ห้องตรวจตา...ชั้น 5 อาคารเฉลิมพระเกียรติ

Blogนี้ผมตั้งใจทำขึ้นเพื่อตอบแทนสดุดีนโยบายบัตรทองประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรคของรัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร
จะรีบไปไหน...จะรีบไปไหน...รอโหลดซักกะเดี๋ยวซิครับ คลิก...นโยบาย"ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ"

* ขอขอบคุณที่ติดตามรับชมและช่วยประชาสัมพันธ์ลิงค์ http://eye009.blogspot.com/ ให้แพร่หลาย *
@ ปู้นนน...!!! คนเมืองใต้เจียงใหม่ของหมู่เฮาลงไปตางปู๊นนน..... * * * * * @ 2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย . . . ร่วมด้วยช่วยกันเผยแพร่สื่อสารถึง"คนเสื้อแดง"ทั่วไทยและทั่วโลก . . . ขอขอบพระคุณเจ้าของclipภาพถ่ายและบทความทุกๆท่านที่กรุณาเอื้อเฟื้อแบ่งปัน . . .น้ำใจซื้อขายไม่ได้ แต่น้ำใจให้กันได้...อิอิ


PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับส่วนต่างๆและระบบการทำงานของดวงตา, โรคตาต่างๆ และวิธีการดูแลรักษาดวงตาอย่างถูกต้องที่สามารถปฏิบัติตามในเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง... ขอขอบคุณ www.knowledge.com

วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

86 ถูกพ่อดูถูกถึงได้เป็นหมอ By: kimeng suk

@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
@ เข้าครัว...ทำกับข้าวคลายเครียด!! ผมทำได้ คุณก็ทำได้ครับ
@ 54... "นายกฯปู" สวมชุดนักบินเหินฟ้าชมการใช้กำลังทางอากาศ
@ สถานีรถไฟจีน แล้วลองย้อนมาดูเรา...
@ เรื่อง... ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112
@ สนทนากับทักษิณ "ผู้ต้องสงสัย" แห่งประเทศไทย Conversations with Thaksin, Thailand's prime suspect
@ "วรเจตน์" ฝ่าศึกสหบาทา: ร้องว่าผมเนรคุณ แต่คุณยืนให้สูงเพื่อบอกว่าจงรักภักดี โดยเหยียบหัวผมขึ้นไป
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ ชุดที่1
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน เวียดนาม ชุดที่2
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน สิงคโปร์ ชุดที่3
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน อินเดีย ชุดที่4
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ฟิลิปปินส์ ชุดที่5
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ร่วมประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ ชุดที่6
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน มาเลเซีย ชุดที่7
@ 81 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือนกองทัพไทย
@ ภาพชุดงานสโมสรสันนิบาต วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5ธ.ค.2554

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...


ขอขอบคุณและขออนุญาตคุณ kimeng suk นำข้อเขียนของท่านมาลงไว้เว็บนี้นะครับ


ถูกพ่อดูถูกถึงได้เป็นหมอ
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค

ตอนที่1 "ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา"
ตอนที่2 "คนไข้คนแรกของหมอใหม่หมาดๆ"
ตอนที่3 "ผีหลอกหมอ"
ตอนที่4 "อะไรทำให้ รวยและ รวย จากคนจนสุดๆกลายเป็นเศรษฐีใหญ่"
ตอนที่6 "ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมเป็นหมอทำแท้ง"
ตอนที่7 "ทำไมถึงจนอย่างนี้"
ตอนที่8 "อีแปะมันหด-อัศจรรย์ปาฏิหาริย์-โด่ไม่รู้ล้ม"

ตอนยังเป็นเด็ก เราเป็นคนที่ทั้งดื้อ ทั้งซนเหมือนลิง หาความเรียบร้อยไม่ได้ แม่เรียกว่า อีม้าดีดกะโหลก เท่านั้นยังไม่พอ ยังไม่ชอบเรียนหนังสือ เชื่อไหม เราสอบตกซ้ำชั้นตอนอยู่ชั้น ป.1 ไม่น่าเชื่อว่าตกได้อย่างไร แต่ตอนนั้นถ้านักเรียนมี 35 คน เราสอบได้ที่ 35 ก็ถือว่าเก่งกว่าคนอื่น เพราะได้ที่มากกว่าคนอื่น

เราตั้งแก๊งเด็กซน มีเราเป็นหัวโจก มีสมุน 4-5 คน ซนมากๆ สุดแสนจะไม่เรียบร้อย ทะลึ่ง ตึงตัง แกล้งเพื่อน ถูกครูลงโทษบ่อยๆ ให้ยืนขาเดียวปากคาบไม้บรรทัด พอเอาออกปากแดงแจ๋จากน้ำหมึกสีแดงที่ติดไม้บรรทัด เรายังไม่เข็ด กลับทำหน้าทำตาหลอกครูเวลาลับหลัง บางครั้งครูก็ให้ยืนขาเดียวบนโต๊ะเรียน คาบไม้บรรทัด อวดนักเรียนชายโรงเรียนติดกัน เรากับรู้สึกเท่ดี ยืนแบบดาราหนังขาเดียว อยู่ได้นานๆไม่เบื่อ

ครั้งหนึ่งตอนตรุษจีน ที่บ้านเรามีประทัดเยอะมาก เราก็แอบเอาไปโรงเรียนด้วย ตกตอนเย็นก็ชวนเพื่อนแก๊งเด็กซน พากันเดินกลับบ้าน ไม่กลับกับรถที่มารับ เดินไปก็จุดประทัดไป เสียงดังสนั่นหวั่นไหว จุดแล้วก็เหวี่ยงออกนอกตัว เราสนุกกันมาก แต่ชาวบ้านคงอยากเตะพวกเราซักป๊าปแน่ๆ

แต่มันเกิดเรื่องเพราะขณะที่เราจุดประทัด และกำลังเหวี่ยงออกไปข้างหลัง ก็มีไอ้เด็กตาถั่วหูตึงคนหนึ่ง วิ่งทะเลอทะร้าเข้ามา พอดีกับจังหวะที่เราเหวี่ยงออกไป ไปโดนจมูกเขาเข้า จมูกเขาฉีก บวมแดงขึ้นมาทันที ร้องแงๆ ไปฟ้องพ่อ พ่อเขาโมโหมาก ตรงไปบ้านเราทันที ไปฟ้องเตี่ย จะเอาเรื่องเรา เตี่ยโมโหมากอีกคนนั่งรอเราเลยละ พอกลับไปถึงบ้าน เตี่ยไม่พูดพล่ามทำเพลง ตีเราเกือบตาย สมน้ำหน้า ซนดีนัก

สมัยนั้น เด็กๆยังไม่มีอะไรมาชวนให้ใจแตกแบบสมัยนี้ แต่เราชอบอ่านหนังสือมาก ถ้ามีเงิน เย็นมาเราจะไปที่ร้านหนังสือ ไปรอซื้อหนังสือ ชอบอ่านหนังสือทุกชนิด นิยายนี่ชอบที่สุด เพชรพระอุมานี่อันดับหนึ่ง ชอบหมอดาริน นางเอกมาก อยากเป็นหมออย่างเขา

