เนื่องจากสายตาของคนเรานั้นมักจะเสื่อมไปตามอายุ ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ล้วนแต่ต้องการมีสุขภาพตาที่ดี และวิธีการในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับสายตา แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ช่วยให้การมองดีขึ้นและสะดวกสบายสำหรับผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์นับล้านๆคน

คุณต้องการแว่นตาหรือไม่

ปัญหาของการมองที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขมีอยู่อย่างมากมาย ซึ่งพบว่ามีอยู่ไม่น้อยเลยในวัยทำงานที่ยังคงปล่อยปะละเลยในการแก้ไขปัญหาของสายตามที่มีปัญหา

ความต้องการในขณะทำงาน

นัยน์ตาที่มีการใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่เป็นประจำมักต้องการสภาพแวดล้อมในการใช้สายตา ซึ่งแต่ละคนก็มีความต้องการแตกต่างกันไป และสุขภาพตาที่ดีพออาจช่วยแก้ปัญหาของนัยน์ตาได้ โดยสามารถรับมือกับปัญหาที่ทรมานนัยน์ตาได้แต่ก็คงไม่มากนัก

ปัญหาที่มักเกิดกับนัยน์ตา

แว่นตาและคอนแทคเลนส์ได้ออกแบบมาสำหรับแก้ปัญหาที่แตกต่างกันไปตามสภาพของนัยน์ตา

Myopia

ภาวะสายตาสั้นเป็นภาวะที่ไม่สามารถมองเห็นวัตถุในระยะที่ตั้งไว้ไกลเกินจากโฟกัสของสายตา โดยที่จุดโฟกัสของภาพที่มองตกก่อนที่จะถึงจอรับภาพของนัยน์ตา คนที่สายตาสั้นบางคนเท่านั้นที่อาจจะไม่ต้องอาศัยแว่นตาและทำงานอยู่กับคอมพิวเตอร์ได้อย่างสบาย แต่เมื่อเกิดภาวะสายตาสั้นมากขึ้น ก็จะปรากฏท่าทางที่บ่งบอกว่านัยน์ตานั้นเริ่มแย่แล้ว โดยจะนั่งใกล้ติดกับจอคอมพิวเตอร์มากเกินไป และอาจจะเกิดผลอย่างอื่นตามมาอีก

Hyperopia

ภาวะสายตายาวนี้จะมองเห็นได้ดีในระยะไกลโดยไม่ต้องอาศัยแว่นตา แต่จะมีผลกับการทำงานบ้าง ซึ่งโฟกัสที่ได้จากวัตถุในระยะไกลจะมองเห็นได้ดี แต่ถ้าเป็นการมองวัตถุที่อยู่ใกล้ๆนัยน์ตาจะต้องพยายามจับโฟกัสของวัตถุนั้น ฉะนั้นเมื่อต้องดูคำที่เขียนบนจอภาพก็จำเป็นต้องใช้สายตามองในระยะที่พอประมาณ คนที่สายตายาวจึงต้องพยายามใช้สายตาในการมองในระยะที่ใกล้จึงทำให้เกิดอาการเมื่อยกล้ามเนื้อตาหรือ
Astigmatism

ภาวะตาพร่านี้จะเกิดจากการผิดปกติของเลนส์ตาที่มีส่วนโค้งผิดปกติ ซึ่งเมื่อมองแล้วจะทำให้เกิดอาการเบลอไม่เกี่ยวกับระยะของวัตถุ โดยทั่วๆไปแล้วปัญหาของภาวะสายตาสั้น หรือสายตายาว และภาวะตาพร่านั้นเมื่อถูกสะสมไว้ก็จะก่อให้เกิดปัญหาต่างๆตามมา

Presbyopia

ภาวะนี้เป็นการสูญเสียความสามารถของโฟกัสไปตามธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากการเสื่อมไปตามอายุของคนเรา โดยจุดโฟกัสของภาพที่มองเห็นตกเลยจอรับภาพ (เรตินา) และได้ภาพที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งภาวะนี้อาจจะทำให้เกิดอาการปวดคอเมื่อทำงานอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ การแก้ปัญหาเหล่านี้ก็คงจะต้องอาศัยแว่นตา เพื่อให้ได้ระยะห่างที่เหมาะสมระหว่างสายตากับจอเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ

โดยทั่วๆไป ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่จ้องมองแต่หน้าจอเป็นระยะเวลานานๆ ก็มักจะทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าเกร็งกล้ามเนื้อตา เพื่อให้ได้โฟกัสและทิศทางของสายตาที่จ้องมอง

ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์มักจะกวาดสายตาในทิศทางที่ซ้ำๆในขณะทำงาน จึงก่อให้เกิดอาการเมื่อยล้ากล้ามเนื้อตาได้ง่าย

แสงสว่างที่จ้ามากสำหรับนัยน์ตาและระยะของวัตถุ รวมทั้งการจับโฟกัสของสายตา ในภาวะสายตาสั้น นัยน์ตาก็จะต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อมองภาพในระยะที่ไกล ส่วนใหญ่แล้วจอคอมพิวเตอร์ที่ไม่สว่างมากจะช่วยลดความรุนแรงที่เกิดกับนัยน์ตาได้

ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์มักจะทำงานอยู่ในบรรยากาศที่แห้ง ๆ ซึ่งควรจะมีการกะพริบตาบ่อย ๆ เพื่อที่จะลดภาวะที่เป็นอันตรายกับนัยน์ตา

อาการเตือนเมื่อต้องการแว่นตา

องค์การที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับนัยน์ตา The American Optometric Association (AOA) ได้กล่าวว่าอาการที่เกิดจากความเมื่อยนัยน์ตาของคุณอาจจะเป็นดังนี้

อาการปวดศีรษะบ่อยๆ

อาการเบลอหรือเมื่อยล้านัยน์ตา

การมองเห็นที่มัวพร่า

ความถี่ในการเกิดอุบัติเหตุ

ทำการจอดรถได้ยาก

อ่านหนังสือพิมพ์หรือตัวอักษรเล็กๆได้ยาก

เล่นกีฬาแย่ลง

ลดความสนใจในการทำงาน

การทดสอบสายตา

องค์การ AOA ได้แนะนำให้มีการตรวจสอบหรือทดสอบนัยน์ตาก่อนที่จะเริ่มทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์และติดตามผลการทดสอบทุกๆปี

