ห้องตรวจตา...ชั้น 5 อาคารเฉลิมพระเกียรติ

Blogนี้ผมตั้งใจทำขึ้นเพื่อตอบแทนสดุดีนโยบายบัตรทองประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรคของรัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร
จะรีบไปไหน...จะรีบไปไหน...รอโหลดซักกะเดี๋ยวซิครับ คลิก...นโยบาย"ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ"

* ขอขอบคุณที่ติดตามรับชมและช่วยประชาสัมพันธ์ลิงค์ http://eye009.blogspot.com/ ให้แพร่หลาย *
@ ปู้นนน...!!! คนเมืองใต้เจียงใหม่ของหมู่เฮาลงไปตางปู๊นนน..... * * * * * @ 2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย . . . ร่วมด้วยช่วยกันเผยแพร่สื่อสารถึง"คนเสื้อแดง"ทั่วไทยและทั่วโลก . . . ขอขอบพระคุณเจ้าของclipภาพถ่ายและบทความทุกๆท่านที่กรุณาเอื้อเฟื้อแบ่งปัน . . .น้ำใจซื้อขายไม่ได้ แต่น้ำใจให้กันได้...อิอิ


PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับส่วนต่างๆและระบบการทำงานของดวงตา, โรคตาต่างๆ และวิธีการดูแลรักษาดวงตาอย่างถูกต้องที่สามารถปฏิบัติตามในเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง... ขอขอบคุณ www.knowledge.com

วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

39 แล้วคุณหมอก็สั่งเจาะเลือดหาไขมันน้ำตาลผมจนได้


กิจวัตรประจำวันตอนเช้าหลังตื่นนอนแปดโมงกว่าๆผมต้องหยอดยาปรับความดันลูกนัยน์ตา ใช่ครับ ผมเป็นทั้งต้อหินและต้อกระจก เป็นทั้งสองข้าง ข้างซ้ายผ่าตัดใส่เลนส์แก้วตาเทียมไปแล้ว ส่วนข้างขวา รพ.นพรัตน์ฯคุณหมออุดม เฝ้าดูอาการอยู่

วันนี้(3พ.ย.)พอยกยาขึ้นจะหยอดตารู้สึกปวดแขนขวาตั้งแต่ข้อมือไปถึงหัวไหล่ นึกแปลกใจตอนเข้าห้องน้ำล้างหน้าพอมือโดนน้ำเย็นมันปวดร้าวไปทั้งแขน นี่เราเป็นอะไรหว่า...

มีบัตรทองประกันสุขภาพปฐมภูมิอยู่ในมือ ศูนย์บริการสาธารณสุข 45 ร่มเกล้า เขตลาดกระบัง เห็นทีต้องไปใช้บริการแล้ว

หลังจากตรวจและฟังผมเล่าอาการคุณหมอก็สั่งยาทาและยารับประทาน 2-3 อย่าง พร้อมกำชับว่าวันศุกร์นี้(5พ.ย.)ให้มาเจาะเลือดหาไขมันน้ำตาล คุณหมอบอกว่าความดันโลหิตผมขึ้นถึง 150 สุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูง ให้หมั่นออกกำลังกายทุกๆวัน งดรับประทานอาหาร หวาน มัน เค็ม...

ผมงง??...

เป็นเพราะอะไร?? มานึกๆดู ผมก็ดูแลสุขภาพตัวเองเป็นอย่างดีแล้วนี่นา...เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ...

หรือเป็นเพราะ...นั่งหน้าคอมฯนานเกินไป...สัปดาห์ที่ผ่านมานั่งหน้าคอมฯเอามือกุมขยับเม้าท์วันละ 14-15 ชั่วโมง ผมต้องดูแล Update ข้อมูลถึง 14 เว็บบล็อกนะครับ

หรือเป็นเพราะ...ตอนดึกหิวงัดเอาขนมปังช็อกโกแลตน้ำอัดลมออกมารับประทาน

หรือเป็นเพราะ...สัปดาห์ที่ผ่านมาไม่ได้ออกกำลังกายเรียกเหงื่อเลย

หรือเป็นเพราะ...

เป็นเพราะ...

? ? ? ? ? ? ? ? ? ?......