แต่เรามีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเรียนดี คือเราจะอ่านหนังสือทบทวนที่เรียนมาทุกๆเย็น เพราะกลัวสอบตกแบบชั้น ป.1 อีก เราเลยกลายเป็นคนเรียนดี สอบได้คะแนนดีมาก ได้รางวัลทุกปี แต่ในหัวก็ยังไม่มีความคิดว่า จะเรียนอะไรจะเป็นอะไร เรียนไปยังงั้นๆ เอาให้ไม่สอบตกเป็นใช้ได้ เตี่ยกับแม่ก็ไม่มีเวลามาแนะนำ งานมาก ลูกเยอะ

อยู่มาวันหนึ่งขณะที่เราอยู่ชั้น ม.2 เตี่ยพาเราไปหาหมอจีน ให้แหมะเพราะไม่สบาย เราไม่ชอบกินยาจีน มันขม เลยบอกเตี่ยว่า โตขึ้นหนูจะเรียนหมอ มารักษาเตี่ย เตี่ยจะได้ไม่ต้องมากินยาจีน เตี่ยบอกว่า ซนเหมือนม้าดีดกะโหลกนี่เหรอจะเป็นหมอ แล้วก็ถอนใจ ร้องเฮ้อ เฮ้อ

เท่านั้นแหละเราฮึดขึ้นมาเลยว่าเตี่ยดูถูก คอยดูนะเตี่ย จะเป็นหมอให้เตี่ยดูให้ได้ แต่เราคิดมานานแล้ว คิดบ่อยๆว่าเตี่ยรวยก็จริง แต่ลูก 15 คน (รวมของแม่เมืองจีนด้วย) แบ่งสมบัติกันแล้ว เราจะเหลือซักเท่าไหร่ ไม่พอกินแน่ๆ เราต้องช่วยตัวเอง หาเอง ไม่พึ่งสมบัติของเตี่ยและ เป็นหมอดีที่สุด หาเงินได้ง่าย ได้ช่วยรักษาคนอื่นๆ และมีหน้ามีตา เราตั้งเป้าให้กับตัวเอง ต้องเป็นหมอให้ได้

ตั้งแต่นั้นมาเราก็ตั้งใจเรียนมากไม่เล่นซน อ่านหนังสือทุกเย็น ไปเรียนพิเศษ มีไอ้หนุ่มๆมาจีบ เขียนจดหมายมาให้หลายคนเราก็ไม่สนใจ กลัวจะไม่ได้เรียนหมออย่างเดียว ดิ้นรนไปเรียนโรงเรียนดีๆ ไปแข่งกับพวกที่เรียนเก่งๆ พยายามเอาชนะเขาให้ได้ ตื่นแต่เช้าอ่านหนังสือเกือบทุกวัน ไม่ค่อยไปไหน อ่านหนังสือ อ่านๆๆๆๆๆ เป็นหนอนหนังสือเลยละ สายตาก็สั้นลงๆ ใส่แว่นหนาเปอะ

เอาเงินไปซื้อข้อสอบเก่าของแต่ละชั้นมาหัดทำเอง บางทีก็เรียนล่วงหน้าไปก่อนครูสอน โดยเฉพาะข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราซื้อมาเต็มบ้าน หัดทำจนจำได้ทุกข้อ ซึ่งทำให้เราสอบเข้าเรียนหมอได้อย่างสบาย และเราก็ได้เรียนหมอสมใจอยาก ได้ดูแลเตี่ยและแม่ จนตายจากไป แต่เตี่ยก็รักษาหมอจีนคู่กับหมอแผนปัจจุบัน ไม่ยอมเลิก รักษากับหมอจีนจนตาย ไม่ค่อยเชื่อเรา หาว่าเราไม่เก่ง แต่คนไข้บอกว่าเรารักษาเก่ง

สรุปว่า ที่ได้เรียนหมอ ก็เพราะ ความมุมานะที่ถูกเตี่ยดูถูก, และมีเป้าหมายชีวิต ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมาก เมื่อมีเป้าหมายก็ทำให้มีความพยายาม ขยันหมั่นเพียร เพื่อตะกายไปให้ถึงเป้าที่วางไว้เต็มที่ ถ้าทำเต็มที่แล้ว ไม่ถึงเป้าหมาย ตกลงมาก็ไม่เตี้ยติดดิน ใครที่มีลูก ก็ควรจะสอนให้ลูกตั้งเป้าไว้ ว่าจะเรียนอะไร จะเป็นอะไร ไม่ใช่เรียนไปเรื่อยๆ จะถึงเวลาสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะเลือกอะไรดี อย่างนี้แพ้ตั้งแต่ยังไม่สตาร์ทแล้ว

By xam: ผมก็อยากเรียนน่ะ พรสวรรค์ให้มาทุกอย่าง ยกเว้น บ้านจนมากๆ เลยไม่มีปัญญาเรียน

ได้เรียนจบ ขั้นพื้นฐานก็บุญแล้วครับ ต้องช่วยงานบ้าน เข้าสวน แล้วไปเรียน กลับมาก็รีบเข้าสวนครับ ไม่ช่วยกันทำ ก็อด พ่อแม่ก็จบน้อยครับ เรื่องทุนอะไร เค้าก็ไม่รู้เรื่อง พอโตมา (อายุเบญจเพศ) เพิ่งรู้ว่า เรียนหมอ สอบให้ติดไว้ก่อน ตลอดหลักสูตรมันแพง นศพ. เลยเข้าโครงการทุน(เกือบ)หมด

ส่วนชีวิตชนบทไทย แต่ก่อนจบ ป.4, ป.6, ม.3 ก็ออกมาทำงานช่วยพ่อแม่ ไปฝึกงานเป็นช่างยนต์ ช่างเครื่อง ช่างสี ช่างอิเล็ค ไดนาโม ช่างไม้ ช่างปูน ค้าขาย บลาๆ

By kimeng suk: เดี๋ยวนี้ขอทุนเรียนได้ง่าย มีเงินยืมเรียนด้วย ถ้าไม่มีอะไรก็บอกนักข่าว เขียนเรื่องลงหนังสือพิมพ์ คนก็มาช่วยกันเยอะ ที่จังหวัดที่อยู่ก็ลงหนังสือพิมพ์ หลายคน สอบเข้าได้ไม่มีเงินเรียนหมอ

By Hamlet: ผมว่า จริงๆแล้ว ไม่มี พ่อ แม่ ที่ไหนจะมาดูถูกลูกตัวเองหรอกครับ มั่นใจแบบนั้น

By kimeng suk: เตี่ยคงไม่ได้ตั้งใจดูถูก แต่ไอ้เรามันเด็กซนมาก เตี่ยคงหมั่นไส้นะ เราก็รู้ แต่มันโมโห และอยากเอาชนะ

ตอนนั้นเป็นเด็ก คิดอย่างเดียวว่าต้องหาเงินเอง ไม่พึ่งเตี่ย ในจังหวัดที่อยู่ มีหมอไม่กี่คนสมัยก่อน แต่ละคนรวยมาก ไอ้เราเห็นเขาทำงานแค่ตรวจคนไข้ แล้วก็ฉีดยา ง่ายดีนะ แล้วใครก็ยกย่อง นับถือหมอ ก็เลยคิดเอาอย่าง

แต่พอมาเป็นจริงๆแล้ว ไม่ได้รวยเลย แค่ดีกว่าคนอื่นเล็กน้อย งานหนักมาก ถูกตามตลอดแม้ไม่อยู่เวร โดยเฉพาะโทรศัพท์ ดังทั้งวัน ขี้ไม่ออกเหยี่ยวไม่ออกก็โทรๆๆๆ จนตอนหลังค่อยไม่ให้โทรศัพท์ใคร