จากตัวเลขที่เพิ่มขึ้นที่ผู้เชี่ยวชาญด้านดูแลสุขภาพตาพบว่าองค์ประกอบที่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นพิเศษกับสุขภาพนัยน์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าองค์ประกอบอื่นๆจะไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลสุขภาพตาก็เริ่มมีการต่อต้านเกี่ยวกับการทำงานที่ใกล้เกินไปกับจอคอมพิวเตอร์ และการทำงานที่ทำให้ต้องใส่แว่นตา

แว่นตาและคอนแทคเลนส์

แว่นตาและคอนแทคเลนส์อาจจะก่อให้เกิดปัญหาเฉพาะอย่างในขณะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ได้ อาทิเช่น แว่นตาที่มีทั้งเลนส์มองระยะใกล้และระยะไกล (bifocal), trifocal และคอนแทคเลนส์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาโดยตรงสำหรับใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ ในขณะที่มีการใส่คอนแทคเลนส์ก็อาจจะมีอาการเหมือนกับการมองไม่สัมพันธ์กัน วิธีการแก้ปัญหาก็อาจจะทำได้โดยเลือกแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ให้เหมาะกับสภาพสายตาและสภาวะแวดล้อมใน

Computer glasses

แว่นตาสำหรับงานคอมพิวเตอร์ โดยปกติแล้วจะออกแบบเน้นในเรื่องระยะทางจุดโฟกัสและมุมมองเพื่อให้คุณมองเห็นหน้าจอได้ง่าย แว่นตาที่มีราคาค่อนข้างแพงก็อาจจะช่วยลดการระคายเคืองของนัยน์ตาที่เมื่อยล้าได้ ประมาณ 40% ของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่เห็นปัญหาของนัยน์ตาที่เกิดจากการทำงานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ และยอมรับว่าการใส่แว่นตามีส่วนช่วยในขณะทำงานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์

Bifocals

แว่นตาสำหรับคนที่สายตาเริ่มเสื่อมไปตามธรรมชาติ (prebyopia) เป็นแว่นตาที่ประกอบด้วยเลนส์สองเลนส์คือเลนส์ที่มองในระยะปกติที่เหมาะสมกับสายตา และอีกเลนส์ที่เป็นเลนส์ล่างของแว่นตา สำหรับมองระยะใกล้ๆ มีโฟกัสอยู่ที่ 16 นิ้ว หรือ 40 เซนติเมตรที่อยู่ระดับล่างของแว่นตา ที่ช่วยให้มองดีขึ้น อย่างเช่นการอ่านหนังสือบนโต๊ะหรือหนังสือที่อยู่ในมือ แต่ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้ในการเปลี่ยนโฟกัสในการมองหรือการหันไปมองสิ่งต่าง ๆ แล้วหันกับมามองที่จอภาพจะทำให้เกิดอาการตาลาย ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดการปวดคอและหลัง การทดสอบแว่นตา bifocal ซึ่งเป็นเลนส์ที่สามารถช่วยในการมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้โดยใช้เลนส์ล่างในการมองระยะการทำงานที่ใกล้ๆ การแก้ปัญหาเหล่านี้อาจจะใช้แว่นตาสำหรับงานคอมพิวเตอร์ช่วยก็ได้

Trifocal

เป็นเลนส์แว่นตาที่เลนส์ตรงกลางมีโฟกัสเหมาะสำหรับระยะการทำงานกับคอมพิวเตอร์ เนื่องจากเลนส์ตรงกลางเหล่านี้เป็นเลนส์ที่ผู้ใช้เลือกและต้องการเป็นพิเศษในการสวมใส่ อย่างไรก็ตามผู้ที่ใส่แบบ trifocal ก็อาจจะมีความรู้สึกเกิดอาการตาลายได้บ่อยๆ เนื่องจากมีเลนส์ที่บรรจุอยู่สามเลนส์และตาต้องคอยปรับโฟกัสอยู่เสมอ ซึ่งแว่นตาสำหรับงานคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะหรือแบบพิเศษ bifocal ก็อาจจะช่วยให้อาการเมื่อยกล้ามเนื้อตาหรือปวดตาลดน้อยลง

Progressive addition lenses

เป็นเลนส์ที่มีเลนส์พิเศษต่างๆรวมอยู่ด้วยกันบนเลนส์หนึ่งๆซึ่งเกิดจากความก้าวหน้าของการพัฒนาเลนส์ ให้เลนส์มีระยะโฟกัสที่ไล่ระดับกันไปบนเลนส์แว่นตาอันเดียวกัน ซึ่งจะเริ่มจากเลนส์บนเป็นเลนส์ที่ช่วยให้เราสามารถมองวัตถุได้ในระยะไกล และเลนส์ล่างจะเป็นเลนส์ที่ช่วยในการมองวัตถุในระยะใกล้ๆ โดยการกวาดตามองลงผ่านเลนส์แว่นตาแบบนี้จะช่วยเปลี่ยนระยะโฟกัสไปตามเลนส์ที่บรรจุอยู่อย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นคุณสามารถที่จะมองได้ปกติเมื่อมีการเปลี่ยนระยะการมองเพื่อให้เห็นได้ใกล้หรือชัดขึ้น ผู้ใส่แว่นแบบนี้หลายๆคนที่สามารถมองการพิมพ์ตัวอักษรบนจอได้เป็นระยะเวลานานๆ อย่างไรก็ตามยังมีแบบใหม่ๆที่ออกแบบมาสำหรับการทำงานในระยะใกล้ได้ดีเช่นกัน

Contact lense

ปกติคอนแทคเลนส์จะถูกออกแบบให้มีโฟกัสอยู่ที่ 20 ฟุต และอาจยังไม่ดีพอสำหรับการทำงานกับจอคอมพิวเตอร์ในระยะใกล้ที่มีความสว่างของจอภาพน้อย ซึ่งในขณะที่ใส่คอนแทคเลนส์ทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์จะมีความรู้สึกเร็วมากกับอาการนัยน์ตาแห้ง และทำให้เกิดการระคายเคืองนัยน์ตาได้ จึงขอแนะนำว่าในบางครั้งควรจะสวมแว่นตาสำหรับทำงานกับคอมพิวเตอร์เข้าไปอีกชั้นหนึ่ง เช่นเดียวกับคอนแทคเลนส์ชนิด bifocal (เป็นเลนส์ที่มีเลนส์สองเลนส์ใกล้และไกล) ที่สามารถช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้