หมายเหตุ: ค่าความดันโลหิตปกติ 120/80 ม.ม.ปรอท หรือต่ำกว่า

ความดันโลหิตสูง: ภัยมืดใกล้ตัวที่น่ารู้จัก
By: วิไลวรรณ ตรีถิ่น

ความดันโลหิตสูงเป็นโรคเรื้อรังที่เป็นปัญหาสำคัญมากอย่างหนึ่งของประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศที่กำลังพัฒนา เนื่องจากคนที่เป็นโรคนี้ส่วนมากมักไม่มีอาการหรืออาการแสดงในระยะแรก แต่มักมีอาการหรืออาการแสดงเมื่อโรคเป็นมากหรือมีภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายเกิดขึ้นกับ หัวใจ ตา ไต และสมอง เป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หายขาดทำให้มีผลกระทบทั้งตัวผู้ป่วยและครอบครัว

ความดันโลหิตสูง (Hypertension) หมายถึงค่าความดันโลหิตตัวบนเท่ากับหรือสูงกว่า 140 ม.ม.ปรอท และค่าความดันโลหิตตัวล่างเท่ากับหรือสูงกว่า 90 ม.ม.ปรอท

สำหรับผู้สูงอายุ 50-60 ปีขึ้นไปมีความดันโลหิตสูงถึงร้อยละ 45 โดยมีค่าความดันโลหิตตัวบนเท่ากับหรือสูงกว่า 160 ม.ม.ปรอท และค่าความดันโลหิตตัวล่างเท่ากับหรือสูงกว่า 95 ม.ม.ปรอท เนื่องจากผู้สูงอายุมีความเสื่อมของหลอดเลือดแดง เรียกว่า ความดันโลหิตสูงซีสโตลิค (Systolic Hypertension)

การวัดความดันโลหิตให้ได้ค่าที่ถูกต้อง ควรวัดเมื่อผู้ถูกวัดได้พักอย่างน้อย 5 นาที เพื่อให้เกิดการผ่อนคลาย หรือวัดหลังจากรับประทานอาหาร สูบบุหรี่ ดื่มกาแฟ อย่างน้อย 30 นาที

อาการของความดันโลหิตสูงโดยทั่วไปได้แก่ มีเลือดกำเดาออก ปวดศีรษะโดยเฉพาะในตอนเช้าหลังตื่นนอน มึนงง ตาพร่ามัว

การรักษาความดันโลหิตสูง คือ การรักษาให้ความดันโลหิตมีค่าต่ำกว่า 140/90 ม.ม.ปรอท เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายกับอวัยวะที่สำคัญ คือ หัวใจ ตา ไต และสมอง

การรักษาความดันโลหิตสูง แบ่งใหญ่ๆได้ 2 วิธี คือ

1. การรักษาโดยไม่ใช้ยา ได้แก่ ลดน้ำหนัก โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะอ้วน จำกัดเกลือหรืออาหารรสเค็ม โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการบวม, ออกกำลังกายให้พอเหมาะกับสภาพของร่างกายแต่ละบุคคล อย่าออกกำลังกายมากเกินไป, งดหรือลดการดื่มสุรา ไม่ควรดื่มสุราเกินวันละ 2 ออนซ์ หรือ 60 ม.ล., ผ่อนคลายทั้งด้านร่างกายและจิตใจ, พักผ่อนให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย

2. การรักษาโดยใช้ยา ผู้ป่วยจะได้รับยาลดความดันโลหิตสูงเมื่อการปฏิบัติตนโดยไม่ใช้ยาไม่สามารถควบคุมภาวะความดันโลหิตสูงได้ หรือผู้ป่วยมีความดันโลหิตสูงมากตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รับการตรวจพบว่ามีความดันโลหิตสูง

คำแนะนำ:

โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ควรสร้างสุขนิสัยหรือมีพฤติกรรมป้องกันความดันโลหิตสูง ได้แก่

**อย่าให้อ้วน เพราะความอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดความดันโลหิตสูง ต้องสร้างสุขนิสัยไม่บริโภคมากเกินโดยเฉพาะการรับประทานเนื้อสัตว์ ไขมันอิ่มตัว และอาหารที่มีรสเค็มจัด เช่น น้ำปลา ซีอิ๊ว ไข่เค็ม ของหมักดอง อาหารรสเค็มต่างๆ อาหารกระป๋องซึ่งมักจะมีส่วนผสมของโซเดียม อาหารเคี้ยวกรอบที่มีรสเค็ม หลีกเลี่ยงการใช้สารอาหารและยาที่มีโซเดียมสูง ได้แก่ ผงชูรส (Monosodium Glutamate) รวมทั้งเครื่องปรุงรสของบะหมี่สำเร็จรูป ผงกันบูด (Sodium Benzoate) สารกันเชื้อราในขนมปัง (Sodium Propionate) สารใส่ไอสครีมให้เหนียว (Sodium Alginate) ผงฟูในการทำเค็กหรือขนมปัง (Sodium Bicarbonate) สารใส่ผลไม้กระป๋องให้คงสีธรรมชาติ (Sodium Sulfite) ยาโซดามินท์ เป็นต้น