ตอนนี้ลูกสาวกำลังเรียนแพทย์ปี 3 ตั้งเป้าไว้เลยว่า ให้เป็นอาจารย์สอนแพทย์ ไม่ให้มาเป็นแพทย์เวชปฏิบัติเหมือนพ่อกับแม่ กินเงินเดือนก็พออยู่ได้

สมัยนี้รายได้แพทย์จบใหม่ๆปีแรก ก็ได้ 6-7 หมื่นแล้ว ไม่ต้องดิ้นรนทำงานพิเศษ สมัยก่อนจบใหม่ได้เงินเดือน 1,300 บาท ส่งน้องเรียน เกือบสิบคนไม่พอใช้ ต้องเปิดคลินิกหาเงินเพิ่ม

By xam: นั่นได้สารพัดค่าสิทธิ พิเศษ (สารพัดค่าจริงๆ) เหมือน พวกนายทหาร นายตำรวจ ผมเห็นแพทย์ ได้เงินตกเบิกตั้งเยอะ ตั้งแยะ งานก็ไม่ได้แบกหาม จับกัง แต่เป็นงาน ชุลมุน ผมเจอแพทย์ที่ไหน ก็บ่นว่าเหนื่อย คนไข้เยอะ นี่เป็นสิ่งที่เรารู้ว่าจะต้องเจอ ผมเลย งงๆ กับ ระบบราชการไทย ทำไมหน้าที่การงาน ของแต่ละหน่วยงาน ทำไมไม่จ่ายเงินเดือน+โอที ไปเลย เห็นคิดค่าโน่น นี่ ทับไป ทับมา ทำให้มันมีช่องว่าง ระหว่างความดี กับไม่ดี ที่จะคอรัปชั่นได้ เช่น องค์กรอิสระ

ผมเป็นคนไม่รู้จักคำว่า พอดี พอใช้ ของแต่ละท่านเป็นอย่างไร ของผมทุกวันนี้ ค่ารถ 25 บาท ไปกลับ ข้าวจานละ 30x3 มื้อ = 90 ค่าเช่าห้อง 150 ต่อวัน ดังนั้นวันหนึ่งผมต้องมี 265 หากวันไหนกิน 285 ชุดเล็ก โซดา 6 น้ำแข็ง 2 ก็ต้องเพิ่มอีก 256 บาท งานก็หนัก ร้อน แบกจอบ รดน้ำ เก็บผลผลิต ตื่นตีห้า เข้าห้อง ทุ่มหนึ่ง เป็นแบบนี้เกือบทุกวัน แต่ผมก็รักในงาน สรุป ผมต้องมีรายได้ 521 บาท ต่อวันผมจึงมีชีวิตที่มีความสุข ส่วนที่เหลือก็เป็นเงินออมฯ

By kimeng suk: ตอนเป็นนักเรียนแพทย์ จะเรียนหนักมาก สอบทุก 1-2 อาทิตย์ ต้องอ่านหนังสือเป็นตั้งๆ ชีวิตมีแต่ เรียน อ่าน ท่องจำ ฝึกงาน อยู่เวร ไม่ได้ใช้กำลังกายก็จริง แต่ใช้สมองหนักมาก นอนก็ไม่เต็มที่ และชีวิตก็หนักมาก ไม่ได้สนุกสนานเฮอาแบบวัยรุ่นทั้งหลายที่เรียนวิชาที่เบากว่า ถ้าไม่อ่านก็สอบตก ถูกไล่ออกก็มาก 6 ปีเต็มๆกว่าจะเรียนจบ จบแล้วต้องเรียนต่อผู้ชำนาญอีกสามปี กว่าจะเป็นหมอผู้ชำนาญได้เต็มตัว

พอเป็นหมอ ไม่ต้องอ่านมากแล้ว แต่ก็ต้องอ่านหาความรู้ตลอดชีวิต ไม่งั้นตามไม่ทัน งานก็หนัก ตรวจคนไข้วันละเป็นร้อยคน นั่งอยู่กับที่ก็จริง แต่ใช้สมองมากกว่ากำลังกายเป็นร้อยเท่า เครียด เพราะต้องรับผิดชอบชีวิตคน รักษาผิดคนไข้ตาย รักษาถูกคนไข้รอด ชีวิตหมออยู่กับงานและงาน

เวลาพักผ่อนมีน้อย ถึงเวลาพักส่วนตัวของหมอคนไข้ก็ตาม เพราะความตายเจ็บไข้ได้ป่วยมันไม่เลือกเวลา ทำสวนทำไร่ เหนื่อยกาย แต่ถึงเวลาพักเป็นพัก ไม่มีใครตาม ไม่ต้องรับผิดชอบชีวิตใคร ไม่มีอยู่เวร ไม่ต้องเหนื่อยใจ ไม่ต้องใช้สมอง ไม่ต้อง อ่านและท่อง สบายต่างกันมากนัก เงินน้อยกว่า แต่สบายใจกว่า เบากว่ามาก


ใครเป็นคนมีบุญมีความสุขมากกว่ากัน
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค

เรามีพี่น้องร่วมพ่อแม่เดียวกัน 15 คนตายไป 3 เหลือ 12 แต่ละคนก็มีวิถีชีวิตของตัวเอง บางคนก็ร่ำรวย บางคนก็ยากจน อยู่ในเมืองไทยและอเมริกา พี่สาวถัดเราไปกับตัวเรานี่ มีวิถีชีวิตที่ทำให้เรา งงๆ อยู่ทุกวันนี้ ว่าใครกันแน่ที่ได้ดี มีความสุขและประสพความสำเร็จในชีวิต

พี่สาวคนนี้แก่กว่าเราหนึ่งปี พี่สาวเป็นคนผิวขาว ไม่ค่อยสวย เรียบร้อยเป็นผู้หญิง ไม่ม้าดีดกะโหลกแบบเรา เขาเรียนไม่เก่ง จึงไปเรียนสายพาณิชย์ จบแค่ ปวช. แล้วออกมาช่วยเตี่ยทำงานที่โรงเลื่อย เป็นคนค้าขายเก่ง คล่องและพูดเก่ง ใจกว้าง ฉลาด กล้าได้กล้าเสีย

พี่สาวตั้งใจจะแต่งงานกับหมอให้ได้ จึงเข้าไปสนิทกับพยาบาลของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงเรียนแพทย์ มีนักเรียนแพทย์หนุ่มๆมาก เพราะเป็นคนใจกว้าง พูดเก่ง จึงจัดเลี้ยงขึ้นบ่อยๆ ตรงโน้นตรงนี้ เชิญนักเรียนแพทย์ พยาบาล มาสังสรรค์กัน จนในที่สุดก็มีหนุ่มนักเรียนแพทย์มาจีบหลายคน

แล้วในที่สุดก็ตกลงเป็นแฟนกับพี่เขย แต่งงานกัน แล้วก็ย้ายไปอยู่อเมริกา มีลูก 3 คนเป็นชายทั้งหมด พี่สาวต้องเลี้ยงลูกเอง ทำทุกอย่างหมด แต่พี่สาวไม่ต้องหาเงินเพราะไม่ใช่หมอ ไม่ต้องดูแลคนไข้ ไม่ต้องถูกปลุกถูกตาม พี่เขยต้องทำเพราะเป็นหมอ จนลูกๆโตขึ้นมีทำงานมีหลักมีฐานทุกคน ตอนนี้พี่สาวกับพี่เขยอยู่กับลูกคนเล็ก ซึ่งเอาสะใภ้ไทยมาดูแลพ่อแม่ และให้เงินพ่อแม่ใช้ ไม่ต้องทำงานอะไรแล้ว อยากเที่ยวก็ไปเที่ยว อยากช๊อปปิ้งก็ไปซื้อได้ตามใจชอบ มีฐานะดีมีเงินเก็บมากพอควร