ส่งท้าย

อาการปวดตาและเมื่อยล้าของนัยน์ตาก็คงจะเคยเกิดกับผู้ที่ทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์บ้างแล้ว ซึ่งเกิดจากการจ้องมอง เพ่งมองตัวอักษรที่พิมพ์ออกทางจอภาพ หรือสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมกับการทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ล้วนแล้วแต่ส่งผลเสียหายให้กับดวงตาของเรา ฉะนั้นนัยน์ตาของคนเรานับว่ามีค่ายิ่งควรแก่การทนุถนอมไว้ โดยการหลีกเลี่ยงต้นเหตุ และป้องกันโดยการหยุดพักสายตาและกะพริบตาบ่อยๆในระหว่างทำงานอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือวิธีการอื่นๆ เช่น การใส่แว่นตา หรือคอนแทคเลนส์ที่เหมาะสมกับสายตา เพื่อช่วยให้ดวงตาอยู่กับเราตราบนานเท่านาน


วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553

35 ตามองเห็นได้อย่างไร?


ตามองเห็นได้อย่างไร?

การที่เรามองเห็นวัตถุต่างๆได้นั้น เกิดขึ้นจากการที่แสงเดินทางไปกระทบวัตถุแล้วสะท้อนภาพเข้ามาที่ตาของเรา ภาพจะผ่านรูม่านตาไปยังเลนส์ตา ซึ่งทำหน้าที่รวมแสงและจะฉายภาพต่อไปยัง จอตาหรือเรตินา (Retina) ซึ่งอยู่บริเวณด้านหลังของลูกตา (Eye ball) ที่จอตาจะมีเส้นประสาทตาอยู่มากมาย จอตาจะทำหน้าที่สำคัญคือเปลี่ยนข้อมูลภาพที่ตามองเห็น ให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าและส่งสัญญาณนั้นผ่านเส้นประสาทไปยังสมอง เพื่อให้สมองตีความออกมาว่าเราเห็นภาพอะไร

อธิบายเพิ่ม:

รูม่านตาเป็นรูในดวงตาของเราที่ยอมให้แสงผ่านเข้าไปได้ แสงจะเดินทางผ่านรูม่านตาทำให้เรามองเห็น รูม่านตาสามารถปิด เปิดได้เพื่อป้องกันไม่ให้แสงเข้าตามากเกินไป

เมื่อมีแสงมากเกินไปรูม่านตาจะมีขนาดเล็กลง เพื่อให้แสงเข้าได้น้อยลง ส่วนเวลาที่ไม่ค่อยมีแสง รูม่านตาจะมีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้แสงสามารถเข้ามาได้มากขึ้น รอบๆ รูม่านตาเป็นส่วนที่มีสีเรียกว่าม่านตา ม่านตาคือส่วนที่จะทำหน้าที่ปิด เปิดเพื่อให้รูม่านตามีขนาดใหญ่ขึ้นหรือเล็กลง เลนส์ตาเป็นส่วนที่อยู่ด้านหลังรูม่านตา ทำหน้าที่รวมแสงที่ผ่านรูม่านตาเข้ามา เมื่อเราเพ่งมองไปที่วัตถุที่อยู่ใกล้กับหน้าเรามาก ๆ กล้ามเนื้อตาจะหดตัว เพื่อให้เลนส์ตาโค้งงอและทำให้แสงที่ผ่านรูม่านตาถูกเลนส์ตารวมแสงและฉายภาพให้ไปตกที่จอตาซึ่งอยู่ด้านหลังของดวงตา จอตาจะแปละภาพที่ได้รับให้เป็นสัญญาณส่งไปให้สมองตีความอีกที

แสงผ่านเข้าสู่นัยน์ตาทางรูเล็กๆที่เรียกว่ารูม่านตา เกิดภาพสองมิติหัวกลับบนเรตินา ซึ่งเป็นเสมือนฉากรับภาพที่อยู่ด้านหลังของนัยน์ตา หน่วยรับความรู้สึกที่อยู่บนเรติน่าประกอบไปด้วยเซลล์รูปแท่งและเซลล์รูปกรวย ทำหน้าที่เปลี่ยนภาพนี้ให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งไปยังสมองโดยผ่านเส้นประสาทตา และสมองแปลงสัญญาณเป็นภาพสามมิติหัวตั้ง บริเวณที่เส้นประสาทตาเชื่อมต่อกับนัยน์ตาไม่มีทั้งเซลล์รูปแท่งและเซลล์รูปกรวย บริเวณนี้เรียกว่า จุดบอด ถ้าภาพตกบริเวณนี้พอดี เราจะไม่สามารถมองเห็นภาพได้ ปกติเรามักจะไม่ใส่ใจว่าจุดบอดของนัยน์ตาอยู่ที่ไหน เนื่องจากภาพมักตกบริเวณอื่นๆของเรติน่าด้วย และสมองของเราสามารถแปลความหมายให้มองเห็นภาพได้


จากขั้นตอนการทำงานของตา ทำให้เกิดลักษณะต่างๆ ดังนี้

ถ้าแสงผ่านเข้าไปในตาแล้วรวมแสง (Focus) ที่จอรับภาพ (Retina) พอดีเราเรียกลักษณะนี้ว่า สายตาปกติ

ถ้าแสงผ่านเข้าไปในตาแล้วรวมแสง (Focus) ก่อนหรือหลังจอรับภาพ เราเรียกลักษณะนี้ว่า สายตาผิดปกติ


วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

34 ตาเหล่ ตาเอก ดูยังไงว่าเป็น?