**ควบคุมอาหารไขมัน โดยใช้น้ำมันพืช น้ำมันพืชที่มีกรดไลโนลิอิคสูง เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันข้าวโพด น้ำมันรำข้าว เป็นต้น แต่ไม่ควรใช้น้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาลม์เพราะให้พลังงานสูง ไม่ควรใช้น้ำมันจากสัตว์เพราะเป็นไขมันชนิดอิ่มตัวมีสารโคเลสเตอรอลสูงซึ่งทำให้หลอดเลือดอุดตัน

**ควบคุมอาหารที่มีพลังงานสูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำจากกะทิ หอยนางรม ไข่แดง อาหารที่มันมาก เช่น ข้าวขาหมู หนังเป็ด หนังไก่ หนังหมู มันกุ้ง มันปู โดยเฉพาะผู้ที่มีโคเลสเตอรอลสูง

**รับประทาน ผัก ผลไม้ที่รสไม่หวานจัด ทุกๆวัน โดยรับประทานให้มากกว่าอาหารประเภทอื่นๆ

**ออกกำลังกายทุกๆวัน ให้ถูกต้องเพียงพอโดยสม่ำเสมอ ให้เหมาะสมกับสภาพหัวใจ หลอดเลือด สภาพร่างกาย และสภาพแวดล้อม เช่น การเต้นแอโรบิค การเดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ หรือแม้แต่การทำงานบ้านเล็กๆน้อยๆ เป็นต้น

ทั้งนี้ต้องระวังไม่ออกกำลังกายอย่างหักโหมหรือมากเกินไป เช่นการออกกำลังกายจนรู้สึกเหนื่อย การยก ผลัก ดึง แบก เข็น และหลีกเลี่ยงการแข่งขันเพราะทำให้เกิดความเครียด

**การฝึกจิตไม่ให้เครียดโดยการเจริญสติ เจริญสมาธิ มีความเมตตา ไม่โกรธหรือวู่วาม ช่วยลดการเป็นความดันโลหิตสูงได้

**งดการสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่ทำให้หลอดเลือดหดรัดตัวทำให้หลอดเลือดตีบ

**งดการดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์มากๆ ทำให้ความดันโลหิตสูง หัวใจวาย และเป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย





วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แล้ววันนี้ผมก็ไปเจาะเลือดตามนัดครับ

ตลอดวันวาน(4พ.ย.)ผมเข้มงวดกับตัวเอง นั่งทำงานหน้าคอมฯแค่ 2-3 ช.ม.

งดขนมปังช็อกโกแลตน้ำอัดลม

รับประทานอาหารตามปกติทั้ง 3 มื้อ เน้นที่ผัก-ผลไม้มากหน่อย

ตกเย็นออกกำลังกายเต้นแอโรบิคอยู่หน้าจอ ก็เรียกเหงื่อได้ชุ่ม

2ทุ่มงดน้ำ-อาหารทุกชนิด 4ทุ่มเข้านอน

2โมงเช้าวันนี้(5พ.ย.) ก่อนเจาะเลือดแวะไปวัดความดันโลหิตที่เคาน์เตอร์ ผลออกมา 138/74

เมื่อวันก่อน(3พ.ย.)วัดได้ 150/90 แล้ววันนี้วัดได้ 138/74 มันลดลงทันตาเห็น...แสดงว่าตัวผม ถ้าใช้วิธีเข้มงวดตัวเองและลดการบริโภคสามารถป้องกันโรคความดันโลหิตสูงได้

ขอขอบคุณคุณหมอ ศูนย์45ร่มเกล้า ที่เห็นความผิดปกติและสั่งให้เจาะเลือดหาไขมันน้ำตาล

และขอขอบคุณร่างกายของตัวเอง ที่แสดงอาการเตือนออกมาให้รู้ตัวก่อนที่จะเป็นมากไปกว่านี้

ผมเดินตัวปลิวเข้าห้องตรวจ ถูกเจาะเลือดสีแดงเข้มไป 2 หลอดเต็มๆ

คุณหมอนัดฟังผลวันศุกร์ที่ 19 พ.ย.นี้

ก็ลุ้นกันละครับ ว่าผลมันจะออกมาทางไหน

ลบหรือบวก


วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วันนัดฟังผลเลือด...