ส่วนเราเรียนเก่งตั้งแต่เด็ก ตั้งเป้าเป็นหมอก็ได้เป็นสมใจอยาก แต่ก็ต้องขยันหมั่นอ่านหมั่นท่อง เรียนและเรียนอย่างหนัก ไม่มีเวลาไปเที่ยวเตร่แบบคนอื่นๆรุ่นเดียวกัน อยู่เวรบ่อยๆ มีเวลานอนน้อย ถูกตามแม้กระทั่งเวลากินข้าว บางครั้งต้องทิ้งชามข้าว ตาแหกไปดูคนไข้ แต่งงานกับหมอเหมือนกับพี่สาว สามีก็แบบเดียวกัน เป็นหมอสูติกรรมทำคลอด ผ่าตัด กลางคืนก็ถูกปลุกเกือบทุกคืนไปทำคลอด ปลุกสามีก็เหมือนปลุกเราด้วย ปลุกเราก็เหมือนปลุกสามีด้วย สรุปแล้วเป็นหมอสองคนก็ถูกปลุกสองเท่า

เราทั้งสองทำงานหนัก ทั้งรับราชการ เปิดคลินิกส่วนตัว ส่งน้องๆสามีเรียนสิบคน จนจบมหาวิทยาลัยทุกคน ทำงานหนัก จนเกษียร อายุเกินหกสิบก็ยังทำคลินิกส่วนตัว งานน้อยลงไม่หนักเหมือนเดิม แต่ก็ต้องทำมาหากินอยู่ มีบ้าน มีรถ แต่เพิ่งใช้หนี้หมด เพราะโลภมากไปเล่นหุ้น เลยเจ๊งสนิท

จะไปเที่ยวหรือซื้อของตามใจชอบยังไม่ได้ ต้องหาเงินมาให้พอใช้จ่าย ไม่มีเงินเก็บ แต่ก็สุขสบายใจดี มีลูกก็บวชเป็นพระย่างเข้า 9 พรรษาแล้ว ท่านก็ไม่มีเงินให้โยมพ่อโยมแม่ เพราะท่านไม่ค่อยรับกิจนิมนต์ เป็นพระอาจารย์สอนสมาธิส่วนมาก ได้แต่เอาบุญมาฝากโยมพ่อโยมแม่ เมื่อท่านได้ไปทำบุญมา พ่อแม่ก็ได้แต่อนุโมทนาบุญกับท่าน ได้บุญไปด้วย (ท่านบอกว่ากลัวโยมพ่อโยมแม่ได้บุญน้อย ชาตินี้ก็บุญน้อยถึงได้เจ๊งหุ้น) ลูกสาวก็กำลังเรียนแพทย์ ยังไม่จบ ต้องใช้เงินมากอยู่ ชื่นใจตรงที่ลูกสาวเรียนเก่งมาก ได้ที่หนึ่งทุกปี และคาดหวังว่า จะเป็นนักเรียนเหรียญทองเมื่อเรียนจบ

ท่านอ่านดูแล้ว ลองวินิจฉัยดูหน่อยนะว่า ระหว่างพี่น้องสองคนนี้ ใครมีบุญ สุขสบายมากกว่ากัน ระหว่างคนที่เรียนเก่งได้เป็นหมอเองแต่ต้องทำงานเองหนักมาก ต้องหาเงินเอง ถึงจะอยู่ได้ กับคนที่เรียนไม่เก่งแต่ได้แต่งงานกับหมอ ไม่ต้องทำงานเป็นหมอ แต่มีหมอหาเงินให้ ใครหนอมันจะมีบุญมากกว่ากัน???? (อยู่อเมริกา ใช้หมอคนเดียวก็หาเงินได้ พออยู่เมืองไทย ใช้สองหมอ ยังไม่ได้ครึ่งของอเมริกา)

และระหว่างอยู่อเมริกากับเมืองไทยอยู่ที่ไหนดีกว่ากัน อยู่อเมริกาหาเงินได้มาก เป็นเศรษฐี แต่ไกลพระพุทธศาสนา กับอยู่เมืองไทย ใกล้พระพุทธศาสนา แต่ไม่ค่อยจะมีเงิน????

By p.nan: ใครมีบุญกว่า ใครมีความสุขกว่า

บุญเกิดจากการประกอบกรรมดี แต่ละคนต่างสะสมความดี ตามกาละและเทศะที่ไม่เหมือนกัน

ความสุข อาจมองเป็น feedback ของบุญ พุทธศาสนาสอนว่า ความสุขคือความสงบ จิตไม่ทุกข์ ไม่ฟุ้งซ่าน

สรุป ไม่มีใครรู้อย่างแท้จริงนอกจากตัวเอง

By flowervoice: คำถามแบบนี้เหมือนคนที่ปลงไม่ตก บ่งบอกถึงเรื่องคาใจ...หรือแกล้งถามเล่นๆคะ?

By kimeng suk: ปลงตกเรื่องหุ้นตั้งนานแล้ว เรามันโลภเอง แต่มันขำตัวเองว่า อุตส่าห์ตะกายเกือบตาย เพื่อมาหางานหนัก สุดท้ายก็ต้องตายไปเหมือนกันกับคนอื่นๆ ที่เขาไม่ต้องตะกายมากอย่างเรา

By บีเว่อร์: ความคิดผมคนเดียวนะ พี่กิมเอ็งอย่าไปยึดติดกับคำว่าหมอเลยครับ มันธรรมดานะสำหรับคนที่เป็นหมอ เรื่องที่กินข้าวอยู่แล้วต้องวางช้อนวางชามไปรับคนไข้ อันนี้ก็ปกติอ่ะ

นักเรียนแพทย์สมัยก่อนเข้าเรียนโดยไม่รู้เลยว่า เรียนหมอแล้วต้องมาเจอกับอะไรบ้าง นี่จึงเป็นเหตุผลให้คนที่เข้าไปเรียนเบื่อหน่ายไม่ชอบ บางคนก็ทิ้งเรียนไปซะเฉยๆ

สำหรับตัวผมเอง ผมสอบเทียบวุฒิ ม.6 ที่ ร.ร.รัฐบาลแห่งหนึ่ง แล้วก็สมัครโควต้าของศิริราชพยาบาลในปีที่สองที่มีการรับสมัครเป็นของศิริราชโดยตรง โดยจะรับ 50 คน และจะสอบก่อนมีเอนทรานซ์ปกติ ซึ่งตอนนั้นมีแค่พันคนเอง

คือว่าถ้าเราพลาดโควต้าศิริราช 50 คน เราก็จะมีโอกาสแก้ตัวกับเอนทรานซ์อีกครั้ง ซึ่งนับว่าหินกว่าเป็นไหนๆ แต่ก่อนจะเข้าสอบ ผู้สมัครโควต้านี้ก็ต้องไปฝึกงานที่ รพ.ก่อนระยะหนึ่ง จะขึ้นวอตไปคลุกคลีกับผู้ป่วยใน แล้วมีพี่พยาบาลและ อจ.แพทย์ พาไปราวน์แบบอินเทินสมัยเก่า (สมัยผมเป็น เอ๊กเทิน)