ตาเหล่ ตาเอก ดูยังไงว่าเป็น?
by: ผศ.นพ.ธรรมนูญ สุรชาติกำธรกุล

หากคุณแม่สังเกตให้ดีจะพบว่าลูกเล็กที่เพิ่งคลอดลูกตาดำมักไม่อยู่ตรงกลางตาขาวหรือเรียกง่ายๆ ว่าตาเหล่ และนับวันปรากฏการณ์เด็กเล็กตาเหล่ยิ่งพบมากขึ้นเรื่อยๆ

หลายคนมักเข้าใจสับสนระหว่างคำว่า ตาส่อน ตาเอก ตาเข ตาเหล่ ว่าเป็นคนละอาการกัน แต่จริงๆแล้ว 4 คำนี้มีความหมายเดียวกัน คือ เป็นคำใช้เรียกอาการตาดำไม่อยู่ตรงกลาง แต่ที่เรียกแตกต่างกันไปอาจมาจากพื้นฐานการบอกเล่าที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค

ทำไมลูกเล็ก(มัก)ตาเหล่?

เนื่องมาจากเด็กเล็กที่เพิ่งคลอดยังไม่มีสันจมูก และมีเนื้อที่หัวตามากจึงทำให้มองดูแล้วเหมือนตาดำอยู่ชิดหัวตา ซึ่งโดยส่วนใหญ่อาการตาเหล่มักหายไปเมื่อลูกอายุประมาณ 2 เดือน อาการแบบนี้จึงเรียกว่า ตาเหล่เทียม แต่ถ้าลูกอายุ 3 เดือนขึ้นไปยังตาเหล่อยู่ควรให้คุณหมอตรวจเช็คสายตาของลูกอย่างถ้วนถี่ด้วย ตาเหล่ที่พบบ่อยที่สุด โดยเฉพาะในเด็กแรกเกิดคือตาเหล่เข้าในมีลักษณะตาดำอยู่ชิดมาทางหัวตา ซึ่งมี 1-2% ของเด็กที่มีอาการตาเหล่

แบบไหนเรียกตาเหล่?

วิธีที่คุณพ่อคุณแม่ใช้ดูว่าลูกเราตาเหล่หรือไม่นั้น ให้ใช้ไฟฉายส่องไปตรงด้านหน้าลูก แล้วดูแสงบริเวณตาดำที่สะท้อนขณะที่ลูกจ้องมองตรงกลางไฟฉาย ถ้าแสงสะท้อนออกมาอยู่ตรงกลางตาดำทั้ง 2 ตาแสดงว่าลูกตาปกติ แต่ถ้าแสงสะท้อนจากไฟฉายในตาข้างใดข้างหนึ่งไม่อยู่กลางตาดำขณะที่ลูกมองตรงไปข้างหน้า ให้คุณพ่อคุณแม่สงสัยได้เลยว่า ลูกเราอาจจะตาเหล่ควรรีบพาไปพบจักษุแพทย์

หนูตาเหล่เพราะ?

หากถามถึงสาเหตุที่ลูกตาเหล่ (ซึ่งไม่ใช่ตาเหล่เทียมนั้น) ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง แต่เชื่อว่าอาการน่าจะมาจากกล้ามเนื้อตาและการรับรู้ภาพสามมิติของเด็กทารกยังไม่แข็งแรง เมื่อเด็กมีไข้สูงจนชัก หรือมีความผิดปกติทางสายตา ซึ่งมักเกิดกับเด็กที่สายตายาวมาก เวลาที่ใช้สายตามองดูวัตถุจะต้องเพ่งกว่าเด็กสายตาปกติ และไม่สามารถควบคุมตาดำให้อยู่ตรงกลาง จึงทำให้ตาเหล่

รักษาตาเหล่?

ส่วนใหญ่เด็กที่ตาเหล่มักพบร่วมกับอาการตาขี้เกียจและสายตายาว เพราะฉะนั้นการรักษาจึงเริ่มจากรักษาตาขี้เกียจและสายตายาวก่อน ด้วยการปิดตาข้างที่ดีเพื่อกระตุ้นตาขี้เกียจ พร้อมกับสวมแว่นจนกว่าภาวะตาขี้เกียจดีขึ้นแล้วจึงทำการรักษาตาเหล่ด้วยการสวมแว่นอีกเช่นกัน แต่หลังจากรักษาด้วยการสวมแว่นตาแล้วไม่ดีขึ้นต้องทำการผ่าตัดกล้ามเนื้อตา

Concern:

การแขวนของเล่นเหนือเปล ไม่ควรแขวนไว้ตรงจมูกของลูก เพราะจะทำให้เด็กตาเหล่ได้ แต่ควรจะแขวนไว้ในระยะที่แขนเด็กเอื้อมถึงจะไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด

การกินอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ให้ขาดวิตามินเอ ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยป้องกันอาการตาเหล่ได้

คุณพ่อคุณแม่ควรดูแลรักษาความสะอาดดวงตาลูกอย่างสม่ำเสมอ และระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุที่อาจกระทบกระเทือนไปถึงดวงตาด้วย

หมั่นสังเกตลูกว่ามีความผิดปกติเกี่ยวกับสายตาบ้างหรือไม่ ถ้าหากมีก็ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์โดยเร็ว

ถ้าไม่มีอาการตาเหล่เลยก็ควรตรวจสักครั้งก่อนที่ลูกจะอายุครบ 3 ปี หากมีความผิดปกติใด เกิดขึ้นจะได้รีบแก้ไขกันเสียแต่เนิ่นๆ

ตาขี้เกียจ

เป็นอีกหนึ่งอาการทางสายตาที่ทำให้การมองเห็นของลูกลดลงโดยที่สภาพทางตาดูปกติดี มักพบเมื่อเด็กตาเหล่หรือความยาวของสายตาสองข้างแตกต่างกันมาก ส่วนเด็กที่ไม่มีอาการตาเหล่ร่วมด้วยนั้น พ่อแม่จะไม่สามารถสังเกตอาการตาขี้เกียจได้เลย จะตรวจพบก็ต่อเมื่อการตรวจวัดสายตาเท่านั้น เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอายุ 5-6 ขวบแม้ไม่มีอาการตาเหล่ ก็ควรพาไปตรวจสายตาเพื่อดูความผิดปกติของสายตาอย่างอื่นที่อาจเกิดขึ้นได้

การดูแลเอาใจใส่ดวงตาของลูกเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ควรตระหนักอย่างยิ่ง เพราะปัญหาสายตานั้นจะไม่มีวันทุเลาเบาบางลงหรือหายไปเองได้ มีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆเท่านั้น



"ตาขี้เกียจ" คือโรคอะไร?
by: ฟ้าใสทะเลคราม

คนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้จักว่า "ตาขี้เกียจ" คือโรคอะไร ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก เพราะถ้าพ่อแม่คนไหนไม่รู้จักโรคนี้ และไม่รู้ว่าลูกของตัวเองเป็น จะส่งผลกับลูกในอนาคตไม่มากก็น้อย... เพราะฉะนั้นใครที่มีลูกมีหลาน ก็ควรพาลูกไปตรวจสายตากันบ่อยๆ เพราะโรคนี้ยิ่งพบเร็ว ยิ่งมีโอกาสหายสูง ถ้าอายุเกิน 6 ขวบก็หมดสิทธิ์ (บางที่ก็บอก 9 ขวบ) เราเองก็มารู้ตัวเมื่อสายเสียแล้ว...