ไขมัน 247 เกินระดับปกติไป 47 (ปกติ 0-200)

น้ำตาล 102 เกินระดับปกติไป 2 (ปกติ 70-100)

ความดันโลหิต 156/97 (ความดันโลหิตสูงขั้นที่1 บน140-159 / ล่าง90-99)

คุณหมอแนะให้ออกกำลังกายทุกๆวัน ควบคุมเรื่องอาหาร และสั่งยารับประทานหลังอาหารเช้า-เย็น 1.ยาขับปัสสาวะ ลดความดัน 2.ยาแก้ใจสั่น ลดความดัน 3.วิตามินบำรุงปลายประสาท แก้เหน็บชา และ 4.ยาลดไขมันในเลือดให้รับประทานก่อนนอน
ในวัยชราผมได้ของฝากรวมทั้งหมด 4 โรคแล้วครับ...

อิอิ...


นั่งทำงานใช้คอมฯนานๆ มีโอกาสเกิดอาการ มือชาเท้าชา

มือชาเท้าชา เป็นปัญหาสุขภาพอย่างหนึ่ง ที่มักเกิดกับคนในวัยทำงาน หรือผู้ที่ต้อง นั่งทำงานประจำออฟฟิศ นั่งโต๊ะใช้คอมพิวเตอร์นานๆ หรือนั่งอยู่ท่าเดิมนานๆ ก็อาจมีโอกาสเกิดอาการมือเท้าชาได้มากกว่าปกติ จากการที่เส้นประสาทโดนกดทับ ที่พบบ่อยคือ บริเวณข้อมือ ที่อยู่ในท่าแอ่น หรือ งอนานๆ เช่น การใช้เมาส์ หรือ พิมพ์งาน เป็นต้น

อาการมือเท้าชาในคนทำงานเกิดจากการที่เส้นประสาทที่พาดผ่านบริเวณข้อมือถูกกดทับ ซึ่งเส้นประสาทนี้จะผ่านจากแขนไปยังข้อมือเพื่อไปรับความรู้สึกที่บริเวณมือ โดยทอดผ่านบริเวณข้อมือและลอดผ่านเอ็นที่ยึดบริเวณข้อมือ อาจมีสาเหตุบางประการที่ทำให้เส้นประสาทนี้ถูกกดทับได้ จึงทำให้มือชา ร่วมกับมีอาการปวดชาร้าวไปยังท่อนแขนหรือต้นแขนได้ และบางคนพบว่ามือข้างที่เป็นอ่อนแรงหยิบจับสิ่งของไม่ถนัด ถ้าทิ้งไว้จะพบว่า กล้ามเนื้อบริเวณโคนนิ้วหัวแม่มืออาจจะแฟบลงเมื่อเทียบกับมืออีกข้างหนึ่ง พบในเพศหญิงมากกว่าชาย ระหว่างวัย 30-60 ปี

ผู้ที่ต้องประสบกับอาการมือชาเท้าชา นับวันจะมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะเป็นเพราะการใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ รวมไปจนถึงการใช้ชีวิตอย่างไม่มีคุณภาพ ทำให้ร่างกายแสดงอาการอ่อนแอออกมาให้เห็นได้ง่ายขึ้น

อาการชาที่เกิดกับมือและเท้านั้น คนส่วนใหญ่อาจจะคิดว่าเกิดจากการที่ร่างกายขาดวิตามินบี.1 ตามที่เคยได้ร่ำเรียนมา แต่จริงๆแล้วอาการชาที่เกิดขึ้นกับมือและเท้านั้น อาจจะมีสาเหตุมาจากการที่เส้นประสาทถูกทับ จนแสดงอาการออกมาก็เป็นได้ ซึ่งบางคนเมื่อเกิดอาการเช่นนี้แล้วก็เลือกที่จะไปปรึกษาแพทย์ ในขณะที่อีกหลายคนก็เลือกที่จะทนกับอาการชาที่เกิดขึ้น จริงๆแล้ว อาการดังกล่าวก็เหมือนกับโรคอื่นๆทั่วไป หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็อาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้เช่นกัน


เส้นประสาทถูกกดทับ:

ผช.ศ.นพ.พินิจ ลิ้มสุคนธ์ แพทย์อายุรกรรมประสาท บอกว่า อาการมือชาเท้าชา มักจะพบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก เนื่องจากร่างกายของผู้ใหญ่มีสภาพความเสื่อม และการใช้งานของร่างกายมากกว่าเด็กๆนั่นเอง

อาการมือชาเท้าชา เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการขาดวิตาบินบี.1 หรือเกิดจากโรคบางชนิด เช่น เบาหวาน แต่สาเหตุส่วนใหญ่นั้นมักจะเกิดจากการที่เส้นประสาทโดนกดทับ ซึ่งสามารถป้องกันได้ และสามารถรักษาได้ โดยไม่จำเป็นจะต้องผ่าตัด

“คนส่วนใหญ่เวลาเกิดอาการมือชาเท้าชา มักจะคิดว่าเป็นโรคเหน็บชา ซึ่งโรคเหน็บชานั้นก็คือโรคที่ปลายประสาทเสื่อมจากการขาดวิตามินบี.1 ซึ่งมักจะเกิดอาการชาทั้งเท้าทั้งมือสองข้าง แต่โรคเหน็บชาในปัจจุบันเกิดน้อยลงไปทุกที เนื่องมาจากว่าคนรับประทานวิตามินเสริมกันมากขึ้น หรือเวลาไปหาแพทย์ก็มักจะได้วิตามินบี.1 มาด้วย แต่อาการชาตามมือตามเท้าที่เกิดขึ้นในตอนนี้มักจะไม่ได้มาจากการขาดวิตามินแล้ว แต่สาเหตุส่วนใหญ่เกิดมาจากปัญหาของเส้นประสาท ไขสันหลัง หรือสมองเกิดอาการผิดปกติ

หากที่พบได้บ่อยมากที่สุดนั้นก็คือ อาการชามือชาเท้า ที่เกิดมาจากเส้นประสาทถูกกดทับ ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่สภาพร่างกายที่เปลี่ยนไป การใช้ชีวิตในชีวิตประจำวันที่อาจจะต้องทำงานใช้มือในการทำงานหนักจนเกินไป หรือใช้ผิดวิธี ก็ทำให้เกิดอาการเส้นประสาทถูกกดทับจนเกิดอาการชาได้ แล้วแต่ว่าเส้นประสาทโดนกดทับบริเวณไหน จะทำให้เกิดอาการชาไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะชามือไม่ชาแขน ชาแขนไม่ชามือ ชาทั้งมือทั้งแขน ชาเท้าไม่ชาขา ชาขาไม่ชาเท้า หรือชาทั้งเท้าทั้งขาก็ได้ ขึ้นอยู่กับบริเวณที่โดนกดทับ”

อาการที่แสดงออก:

ตำแหน่งของเส้นประสาทที่ถูกกดทับจะก่อให้เกิดอาการชาในบริเวณที่แตกต่างกันออกไป คือ

* เกิดอาการชามือ แต่เท้าไม่ชา

- ชาที่หลังมือแต่ไม่เกินข้อมือ แสดงว่าเกิดเส้นประสาทกดทับที่ต้นแขนด้านใน อาจจะเกิดจากการนั่งเอาแขนพาดพนักเก้าอี้นานจนเกินไป แต่ถ้าเกิดอาการชาเลยมาถึงข้อมือ จะเกิดจากการที่เส้นประสาทบาดเจ็บบริเวณรักแร้

- ชาที่บริเวณนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลางเป็นหลัก มักจะเกิดจากที่เส้นประสาทถูกกดทับที่บริเวณข้อมือ ซึ่งก็ควรจะลดการใช้งานของมือ และพยายามหลีกเลี่ยงท่าที่ทำให้ชา เช่น ขี่มอเตอร์ไซค์ โทรศัพท์ หรือชูมือ เป็นต้น

- ชาที่บริเวณนิ้วนาง และนิ้วก้อย ก็มักจะมาจากการถูกกดทับที่ข้อศอก ควรหลีกเลี่ยงการใช้ข้อศอก หรือหลีกเลี่ยงการเท้าแขนบ่อยๆ

- ชาเป็นแถบ ตั้งแต่บริเวณแขนไปจนถึงนิ้วมือ จะเกิดจากกระดูกต้นคอเสื่อม ไปกดทับเส้นประสาท ซึ่งควรปรึกษาแพทย์