ผมอยู่วอตศัลยประสาท โอ้วว สุโค่ย เป็นภาพที่น่ากลัวสำหรับเด็กสอบเทียบ ม.6 อย่างผม แต่ผมก็ประทับใจ ว่างเป็นต้องช่วยงานพี่พยาบาล จนพี่ๆเรียกเราหมอล่วงหน้าก่อน

ผมจึงไม่แปลกใจอะไรเลยกับงานที่หนักหนาจำเจ ไม่สะอาด และอีกต่างๆนานาฯลฯ จนมาบัดนี้เฉยๆกะงาน ไม่รู้สึกอะไรกับบุคลกรด้านนี้

มนุษย์ทุกคนมีสิทธิเจ็บป่วยได้ เมื่อป่วยเอง แม๊เป็นถึง อ.ก็ต้องลดเกรดเป็นคนไข้นอนน้ำตาซึมบนเตียงไม่ใหญ่เหมือนเคย ก็เลยวางใจให้เป็นกลางๆ ไม่คิดมาก เรื่อยๆ แหะๆ (แวะคุยด้วยครับ)

By kimeng suk: เรียนหมอเรียนได้ แต่จะสบายหน่อยถ้าเป็นอาจารย์ในโรงเรียนแพทย์ มีแพทย์รุ่นน้องๆให้ถูกตามก่อนจะมาถึงอาจารย์ นานๆถึงจะถูกตามครั้งหนึ่ง ชีวิตสบายกว่าหมอตามโรงพยาบาลต่างๆ แต่เบื่ออ่านหนังสือ ต้องอ่านๆให้ทันเขา

เป็นแพทย์ดีตรงที่ไม่ต้องหางานทำ จบแล้วมีงานเลย พ่อแม่สบายใจได้ว่าอย่างไร ลูกมีงานทำแน่นอน แต่ในอนาคตไม่แน่ถ้าจบกันมามากๆ รายได้เทียบกับเรียนอย่างอื่นก็ดีกว่า มั่นคงกว่า แต่ต้องทำใจ เอารายได้มาก เขาจ่ายมาแพง ก็ใช้เราคุ้ม เหนื่อยขี้ข้า

By KMD: สุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจเป็นสำคัญ เงินน้อยก็แค่ลำบากกาย ไม่ใช่ทุกข์ และสบายกายก็ไม่ได้หมายว่ามีสุข กิเลสและตัณหาเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ แม้มีเงินมาก แต่ถ้าไม่เคยพอใจ ก็ยังทุรนทุรายดิ้นรนหาทางสนองกิเลสตัณหา จึงเป็นทุกข์อยู่ตลอด ที่สำคัญ สุขและทุกข์ไม่ใช่เรื่องเปรียบเทียบกันได้ เพราะเราวัดความพอใจ (เป็นสุข) หรือความไม่พอใจ (เป็นทุกข์) ของคนอื่นไม่ได้

การที่ท่านเอาตัวไปเปรียบเทียบกับพี่สาวของท่านต่างหากละที่แสดงว่าท่านไม่ได้พอใจในชีวิตของท่าน ท่านจึงยังมีทุกข์อยู่ บุญที่ท่านทำจะสร้างสุขให้ท่านได้ มันต้องทำให้ท่านรู้สุขอิ่มเอิบ ไม่ใช่เพราะหลวงพ่อท่านบอกนะครับ

เรื่องอาชีพนั้น ผมเห็นแต่เด็กๆแล้วว่า หมอไม่ใช่อาชีพที่น่าสนใจหรือน่าตื่นเต้นอะไร ผมจึงไม่เคยสนใจอยากเรียนเป็นนายแพทย์เลย เมื่อท่านเห็นว่าอาชีพหมอลำบากแล้ว ทำไมสนับสนุนให้ลูกเรียนหมอละครับ

By kimeng suk: เขาอยากเรียนเอง และเขาตั้งใจไปเป็นอาจารย์แพทย์ไม่มาทำงานแบบเวชปฏิบัติ ไปเป็นนักวิชาการ ซึ่งก็จะสบายกว่า งานไม่หนัก มีเกียรติ รายได้ก็อยู่ได้

By KMD: คิดง่ายแบบเด็กๆ นะครับ แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็คิดกันเช่นนี้ คือคิดเรียนหนังสือให้สูงสุดโดยเร็วแล้วจะมีความรู้ มีเงินเดือนสูง และมีเกียรติมีชื่อเสียง ระบบราชการไทยก็เป็นเช่นนั้น คือคนจบใหม่แล้วรับราชการเลย ได้เปรียบ อาจารย์มหาวิทยาลัยในเมืองไทยส่วนใหญ่จึงทำงาน (ที่ไม่ใช่การสอนหนังสือ) กันไม่เป็น การศึกษาไทยถึงได้ล้มเหลว อย่างเช่นทุกวันนี้

ใช่ครับ แพทย์ ผู้มีชื่อเสียงเป็นที่นับถือของคนทั่วไปได้ในปัจจุบัน เป็นอาจารย์สอนนักศึกษาแพทย์ในมหาวิทยาลัยทั้งนั้น แต่ท่านเหล่านั้นมีชื่อเสียงได้ก็ด้วยผลงานเวชปฏิบัติของท่าน ที่คนไข้ได้บอกต่อๆกัน ไม่ใช่เพราะความเป็นอาจารย์แพทย์ของท่าน

อ่านแต่ในหนังสือ ไม่เห็นและประสพปัญหาจริง แล้วจะพัฒนาหาความรู้เพื่อสร้างชื่อเสียงได้อย่างไร ผมเข้าใจว่างานแพทย์ จะเชี่ยวชาญได้ ต้องมีประสบการณ์จริงครับ

By kimeng suk: หมายถึงว่าลูกสาวเขาไม่อยากจะ เปิดคลินิก ไม่อยากจะมาทำเวชปฏิบัติในโรงพยาบาลทั่วไป ซึ่งหนักมาก เขาเป็นอาจารย์ อ่านๆๆๆๆและสอนๆๆๆและเวชปฏิบัติในโรงเรียนแพทย์ก็พอแล้ว เขาพอใจแล้ว อาจารย์แพทย์ของเราก็ทำเช่นนี้ แต่ที่ไปเปิดคลินิกส่วนตัวมันเป็นเรื่องการอยากมีรายได้เพิ่มเป็นเรื่องของท่าน

ที่เปรียบเทียบให้เห็นก็เพื่อที่จะบอกให้รู้ว่า คนเรานี้มีต้นทุนบุญ ที่ติดตัวมาแต่เกิดไม่เท่ากัน คนมีบุญมาก บุญก็จะพาชีวิตให้ดำเนินไปสู่ความสุข เกิดมาก็ออกแรงดิ้นรนเพียงเล็กน้อยก็ประสพความสำเร็จ แต่บางคนบุญมีน้อย เกิดมาก็ต้องดิ้นรนอย่างมาก ก็ยังไม่สำเร็จเพราะไม่มีบุญเก่ามาเสริม ชาตินี้เรายังเป็นอย่างนี้ ชาติหน้าก็จะเป็นแบบนี้อีก

ฉะนั้นถ้าเราไม่สั่งสมบุญในชาตินี้ให้มากๆ เพื่อจะให้เรามีบุญมากในชาติหน้า จะหนีไม่พ้นวังวนแบบเก่าซ้ำซากแบบเดิมๆๆ จนกว่าชาติใดชาติหนึ่ง เราเกิดไปสร้างบุญอะไรที่มากพอ บุญนั้นก็จะพาเราหลุดออกมาได้ มิฉะนั้นก็จะวนไม่มีสิ้นสุดจนกว่าจะหมดกรรมนั้นๆ (จากพระไตรปิฎก)