ตาขี้เกียจ หรือชื่อภาษาอังกฤษคือ "Amblyopia" หรือ "Lazy eye" เป็นได้จากหลายสาเหตุ แต่ส่วนใหญ่มาจากความผิดปกติของสายตา ซึ่งตาสองข้าง มีสายตาไม่เท่ากัน ทำให้สมองสั่งการให้รับภาพจากตาข้างที่รับภาพได้ดีกว่าเท่านั้น ทำให้มองภาพจากตาข้างเดียว ตาข้างที่รับภาพไม่ชัดก็ไม่ได้ถูกใช้งาน ทำให้กล้ามเนื้อตาล้า หรือเรียกว่าขี้เกียจ เวลาผ่านไปนานเข้า ก็จะบังคับลูกตาข้างนั้นไม่ได้ตามปกติ ทำให้เกิดอาการตาเข ซึ่งมีผลต่อบุคลิกภาพ และที่แย่ที่สุดคือ เหลือตาดีข้างเดียว หากเป็นอะไรไป ก็จะมองภาพไม่ชัดไปตลอดชีวิต นอกจากนี้ยังมีผลเสียอีกข้อหนึ่ง ที่ไม่ร้ายแรงเท่าไหร่ นั่นก็คือทำให้มองภาพ 3 มิติไม่ได้

คิดว่าตอนเด็กๆ ทุกคนน่าจะเคยใส่แว่นสามมิติที่ข้างนึงสีแดง ข้างนึงสีน้ำเงิน คนที่เป็นตาขี้เกียจ ใส่แล้วจะไม่เห็นรูป 3 มิติอะไรลอยขึ้นมาเลย ซึ่งถามว่ามีผลกระทบกับชีวิตประจำวันมั้ย ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ว่ามันไม่ได้อรรถรสในการใช้ชีวิต (เว่อร์ไปมั้ย) อย่างเคยไป Universal Studio เข้าไปดูหนังสามมิติเรื่อง Spiderman เพื่อนข้างๆ กรี๊ดลั่น บอกว่าตกใจ ตัวละครมันลอยเข้ามาใส่หน้า ไอ้เราก็นั่งเฉ๊ย ไม่เห็นมีอะไรลอยมาเลย... ประมาณนี้

ที่บอกไว้ว่าไปรักษา "ตาขี้เกียจ" ก็ไม่ใช่การรักษาซะทีเดียว เพราะว่าแก้ไขสายตาให้ดีขึ้นไม่ได้แล้ว แม้จะใช้แว่นตาก็ตาม ทำได้อย่างเดียวคือผ่าตัดดึงกล้ามเนื้อตาให้ตากลับมาตรงตามปกติเท่านั้น ก็เริ่มจากหาข้อมูลว่าผ่าตัดได้ที่ไหนบ้าง ค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไหร่ มีวิธีผ่าอย่างไร ต้องพักฟื้นนานแค่ไหน ฯลฯ

ปกติเป็นคนที่กลัวเข็มกลัวมีดอยู่แล้ว ก็ค่อนข้างใช้เวลาในการตัดสินใจ แต่หมอคนแรกที่ไปตรวจด้วยบอกว่าใช้วิธีดมยาสลบ ก็เลยตัดสินใจผ่า แต่หมอคิวยาวมากเลย ไม่อยากรอนาน จะรีบพักฟื้นแล้วจะได้ไปเริ่มงานที่ใหม่ที่เค้าใจดีรอเราพักฟื้นอยู่ แถมน้องที่ไปสอนภาษาเค้าที่บ้านก็รออยู่เหมือนกัน ก็เลยตัดสินใจหาที่ใหม่ สอบถามไปจนเจอหมอคนที่สอง หมอไม่ให้ดมยาสลบ มัดมือไว้กับเตียง หยอดยาชาแล้วผ่าสดเลย เห็นเข็มเห็นไหมที่เย็บจะๆ สยองมากๆ จำได้ว่าคืนแรกๆ นอนฝันร้ายไปเลย... แต่คุณหมอบอกว่าผ่าสดจะให้ผลดีมากกว่า

หลังจากกลับบ้าน สองวันแรกปวดตามากๆ ต้องใช้ยาแก้ปวดช่วยตลอดเวลา และลืมตาไม่ได้เลย เพราะตาที่ผ่าจะขยับ แล้วจะปวดมากๆ ต้องหลับตาอยู่สองวัน ตอนนั้นเข้าใจความรู้สึกของคนตาบอดมากๆ เดินคลำไปทั่วบ้าน ใช้ความเคยชินเอา... ผ่านไปสองวันก็หายปวดไปเยอะ

คราวนี้ก็มาเจอกับอาการน้ำตาไหลตลอดเวลา เพราะเคืองตาจากไหมที่เย็บ ต้องรอให้ครบ 1 อาทิตย์ ถึงจะตัดไหมออกได้... หมอบอกว่าหลังตัดไหมแล้วต้องรอ 1 เดือนถึงจะเข้าที่ แล้วต้องฝึกกล้ามเนื้อตา เพื่อยืดระยะเวลาไม่ให้กล้ามเนื้อล้าแล้วเขออกไปอีก... ทั้งเจ็บและเหนื่อยแต่คิดว่าน่าจะคุ้ม

** เพราะฉะนั้นคุณๆ ที่มีสายตาปกติ ก็ขอให้ถนอมรักษาไว้ให้ดีนะคะ ^_^ เพราะบางอย่างมันเอากลับคืนไม่ได้ หรือไม่ก็แก้ไขยาก **

Comment:

หลังผ่าแล้ว อาการเขหายค่ะ แต่ไม่รับประกันว่าจะตรงอยู่ได้นานเท่าไหร่ ตอนนี้นับตั้งแต่ผ่าตัดมาประมาณ 2 เดือนครึ่ง ไปเช็คมาแล้วก็ยังตรงอยู่ค่ะ อาการแบบนี้ ใส่แว่นไม่ช่วยแก้ไขอะไรนะคะ และการผ่าตัดทำให้ตาตรง แต่ก็ไม่ได้แก้ไขสายตาข้างนั้นให้ดีขึ้นแต่ประการใด แต่เป็นเรื่องของบุคลิกภาพ และความมั่นใจค่ะ

วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553

33 ทำไมคนมีสองตา...และมีหัวใจดวงเดียว


ทำไมคนมีสองตา...และมีหัวใจดวงเดียว

ทำไมคนมีสองตา
ตาหนึ่งไว้สำหรับมองเห็นคนอื่น
อีกหนึ่งตาสำหรับมอง"ให้เห็น"ตัวเอง

ทำไมถึงมีสองหู
หูหนึ่งฟังเสียงภายนอก
อีกหูรับฟังเสียงภายใน

ทำไมจมูกมีสองรู
เผื่ออีกรูเป็นหวัด จะได้หายใจอีกรูได้
ไม่ต้องไปยืมจมูกคนอื่นมาหายใจ
(แถมเผื่อไว้สำหรับคนสมองฝ่อ...จะได้สนตะพายง่ายๆ)

ทำไมมีปากเดียว
จะได้พูดออกมาให้น้อยๆ
และต้องน้อยกว่าความคิด...เพราะปากเล็กกว่าสมอง

ทำไมมีสองขา
ขาหนึ่งสำหรับเดินในทางของตัวเอง
อีกหนึ่งขาเผื่อไว้ให้คนอื่นมาผูกติด และเดินไปด้วยกัน
(ชีวิตเราต้องผูกติดกับคนอื่นเสมอ...จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม)

ทำไมมีสองมือ
มือหนึ่งสำหรับให้...
อีกมือสำหรับรับ...
Give & take
ให้และรับพอดีๆ

ทำไมมีหนึ่งสมอง
เพื่อจะรวมความคิดไว้ที่เดียว ไม่สับสน

ทำไมมีหัวใจดวงเดียว
เพราะแค่หัวใจอย่างเดียว ก็ทำได้ทุกอย่าง
เคยได้ยินไหม...คนที่ประสบความสำเร็จ มักจะทำทุกอย่างด้วย"หัวใจ"

แล้วทำไมหัวใจมีสี่ห้อง
ห้องนอน...ห้องครัว...ห้องน้ำ...ห้องนั่งเล่น ครบพอดี...
ได้บ้านหนึ่งหลัง Home is where is my heart,
มีสี่ห้อง...แต่ทุกห้องสำหรับอยู่ได้แค่คนเดียว

แล้วคนที่ตาบอดล่ะ
คนนั้นมีความพิเศษ...ดวงตาเขาอยู่ที่ใจ...
มองเห็นได้ลึกกว่า

คนที่หูไม่ได้ยิน
แต่รู้ไหมใจของเค้า...ฟังได้ชัดกว่า

คนที่เหลือมือเดียว หรือไม่มีมือ
คนคนนั้นสมควรได้รับมากกว่า

คนที่เหลือขาเดียว หรือไม่มีขา
คนคนนั้น ต้องการอีกขาที่ใจดีมาพาไปด้วยกัน

คนที่สมองไม่ทำงาน
ก็ขอให้มีหัวใจดีๆคอยนำทางก็พอ

ส่วนคนที่ไม่มีหัวใจ
...ไม่สมควรมีชีวิตอยู่...จริงๆ...


ทำไมมีฟันสามสิบสองซี่...
ทำไมมีนิ้วมือสิบนิ้ว...
ทำไมมีสิบนิ้วเท้า...

ทำไมมี...ทำไม...???????????????????

ทุกคำตอบมีอยู่ในสายลม...

หาเพิ่มเติมเอาเองนะจ๊ะ!!!


วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

32 ตาแดง...แผลงฤทธิ์


ตาแดง...แผลงฤทธิ์
by: ผศ.พญ.ภิญนิดา ประภาสะวัต

ช่วงหน้าฝนอย่างนี้ ตาแดงมาเยี่ยมเยียนกันบ่อยๆ เป็นแล้วไม่สนุก ทั้งคันทั้งปวดลูกตา ลูกเล็กกระจองอแง แล้วยังติดต่อกันได้ง่าย แค่เอาหัวชนกันก็ติดแล้ว... หาทางป้องกันไว้ก่อนดีกว่า

"แม่ขา หนูเจ็บตา แสบตาด้วย"

เด็กหญิงลูกน้ำร้องบอกคุณแม่ในตอนเช้าวันหนึ่ง ขณะเตรียมตัวไปโรงเรียนพร้อมกับขยี้ตาป้อยๆ คุณแม่หันไปดูลูกสาวตัวน้อยวัย 4 ขวบ หน้ากลมขาวใส ตากลมโต พบว่า ตาลูกน้อยข้างขวากลับมีขี้ตาแฉะๆ ร่วมกับตาขาวใสดีกลับแปรสภาพเป็นสีชมพูไปทั้งตา แถมตาที่เคยโตดีกลับดูเล็กลงกว่าเดิม เอ! ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ดูสิ เจ้าลูกหมูอ้วนตัวกลมวัย 1 ขวบ ทำท่าขยี้ตาเลียนแบบพี่สาวด้วย หรือจะโรคเดียวกันแล้ว

คุณหมอตา (หมอรักษาตา แต่ไม่ได้ชื่อตา) บอกว่า ทั้งลูกน้ำและลูกอ๊อดเป็นโรคตาแดงทั้งคู่เลย คำตอบคุณหมอ ทำเอาคุณแม่นั่งงง ไม่รู้ว่าเริ่มต้นดูแลลูกยังไงที่สำคัญจะป้องกันยังไง ไม่ให้เจ้าตัวกลมนี้ไปแพร่เชื้อต่อให้เพื่อนๆด้วย คุณหมอคงไม่อยากให้คุณแม่วิตกกังวลมาก เลยให้ความรู้มามากมาย อย่างที่เอามาฝากกันนี่แหละค่ะ