* เกิดอาการชาเท้า แต่ไม่มีอาการชามือ

- ชาฝ่าเท้า เกิดจากเส้นประสาทบริเวณตาตุ่มด้านใน หรือบริเวณอุ้งเท้าถูกกดทับ ซึ่งก็ควรจะหลีกเลี่ยงท่าที่จะทำให้ขาชา พยายามลดการยืน หรือเดินนานๆ

- ชาหลังเท้า และลามขึ้นมาถึงหน้าแข้ง เกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับบริเวณใต้เข่าด้านนอก เพราะฉะนั้นควรจะหลีกเลี่ยงการนั่งในท่าที่ต้องพับขา เช่น ท่าขัดสมาธิ นั่งพับเพียบ หรือการนั่งไขว่ห้าง

- ชาด้านนอกของต้นขา เกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับที่ขาหนีบ ควรหลีกเลี่ยงการงอพับบริเวณสะโพก

- ชาเป็นแถบจากสะโพกลงมาจนถึงข้อเท้า เกิดจากหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนไปทับเส้นประสาท ซึ่งควรจะไปพบแพทย์

อาการทั้งหมดจะเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานานหรือไม่นั้น ผช.ศ.นพ.พินิจ บอกว่า ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ซึ่งถ้าเส้นประสาทที่ถูกกดทับเสียหายไม่มาก หรือเพียงแค่ช้ำเท่านั้น แค่ 1-2 วันอาการชาก็จะหายไปเอง แต่ถ้าเส้นประสาทเกิดการถูกกดทับจนเสียหายมาก ก็อาจจะเป็นปีที่อาการจะเริ่มดีขึ้น และเส้นประสาทเริ่มฟื้นตัวได้

ป้องกันและรักษาตามอาการ:

การรักษาอาการชามือชาเท้านั้นก็มีทั้งการรักษาด้วยการผ่าตัด และไม่ผ่าตัด โดยจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ และความรุนแรงของโรค “ถ้าเกิดอาการชาตามมือ ก็อาจจะแนะนำวิธีการปฏิบัติตัวให้คนไข้ ด้วยการให้ลดการทำงานโดยใช้มือก่อน ถ้ายังไม่ทุเลาก็อาจจะให้ยาไปรับประทานก่อน และถ้ายังไม่ทุเลาก็อาจจะต้องฉีดยา และถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นอีกก็อาจจะต้องใช้วิธีการผ่าตัด”

ส่วนการป้องกันนั้น ผช.ศ.นพ.พินิจ บอกว่า ควรจะต้องระมัดระวังในเรื่องท่าทาง ระมัดระวังตัวเองอย่าให้ร่างกายเกิดอาการอ่อนแอ และที่สำคัญต้องหัดสังเกตอาการชาเบื้องต้นอย่างละเอียดว่าเกิดอาการชา หรือปวดแสบปวดร้อนที่บริเวณใดให้ชัดเจน เพื่อที่เมื่อไปพบแพทย์แล้ว แพทย์จะได้สามารถวินิจฉัยอาการได้อย่างถูกต้องและชัดเจน เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพ เนื่องมาจากเส้นประสาทมีความซับซ้อนมาก ถ้าคนไข้ที่เกิดอาการไม่สังเกต และบ่งบอกอาการ หรือบริเวณที่เกิดอาการชาได้อย่างชัดเจน ก็อาจจะทำให้แพทย์วินิจฉัยผิดตำแหน่งได้ง่าย และการรักษานั้นก็จะไม่เกิดผลแต่อย่างใด

“คุณเพียงแค่สังเกตอาการต่างๆเหล่านี้เพิ่มขึ้นสักนิด ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวคุณเองที่จะได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีนั่นแหละครับ”

ผช.ศ.นพ.พินิจ ลิ้มสุคนธ์ กล่าวทิ้งท้าย

ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงท่านที่ส่งบทความที่มีประโยชน์อย่างมากนี้มาให้ และไม่บอกด้วยว่า ผช.ศ.นพ.พินิจ ลิ้มสุคนธ์ ท่านประจำ รพ.ไหน

วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

38 ริดสีดวงตา


ริดสีดวงตา

ริดสีดวงตา เป็นโรคตาอักเสบเรื้อรังที่พบได้บ่อยในบ้านเรา พบมากทางภาคอีสาน และในที่ๆแห้งแล้ง กันดารมีฝุ่นมาก และมีแมลงหวี่ แมลงวันชุกชุม พบได้ในคนทุกวัย แต่จะพบมากในเด็กวัยก่อนเรียนที่พ่อแม่ปล่อยให้เล่นสกปรกทั้งวัน การอักเสบจะเป็นเรื้อรังเป็นแรมเดือนแรมปี และอาจติดเชื้ออักเสบซ้ำๆหลายครั้ง เนื่องจากภูมิต้านทานต่อโรคนี้มักมีอยู่เพียงชั่วคราว โรคนี้ในบ้านเราถือเป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้คนตาบอด

สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อริดสีดวงตาที่มีชื่อว่า คลามีเดีย ทราโคมาติส (Chlamydia Trachomatis) ซึ่งเป็นเชื้อที่อยู่ก้ำกึ่งระหว่างไวรัสกับแบคทีเรีย ติดต่อโดยการสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง ทำให้เชื้อจากคนที่เป็นโรคแพร่ไปเข้าตาของอีกคนหนึ่ง บางครั้งอาจติดต่อผ่านทางผ้าเช็ดตัว เครื่องใช้ต่างๆที่ใช้ร่วมกัน หรือผ่านทางแมลงหวี่แมลงวันที่มาตอมตา นำเชื้อจากคนหนึ่งไปให้อีกคนหนึ่ง การติดต่อมักจะต้องอยู่ใกล้ชิดกันนานๆ จึงมักพบเป็นพร้อมกันหลายคนในครอบครัวเดียวกัน เชื้อนี้จะเข้าไปทำให้เกิดการอักเสบที่เยื่อบุตาขาวและกระจกตา (ตาดำ) ระยะฟักตัว 5-12 วัน

อาการแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่

1. ระยะแรกเริ่ม มี อาการเคืองตา คันตา น้ำตาไหล ตาแดงเล็กน้อย และอาจมีขี้ตา ซึ่งมักจะเป็นที่ตาทั้งสองข้าง อาการจะคล้ายกับเยื่อบุตาอักเสบจากเชื้ออื่นๆ จนบางครั้งแยกกันไม่ออก แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าพบว่ามีอาการเรื้อรังนาน 1-2 เดือน และอยู่ในท้องถิ่นที่มีโรคนี้ชุกชุม หรือมีคนในบ้านเป็นโรคนี้อยู่ก่อน ก็อาจให้การรักษาแบบโรคริดสีดวงตาไปเลย ถึงแม้ไม่ได้รักษาในระยะนี้บางคนอาจหายได้เองแต่บางคนอาจเข้าสู่ระยะที่ 2

2. ระยะที่เป็นริดสีดวงแน่นอนแล้ว การอักเสบจะลดน้อยลง ผู้ป่วยจะมีอาการต่างๆลดลงกว่าระยะที่ 1 แต่ถ้าพลิกเปลือกตาดู จะพบเยื่อบุตาหนาขึ้น และเห็นเป็นตุ่มเล็กๆที่เยื่อบุตาบน (ด้านในของผนังตาบน) นอกจากนี้จะพบว่ามีแผ่นเยื่อบางๆออกสีเทาๆที่ส่วนบนสุดของตาดำ (กระจกตา) ซึ่งจะมีเส้นเลือดฝอยวิ่งเข้าไปในตาดำ แผ่นเยื่อสีเทาซึ่งมีเส้นเลือดฝอยอยู่ด้วยนี้ เรียกว่า แพนนัส (Pannus) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคนี้ (เยื่อตาขาวอักเสบจากการแพ้ อาจมีตุ่มเล็กๆที่เยื่อบุเปลือกตา แต่จะไม่มีแพนนัสที่ตาดำ) ระยะนี้อาจเป็นอยู่นานเป็นเดือนๆ หรือปีๆ

3. ระยะเริ่มแผลเป็น ระยะนี้อาการเคืองตาลดน้อยลง จนแทบไม่มีอาการอะไรเลย ตุ่มเล็กๆที่เยื่อบุเปลือกตาบนเริ่มค่อยๆยุบหายไป แต่จะมีพังผืดแทนที่กลายเป็นแผลเป็น ส่วนแพนนัสที่ตาดำยังคงปรากฏให้เห็น ระยะนี้อาจกินเวลาเป็นปีๆเช่นกัน การใช้ยารักษาในระยะนี้ไม่ค่อยได้ผล