เรื่องของพี่สาวและตัวเรา ชีวิตแตกต่างกันก็เพราะ กรรมดีและกรรมชั่วที่ต่างคนต่างมี พี่สาวต้องมีบุญเรื่องการทำทานมามากกว่าเราในชาติก่อน บุญจึงมาส่งผลให้รวยกว่าในชาตินี้ แต่เขาไม่ได้ทำสมาธิภาวนาในชาติก่อน จึงเรียนไม่เก่ง

ส่วนเรา มีบุญที่ได้ทำสมาธิ ภาวนาในชาติก่อนมามากกว่าพี่สาว ถึงได้มีปัญญา เรียนเก่งกว่า แต่ไม่มีบุญจากการทำทานมากเท่าพี่สาว จึงไม่รวยเหมือนเขา ชาติก่อนเราคงเป็นคนขี้เหนียว ตะหนี่ และอาจจะไปโกงใครมาก็ได้ จึงทำให้เจ๊งหุ้นไป

By KMD: การเชื่อเรื่องทำบุญแล้วได้ผลดีในชาติหน้า เป็นศรัทธาในศาสนาพุทธในระดับชาวบ้าน ผมก็เคยเชื่อแบบนั้นเมื่อยังเป็นเด็ก เมื่อมีประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น มีความรู้เพิ่มขึ้น พิจารณาไตร่ตรองนานขึ้น ก็ขอสารภาพว่า ศรัทธาในรูปแบบนี้ลดลงเรื่อยๆ จนเดี๋ยวนี้ ไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม (ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว) แล้วครับ

ในทางชีววิทยา สิ่งมีชีวิต ดำรงชีวิต และดำรงเผ่าพันธุ์ตนเองได้ก็ด้วยกิเลสตัณหาและการเบียดเบียนชีวิตอื่น พิเคราะห์ดูแล้ว เศรษฐีทั้งหลายทั้งที่ชอบทำบุญและชอบทำบาป ร่ำรวยมหาศาลได้ก็ด้วยความโลภในจิตผลักดันทั้งนั้น แล้วเป็นไปได้หรือที่ในอดีตชาติคนเหล่านี้จะเป็นคนใจบุญ (มีความโลภน้อย) และทำบุญด้วยใจที่เป็นกุศล การทำบุญเพื่อหวังลงทุนไว้ชาติหน้า ใจย่อมไม่ใช่โดยจิตกุศลครับ มิฉะนั้นคนจนจะไม่มีโอกาสเกิดเป็นเศรษฐีเลยเพราะพวกเขาไม่มีเงินทำบุญมากๆ แล้วทำไมฆาตรกรโหดร้ายทั้งหลาย ซึ่งมีจิตใจชั่วช้าในชาตินี้ จึงเป็นคนดีในอดีตชาติจนได้เกิดเป็นคนในชาติปัจจุบันได้ เสือที่ต้องดำรงชีพด้วยการฆ่า (บาป) มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์ไหม

By boy: สิ่งมีชีวิต บางอย่าง เช่น วัว ควาย มันก็กินแต่หญ้า นะ หรือ แร้ง ก็กินแต่ซากของสัตว์ ที่ตายแล้ว ไม่น่าจะเรียกว่า เบียดเบียนใคร

By KMD: พืชก็สิ่งมีชีวิตที่ต้องการดำรงชีวิตและต้องการแพร่พันธุ์ตนเองเหมือนกัน ต่างจากสัตว์ตรงไหน หากบอกว่าพืชไม่มีวิญญาณ โปรดนิยามคำว่าวิญญาณด้วย จะได้รู้ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดใดมีวิญญาณที่นำมากินแล้วบาปบ้าง สัตว์ตั้งแต่ระดับไหนขึ้นมา วัว ควาย แม้ไม่ฆ่าสัตว์เพื่อดำรงชีพ แต่มันก็ทำร้ายกันเองเพื่อแย่งกันสืบพันธุ์ ก็ไม่พ้นเบียดเบียนกันเองเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์เหมือนกัน แล้วเพราะกินพืชโดยธรรมชาติ ถือทำบุญไหม

By kimeng suk: วิญญาณคือสิ่งที่ต้องมี เห็นจำคิดรู้ ประกอบกันขึ้นมา แต่ไม่มีตัวตน พืชไม่มีเห็นจำคิดรู้ พระพุทธองค์ถือว่าไม่มีวิญญาณ สัตว์มีวิญญาณ มีเห็นจำคิดรู้ จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร

By KMD: ท่านเรียนชีววิทยามากกว่าผม อยากทราบว่า สัตว์ตั้งแต่ phylum หรือสัตว์ multicells ระดับไหนขึ้นมาครับ ที่มีวิญญาณ แล้วทำไมสัตว์ต่ำกว่านั้นจึงไม่มีวิญญาณ

สัตว์ชั้นต่ำก็มีการกิน การสืบพันธุ์ การหนีตาย แล้วต่างอะไรกับสัตว์ที่มีวิญญาณ (ตามความหมายของท่าน) ครับ

Hydra มีวิญญาณไหม หนอนมีไหม

By tweepsai: อย่างน้อยก็ไปเบียดเบียน หนอน แบคทีเรีย แมลงเล็กๆ ล่ะครับ

By kimeng suk: พระพุทธเจ้ายังทรงยกลูกของตัวเองให้ชูชก เพื่อหวังผลบุญที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แล้วคนธรรมดาทำบุญเพื่อสั่งสมบุญให้ชีวิตของตัวเอง ดีขึ้นมันผิดตรงไหน หรือจะให้ทุกคนไม่ต้องทำความดี ไม่ต้องทำทานเพราะหาว่ามีความโลภในบุญ ใช่ไหม พระพุทธเจ้าไม่เคยทรงห้ามการสั่งสมบุญ ทำบุญแล้วยังทรงให้อธิษฐานจิต เพื่อสั่งสมอธิษฐานบารมีด้วยซ้ำ นางวิสาขาในชาติหนึ่งยังถวายผ้าจีวรจำนวนมาก แล้วยังอธิษฐาน หวังขอเป็น มหาอุบาสิกาในภพชาติต่อไป

ฆาตกรโหดร้ายที่มาเกิดเป็นคนได้ในชาตินี้ อาจจะมาจาก หลายทาง

1)ไปตกนรก เปรต อสุรกาย สัตว์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือตามขั้นตอน ใช้บาปกรรมหมดแล้ว บุญก็ไม่มีขึ้นสวรรค์ไม่ได้ ก็มาเกิดเป็นคน เพื่อเลือกที่อยู่ใหม่ พวกนี้ก็อาจจะกลับมาใจชั่วอย่างเดิม หรืออาจเป็นคนดีก็ได้ ใจคนเราไม่คงที่ มิฉะนั้นคนชั่วก็เปลี่ยนใจเป็นคนดีไม่ได้ซิ เอาแค่บางคนไปบวช ยังเปลี่ยนตัวเองเป็นคนดีได้เลย องคุลีมาลย์ฆ่าคน 999 คนสุดท้ายใจยังเปลี่ยนเป็นพระอรหันต์ได้ นั่นสุดยอดของความดีเลยนะ