ตาแดงบอกอะไร

จริงๆ ถ้าพูดถึงอาการ "ตาแดง" โดยทั่วไปหมายถึง เยื่อบุตา หรือส่วนที่เราๆท่านๆ เห็นกันว่าเป็นตาขาว เกิดการอักเสบขึ้นมา ด้วยสาเหตุหลายๆประการ เช่น อาจเป็นเยื่อบุตาอักเสบเอง ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อหรือภูมิแพ้ กระจกตาหรือตาดำอักเสบเป็นแผล ม่านตาอักเสบ ต้อหินเฉียบพลัน หรือโรคท่อน้ำอุดตันแต่กำเนิด ซึ่งพบในเด็กเล็กๆอายุต่ำกว่าขวบ เป็นต้น สารพัดโรคเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการตาแดงขึ้นมาได้ ซึ่งควรจะต้องไปพบจักษุแพทย์เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัย และการรักษาที่ถูกต้อง

ตาแดงยอดนิยม

หรือแบบที่คนทั่วไปนิยมเรียกว่า "โรคตาแดง" นั้น ส่วนใหญ่เป็นโรคตาแดงอันเกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ซึ่งทำให้เยื่อบุตาอักเสบ บางคนอาจจะใช้คำว่า โรคตาแดงระบาด เพราะ เป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่ายมาก โรคตาแดงนี้สามารถพบได้ตลอดปี และจะระบาดได้เป็นช่วงๆ โดยเฉพาะช่วงหน้าฝน เช่น ในช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมานี้ โรคนี้จริงๆแล้วเป็นโรคที่พบได้ในทุกเพศทุกวัย เพราะเกิดจากเชื้อไวรัสเช่นเดียวกับหวัด ใครจะเป็นก็ได้ แต่เนื่องจากในเด็กมีภูมิคุ้มกันน้อย ร่วมกับการดูแลตนเอง หรือการป้องกันการติดเชื้อไม่ดีพอ จึงทำให้เป็นโรคตาแดง ได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ เชื้อไวรัสที่ว่านี้ ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อที่มีชื่อว่า อดิโนไวรัส (Adenovirus) และส่วนน้อยเกิดจากเชื้อ พิโคร์นาไวรัส (Picornavirus)

เจ็บ เคือง เหมือนมีทรายอยู่ในตา

"โรคตาแดง" นี้สามารถมีอาการได้ตั้งแต่น้อยถึงมาก โดยมีอาการตาแดง มีขี้ตามาก โดยเฉพาะช่วงเช้าๆ น้ำตาไหล เจ็บตา เคืองแสบตา เนื่องจากว่าเยื่อบุตาอักเสบ เกิดมีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆขึ้น จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึก เหมือนมีทรายอยู่ในตา อาจมีเลือดออกใต้เยื่อบุตา ทำให้ตาดูแดงจัด ถ้าเป็นมากอาจพบมีเปลือกตาบวมแดงร่วมด้วย จึงทำให้ตาดูเหมือนมีขนาดเล็กลง เด็กหรือผู้ป่วย ที่เป็นโรคตาแดงมักมีอาการหวัดนำมาก่อน เช่น เจ็บคอ มีไข้ เพราะเกิดจากเชื้อไวรัสตัวเดียวกัน

อาการต่างๆเหล่านี้ ถ้าเป็นในเด็กเล็กต่ำกว่าขวบ ก็จะมีอาการเช่นเดียวกับเด็กโต แต่เด็กเล็ก ไม่สามารถบอกอาการเองได้ ดังนั้น การจะทราบว่า เด็กมีอาการจึงต้องใช้ความสังเกตของคุณพ่อคุณแม่ว่า เด็กมีตาแดง ตาดูฉ่ำๆ ขยี้ตา หรือกระพริบตาบ่อยกว่าปกติ มีขี้ตาติดที่หัวตาหรือที่เปลือกตาโดยเฉพาะช่วงตื่นนอน ร้องไห้งอแงกว่าปกติ ฯลฯ หรือไม่

เมื่อตรวจร่างกายจะพบว่า มีเยื่อบุตาอักเสบแดง อาจบวมเล็กน้อย มีตุ่มเล็กๆขึ้นที่เยื่อบุตาด้านในของเปลือกตา ถ้าเป็นมากอาจพบแผ่นเยื่อบางๆ ของหนองคุมอยู่ที่เยื่อเปลือกตาด้านใน อาจพบต่อมน้ำเหลืองหน้าหูโตร่วมด้วย ระดับสายตาเป็นปกติไม่มัวลง ยกเว้นมีกระจกตาหรือตาดำอักเสบร่วมด้วย โรคนี้จะเป็นอยู่ประมาณ 2-4 สัปดาห์ จากนั้น อาการตาแดง มีขี้ตาจะหายไป ผู้ป่วยจะสบายตาขึ้น ไม่เคืองตามาก อาการดีขึ้นจนกระทั่งเป็นปกติ

ระวัง! กระจกตาอักเสบ

ในผู้ป่วยบางราย จะพบมีกระจกตาอักเสบร่วมด้วย โดยอาจเริ่มมีกระจกตาอักเสบในระยะที่เริ่มเป็น คือประมาณตั้งแต่วันที่ 3 หลังจากมีตาแดง หรืออาจ เกิดระยะหลังคือ 1-2 สัปดาห์หลังตาแดง ซึ่งทำให้แทนที่จะมีอาการดีขึ้นกลับจะมีอาการตามัวลง เคืองตามาก ตาสู้แสงไม่ได้ เนื่องจากกระจกตาเกิดการอักเสบ มีจุดเล็กๆเกิดขึ้นที่ชั้นผิวของกระจกตา กระจกตาอักเสบนี้ ในบางรายอาจอยู่นานเป็นหลายๆเดือนหรือเป็นปีได้ ซึ่งผู้ป่วยจะไม่สามารถเห็นจุดนี้ได้ด้วยตัวเอง จำเป็นต้องได้รับการตรวจรักษาที่ถูกต้องจากจักษุแพทย์