4. ระยะของการหายและเป็นแผลเป็น ระยะนี้เชื้อจะหมดไปเอง แม้จะไม่ได้รับการรักษา แพนนัสจะค่อยๆหายไป แต่จะมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น ที่พบได้คือ แผลเป็นที่เปลือกตา ทำให้ขนตาเกเข้าไปตำถูกตาดำ เกิดเป็นแผลทำให้สายตามืดมัว และแผลเป็น อาจอุดกั้นท่อน้ำตา ทำให้น้ำตาไหลตลอดเวลา หรือไม่อาจทำให้ต่อมน้ำตาไม่ทำงาน ทำให้ตาแห้ง นอกจากนี้ อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ตาดำเป็นแผลเป็นมากขึ้น จนในที่สุด ทำให้ตาบอด

แต่อย่างไรก็ตาม โรคนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นรุนแรงทุกคน บางคนเป็นแล้ว อาจหายได้เองในระยะแรกๆ ส่วนคนที่มีภาวะแทรกซ้อน มักจะมีการติดเชื้ออักเสบบ่อยๆ ประกอบกับมีปัจจัยเสริมอื่นๆ เช่น การติดเชื้อ แบคทีเรียซ้ำเติม ขาดอาหาร ขาดวิตามิน เป็นต้น


คำแนะนำ:

1. โรคนี้ควรแยกออกจาก เยื่อตาขาวอักเสบชนิดอื่น ควรสงสัยเป็นริดสีดวงตา เมื่อมีการอักเสบเรื้อรังเป็นเดือนๆ และอยู่ในท้องถิ่นที่มีโรคนี้ชุกชุม

2. คำว่าริดสีดวงตา ชาวบ้านหมายถึง อาการเคืองตา คันตาเรื้อรัง ซึ่งอาจมีสาเหตุจากการแพ้ หรือจากการติดเชื้อริดสีดวงตา (Trachoma) ก็ได้ ทั้ง 2 โรคนี้มีสาเหตุอาการ ภาวะแทรกซ้อน และการรักษาต่างกัน

3. การรักษาริดสีดวงตา ต้องลงมือรักษาตั้งแต่ในระยะที่ 1 และ 2 ซึ่งเป็นระยะที่มีการติดเชื้อรุนแรง การใช้ยาปฏิชีวนะจะสามารถทำลายเชื้อ และป้องกันมิให้เกิดภาวะแทรกซ้อน แต่ในระยะที่ 3 และ 4 เป็นระยะที่การติดเชื้อเบาบางลงแล้ว และเปลือกตาเริ่มเป็นแผลเป็น การใช้ยาปฏิชีวนะในระยะนี้ จึงไม่ค่อยได้ประโยชน์ คือไม่สามารถลดหรือป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้ ควรรักษาผู้ป่วยที่มีอยู่ในบ้านพร้อมกันทุกคน

4. อาการขนตาเก (ตาน้ำ ก็เรียก) นอกจากมีสาเหตุจากริดสีดวงตาแล้ว ยังอาจพบในคนสูงอายุ เนื่องจากหนังตาล่างหย่อนยาน ทำให้กล้ามเนื้อมีการหดตัวมากกว่าปกติ ดึงเอาขอบตาม้วนเข้าใน เรียกว่า อาการเปลือกตาหันเข้าใน (Entropion) ทำให้มีขนตาทิ่มตำถูกตาขาวและตาดำ มีอาการเคืองตา น้ำตาไหล เยื่อบุตาอักเสบ ถ้าปล่อยไว้ อาจทำให้มีแผลที่กระจาตาดำ สายตามืดมัวหรือตาบอดได้ การรักษา ถ้ามีขนตาเกเพียงไม่กี่เส้น ก็อาจใช้วิธีถอนขนตา แต่ถ้ามีหลายเส้น ควรแนะนำไปผ่าตัดที่โรงพยาบาล

การป้องกัน:

1. ไม่ปล่อยให้เด็กเล่นฝุ่นละออง หรือให้แมลงหวี่ แมลงวันตอมตา

2. ไม่คลุกคลีกับผู้ป่วย หรือใช้ของร่วมกับผู้ป่วย

3. หมั่นล้างมือล้างหน้าให้สะอาดอยู่เสมอ

4. กำจัดขยะมูลฝอยในบริเวณบ้านด้วยวิธีเผา หรือฝังเพื่อป้องกันมิให้ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ แมลงและเชื้อโรค

หมายเหตุ:

ริดสีดวงตา อาจทำให้ตาบอดได้ แต่จะหายขาด ถ้าลงมือรักษาตั้งแต่แรก