2)เป็นคนที่ดีในชาติก่อน หมดบุญจากสวรรค์ลงมาเกิดใหม่ แต่เผลอปล่อยใจทำความชั่วตอนเป็นมนุษย์ชาตินี้ เลยกลายเป็นฆาตกร เพราะเป็นคนดีชาติก่อนก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนดีในชาตินี้ด้วย อะไรมันก็เปลี่ยนได้ พระพุทธเจ้าถึงบออกว่า มีภัยในวัฏฏสงสาร ชาติก่อนดี อยู่สวรรค์ ชาตินี้เผลอใจทำชั่ว ก็จะตกนรกได้

3)ตายจากคนก็เกิดเป็นคนอีก จะดีหรือไม่ดี ใจคนมันเปลี่ยนได้ มันมาเกิดเป็นเสือเพราะทำกรรมในอดีตชาติ อะไรซักอย่างทำให้มันต้องมาเกิดเป็นเสือชาตินี้ ชาติต่อไปอาจจะไปเป็นอะไรก็ได้ วนเวียนอยู่จนหมดกรรมที่ได้กระทำมา บุญหรือบาปกรรมนั้น ถ้าทำตอนเป็นมนุษย์จะส่งผลหลายภพชาติ แต่มันเป็นเสือ เป็นสัตว์ จิตสำนึกเรื่องบาปบุญคุณโทษไม่มี อันเป็นธรรมดาของสัตว์ แต่คนมีจิตสำนึกนี้ เราถึงต้องมีกรรมติดตัวไปในภพชาติอื่นๆ

By KMD: ท่านหมอศรัทธา ก็เรื่องของท่านหมอครับ ผมมีวิกิจฉา (ข้อสงสัย) สูงมากเกินไป จึงเปลี่ยนจากเชื่อ เป็นไม่เชื่อ

เรื่องชาดกเป็นเรื่องความเชื่อล้วนๆ ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนตามที่คนไทยเราเชื่อกัน เพราะพุทธนิกายอื่น ก็ไม่มีเรื่องชาดกที่เหมือนเรา พระไตรปิฎกของศาสนาพุทธแต่ละนิกายมีรายละเอียดห่างกันมากครับ

เรื่องเวียนว่ายตายเกิดเป็นอนันตชาติ ก็ความเชื่อล้วนๆ ไม่มีหลักฐานเช่นกัน ถ้าเป็นไปตามความเชื่อนี้ อดีตชาติเก่าๆของมนุษย์ปัจจุบันก็ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ เพราะโลกใบนี้เพิ่งมีมนุษย์ที่มีซิวิไลซ์ตามชาดก ก็เพิ่งหมื่นกว่าปีนี้เองเป็นอย่างมาก (มนุษย์เพิ่งมีจำนวนมากและรวมตัวกันอยู่ในนครรัฐก็ยังไม่ถึงหนึ่งหมื่นปีด้วยซ้ำ)

คนเราเปลี่ยนใจ (ความคิดและความเชื่อ) กันง่าย แต่เปลี่ยนนิสัยสันดานยากครับ โลภะ โมหะ โทสะ อยู่ในสันดานครับ ไม่เคยเห็นใครเปลี่ยนนิสัยและสันดานนี้โดยฉับพลัน แต่เปลี่ยนเนื่องจากวัย ซึ่งสาเหตุที่สำคัญมาจากฮอร์โมนเปลี่ยน

ที่พูดมาทั้งหมด ผมไม่ได้ต่อต้านหรือโต้แย้งพระพุทธศาสนา เพียงแต่โต้แย้งความเชื่อของศาสนิกชนชาวพุทธบางกลุ่มครับ

By tweepsai: ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค หาสาเหตุให้ได้ว่าทำไมเราถึง เจ๊งหุ้น เช่น ซื้อตามเขาไป ไม่มีความรู้ โลภ ไม่มีเวลาติดตาม ฯลฯ ถ้าจะพูดถึงธรรมะ ต้องเข้าใจคำสอนด้วย ไม่ใช่มีปัญหาก็บอกว่า ชาติที่แล้วทำบุญมาน้อย อย่างนี้ไม่ใช่คิดแบบ ธรรมะ

By แดงเข้ากระดูก: เอาเงิน เอาทองไปให้พระที่มีคนบริจาคมากๆ กับการที่เราไปช่วยชีวิตครอบครัวหนึ่งที่หมดหวังสู้แทบขาดใจแต่ปัญหามากมายเจ็บป่วยสารพัดเรื่องประดังประเดเข้ามา เราไม่มีเงินเยอะแต่มอบให้พอที่จะช่วยชีวิตครอบครัวนี้ไปได้ครึ่งปี และพวกเขาก็ฟื้นตัวขึ้นมาต่อสู้กับชีวิตได้ดีพอสมควร เรารู้สึกดีใจมากๆที่เราไม่ได้เอาเงินไปให้พระที่ร่ำรวย อยากถามว่า ทำบุญกับพระ กับทำบุญกับคน จะรู้ได้อย่างไรว่าทำบุญเยอะได้บุญเยอะ ทำบุญน้อยได้บุญน้อยหรือทำกับพระ หรือทำกับคน (งงคำถามตัวเอง) ขอโทษที่นอกเรื่อง พินาแล้วตอบไม่ถูกนะที่คุณหมอถาม เพราะความสุขของคนมันไม่เหมือนกัน กับ ถ้าเราคิดว่าใจเราสุข เรื่องเงินน่าจะเป็นเรื่องที่สองนะ

By kimeng suk: พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนว่า ทำบุญต้องเลือกเนื้อนาบุญ ซึ่งหมายถึงผู้ที่รับทานของเราไปนั้น ถ้าจิตใจบริสุทธิ์เท่าไหร่ ก็ยิ่งได้บุญมากเท่านั้น ทรงกล่าวว่า ทำบุญกับสัตว์ทำ10 ส่วน ได้บุญ 100 ส่วน ทำกับคนทุศีล ได้ 1,000 ส่วน ทำกับคนมีศีล 5 ได้ 10,000 ส่วน ทำกับพระได้ เป็นล้านส่วน ยิ่งพระผู้ปราศจากกิเลศยิ่งได้บุญมากไม่สามารถคำนวณได้ นี่ไม่ได้พูดเอาเองนะ มาจากคำสอนของพระพุทธองค์จริงๆ

เอาเงินไปช่วยคนจนเจ็บป่วยก็ได้บุญนะ แต่เราลองมาคิดดูว่า คนจนได้เงินเราก็ฟื้นตัวอยู่ได้ เจ็บไข้ได้ป่วยก็หาย ต่อชีวิตเขาได้ บุญมากโขอยู่ แต่เขาไม่ได้ช่วยคนอื่นเลยนะ ช่วยได้แต่ครอบครัวของเขาเท่านั้น จะมีกี่คนที่จะไปช่วยคนอื่นต่อ

แต่ถ้ามีพระองค์หนึ่ง เป็นพระที่ช่วยสอนคนให้เป็นคนดี ให้รู้จักมีศีล มีธรรม ไม่เบียดเบียนคนอื่น ทำประโยชน์ให้คนอื่น ไม่ก่อความเดือดร้อนแก่สังคม สอนคนให้เป็นคนดีแค่หนึ่งคน ลดความเดือดร้อนแก่คนอื่นได้มากมาย อย่างฮิตเล่อร์ ถ้ามีคนไปสอนเขาให้เข้าใจบาปกลัวบาป เขาก็จะไม่ฆ่าคนยิวถึง 6 ล้านคน