นอกจากนั้นในเด็กเล็กๆ เขาไม่สามารถบอกอาการแทรกซ้อนเหล่านี้ให้ทราบได้ จึงต้องให้แพทย์ดูเป็นหลัก


การรักษา...เน้นยาหยอด

เมื่อคุณแม่ทราบเช่นนี้จากคุณหมอก็รู้สึกโล่งใจว่า อย่างไรลูกน้ำกับลูกอ๊อดก็จะยังมีสายตาที่ดีใช้ได้อยู่ต่อไป หลังจากมีตาแฉะไปประมาณ 2-4 สัปดาห์ โดยคุณหมอให้ยามาหยอด และป้ายตาลูกน้อยทั้งสอง โดยอธิบายว่า ยารับประทานในโรคนี้ไม่มีความจำเป็น ยาหยอดตาที่ได้เป็นยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อน จากเชื้อแบคทีเรีย ยังไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสนี้โดยตรง ดังนั้นถึงแม้ว่า หยอดยาแล้วลูกน้ำและลูกอ๊อดก็จะยังมีตาแดงต่อไป ได้อีกระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นไปตามการดำเนินของโรค แต่ก็จะดีขึ้นและหายภายใน 2-4 สัปดาห์

ถ้ามีอาการไม่สบายตาหรือตาบวมมาก ก็สามารถใช้น้ำแข็งประคบได้ ถ้ามีขี้ตามาก ควรจะทำความสะอาดเปลือกตา หรือขอบตาด้วยสำลีชุบน้ำสะอาด

หยอดตาให้ลูกเล็ก

ในเด็กเล็กมาก การหยอดยาทำได้ลำบาก อาจพิจารณาให้ยาป้ายเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าจะใช้วิธีหยอดยา หรือป้ายยาก ก็ให้คุณแม่ดึงเปลือกตาล่างลงมา พร้อมกับให้ลูกมองขึ้นบนเพียงเท่านี้ ตาของลูก ก็จะมีช่องพอที่จะให้คุณแม่หยอดยาหรือป้ายยาลูกได้ถนัดขึ้น หากในเด็กเล็กอาจต้องให้ใครช่วยจับศีรษะ หาอะไรมาหลอกล่อ ให้เหลือกตาขึ้นข้างบนกันดิ้นดุกดิกเสียหน่อย ก็จะพอหยอดยาได้

ติดต่อได้ง่ายนิดเดียว

สิ่งสำคัญยิ่งที่คุณหมอแนะนำคุณแม่คือ โรคนี้สามารถติดต่อได้ง่ายมากๆ โดยติดต่อได้จากทั้งขี้ตาและน้ำตาของผู้ป่วย (แต่มิใช่ติดต่อจากการแค่มองตากันหรือจากแมลงหวี่ตอมตา ดังเช่นบางคนเข้าใจผิด)

ถ้าใครโดนน้ำตาหรือขี้ตาผู้ป่วยแล้ว เผลอขยี้ตาหรือเช็ดตาตัวเองเข้า ก็จะสามารถติดได้ หรือลูกน้อยเอามือที่ขยี้ตามีเชื้อโรคอยู่ ไปป้ายเปะปะตามที่ต่างๆ ก็จะทำให้คนอื่นติดเชื้อกันได้เหมือนกัน ยิ่งในเด็กเล็กๆ ยิ่งได้รับเชื้อหรือแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายใหญ่ อย่างในรายลูกน้ำเป็นตาขวา ต่อมาก็อาจเป็นตาซ้ายด้วยได้ และติดต่อไปให้เด็กๆด้วยกันอย่างเช่นลูกอ๊อดด้วยได้ หรือติดต่อมายังคุณพ่อคุณแม่ด้วยก็ได้ถ้าไม่ระมัดระวัง

คุณหมอยังบอกต่อไปอีกว่า การแพร่กระจายเชื้อนี้ผู้ป่วย สามารถติดต่อไปให้ผู้อื่นได้ ตั้งแต่เริ่มเป็นตาแดง จนกระทั่ง 2 สัปดาห์หลังจากนั้น ดังนั้นพรุ่งนี้ ลูกน้ำกับลูกอ๊อดก็จะอดไปโรงเรียน รวมทั้งอดเรียนว่ายน้ำไปอีก 2 สัปดาห์ เพราะเกรงจะไปแพร่เชื้อให้ผู้อื่นนั่นเอง

รู้จักโรคและวิธีรับมืออย่างนี้แล้ว คุณแม่ไม่กังวลแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้มีแต่คอยระวังไม่ให้คุณแม่กับสามีที่รักติดต่อไปด้วย ที่เคยหอมแก้มกันวันละ 2-3 ฟอด เห็นจะต้องหยุดไว้ก่อนแล้ว สำหรับตอนนี้ มามะ…มาเจ้าตัวดีมาหยอดยา

กันไว้ก่อน...ดีแน่

ถ้ายังไม่อยากให้ตาแดงลามระบาดกันไปทั้งบ้านต้องดูเรื่องพวกนี้ค่ะ

พยายามอย่าให้ลูกขยี้ตา

ล้างมือลูกบ่อยๆ ทุกครั้งที่ทำอะไรให้ลูก เช่น หยอดยาแล้ว ต้องล้างมือให้สะอาด แยกผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดมือไม่ให้ปะปนกัน

แยกผู้ป่วยที่เป็นอย่าให้อยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่นจนหมด ระยะแพร่เชื้อ คือประมาณ 2 อาทิตย์นับจากเริ่มเป็น

ก่อนและหลังเช็ดหรือหยอดตาให้ลูก ต้องล้างมือให้สะอาดเสมอ เวลาเช็ดให้ใช้สำลีเช็ดจากหัวตาไปยังหางตา และเปลี่ยนก้อนใหม่เมื่อต้องเช็ดซ้ำหรือเปลี่ยนไปเช็ดอีกข้าง

ฝากไว้นิด

แม้ตาแดงเป็นโรคที่สามารถหายเองและป้องกันได้ แต่การพบจักษุแพทย์เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อตรวจให้แน่ใจว่า เป็นโรคตาแดงมิใช่เป็นอาการตาแดงจากโรคอื่น เช่น เชื้อแบคทีเรีย รวมทั้งเพื่อตรวจรักษาโรคแทรกซ้อน ที่อาจเกิดขึ้นได้