โลกเรามันเดือดร้อนทุกวันนี้ก็ที่ใจเป็นใหญ่ สงครามโลกเกิดขึ้นก็เพราะใจใช่ไหม ถ้ามีพระช่วยสอนให้คนมีใจที่ดีมากๆทั้งโลก ความสงบก็จะเกิดขึ้นได้

เราทำบุญกับท่านๆก็เอาไปใช้ประโยชน์ต่อมากมายเพื่อให้เกิดความสงบร่มเย็นของสังคมขึ้นมา เรารู้ว่าท่านทำจริง เงินของเรามีประโยชน์จริง เราถึงอยากทำบุญกับท่าน เพราะรู้เห็นว่าท่านไม่ได้เอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว ผลงานมีมากมายให้เราเห็น ประโยชน์ต่อมนุษย์มันต่างกันกับช่วยคนๆเดียว

แต่ถึงอย่างไรเราก็เลือกทำบุญกับพระที่เป็นพระแท้และทำดีจริงๆ ทำบุญต้องเลือกเนื้อนาบุญไง และเราก็ไม่ลืมที่จะแบ่งทำทานกับคนทั่วๆไปด้วย เป็นการสงเคราะห์โลก

By KMD: พระสงฆ์สอนว่า พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญชั้นดีนั้น เป็นเรื่องของประโยชน์ทับซ้อนครับ ในสมัยพุทธกาล ชาวบ้านยังอยู่กันอย่างยากชนข้นแค้นเป็นส่วนใหญ่ พระภิกษุก็ยากจนเหมือนชาวบ้าน แถมพระวินัยซึ่งไม่ได้ยินยอมให้พระภิกษุสะสมทรัพย์อีกต่างหาก การทำบุญกับพระภิกษุที่ยากจนเหมือนชาวบ้านแล้วได้บุญมากกว่าการให้ทานชาวบ้าน จึงมีเหตุผลครับ

แต่ปัจจุบัน พระภิกษุร่ำรวยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะธรรมกาย ผมว่าเหตุผลนี้ ใช้ไม่ได้แล้ว

By kimeng suk: ถ้าพระท่านได้ปัจจัยมาแล้วนำเอาไปทำประโยชน์แก่มวลมนุษย์จริงๆ เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน ทั้งการดำเนินการ การก่อสร้างบอกอย่างไรทำอย่างนั้นทำเพื่ออะไรก็บอก และก็เห็นประโยชน์ชัดเจน มีหลักมีฐาน สอบทานได้ตลอดเวลา ไม่มีการปิดบัง กิจกรรมต่างๆก็เปิดเผยทั้งในและต่างประเทศ เราบริจาคไปก็เพราะเราเห็นว่า เขาทำจริงเอาเงินของเราไปใช้เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์จริงๆ นี่ต่างหากละที่ทำให้คนบริจาคมากมาย

By KMD: ผมยังไม่เห็นประสิทธิผลของธรรมกายที่ทำให้คนเป็นคนดี เห็นแต่การสร้างภาพ เห็นแต่ศิษย์ธรรมกายมีแต่ความโลภ และโมหะ ไม่รู้ว่ามาจากเหตุที่สอนให้ทำบุญมากๆ เพื่อชาติหน้าหรือเปล่า เห็นแต่ศิษย์ธรรมกาย ที่ยังแสดงอาการยึดติดมากๆ กับนรก สวรรค์ ชาตินี้ชาติหน้า หลงใหลในอัตตาตัวเอง และภาพหลอนในระหว่างเข้าสมาธิ ที่สำคัญคือยังแสดงอาการมีทุกข์อยู่มาก ศรัทธาในศาสนา กับความงมงาย มันใกล้กันมากครับ

ผมขัดคอมากแล้ว ขอโทษครับ เปลี่ยนผู้อาวุโสอย่างท่านไม่ได้หรอก

By นาปลัง: ผมว่าพี่สาวนะเขามีบุญ คิดทำสิ่งใดได้สมความปรารถนา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความสุขอยู่ที่ใจ ก็ไม่ทราบว่าพี่สาวท่านสุขกายสบายใจหรือเปล่า ตัวพี่สาวหรือตัวท่านเองนั่นแหละจะรู้ดีที่สุด

By นานา: ความสุขอยู่ตัวเราเป็นคนกำหนด เรื่องบุญมากหรือน้อยอยู่เราคิด หากเราไม่คิดเปรียบเทียบกับใคร เราก็จะมีความสุขมากขึ้น

By sri123: ตอนเล็กๆ แม่สอนว่า ลูกอย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใครเลยนะคะ ถ้าเมื่อไหร่ที่เกิดการเปรียบเทียบ นั่นแปลว่า ลูกกำลังดูถูกตัวเอง

พอโตขึ้นมา สิ่งที่สอนตัวเองทุกวัน อดีต แก้ไขไม่ได้ ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด นั่นคือความสุขที่เราเลือกทำได้ค่ะ

แวะมาทักทายคุณหมอเฉยๆ เรื่องคนอื่นเป็นยังไง เราก็แค่คนมอง รู้อะไร ไม่สู้รู้ใจตัวเอง แบบนั้น ก็เลยตอบแทนชีวิตคนอื่นไม่ได้ค่ะ...

By khunpee: เกิดมาก็ไม่มีอะไรติดมาเลย ทุกอย่างที่เห็นที่เป็นในเวลานี้ก็ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง หมั่นสร้างบุญสร้างกุศลเถอะค่ะ เวลาเราเหลือน้อยลงทุกที ถ้ามันจะตายไปก็ไม่สามารถเอาอะไรไปด้วยแม้สลึงเดียว บาปและบุญที่เราทำในตอนมีชีวิตนี่แหละเป็นเพื่อนตายของเรา มันจะตามเราไปทุกหนทุกแห่งทุกภพทุกชาติ

วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

85 อะไรทำให้ รวยและ รวย จากคนจนสุดๆกลายเป็นเศรษฐีใหญ่ By: kimeng suk

@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
@ เข้าครัว...ทำกับข้าวคลายเครียด!! ผมทำได้ คุณก็ทำได้ครับ
@ 54... "นายกฯปู" สวมชุดนักบินเหินฟ้าชมการใช้กำลังทางอากาศ
@ สถานีรถไฟจีน แล้วลองย้อนมาดูเรา...
@ เรื่อง... ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112
@ สนทนากับทักษิณ "ผู้ต้องสงสัย" แห่งประเทศไทย Conversations with Thaksin, Thailand's prime suspect
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ ชุดที่1
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน เวียดนาม ชุดที่2
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน สิงคโปร์ ชุดที่3
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน อินเดีย ชุดที่4
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ฟิลิปปินส์ ชุดที่5
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ร่วมประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ ชุดที่6
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน มาเลเซีย ชุดที่7
@ 81 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือนกองทัพไทย
@ ภาพชุดงานสโมสรสันนิบาต วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5ธ.ค.2554

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...


ขอขอบคุณและขออนุญาตคุณ kimeng suk นำข้อเขียนของท่านมาลงไว้เว็บนี้นะครับ


อะไรทำให้ รวยและ รวย จากคนจนสุดๆกลายเป็นเศรษฐีใหญ่
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค

ตอนที่1 "ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา"
ตอนที่2 "คนไข้คนแรกของหมอใหม่หมาดๆ"
ตอนที่3 "ผีหลอกหมอ"
ตอนที่5 "ถูกพ่อดูถูกถึงได้เป็นหมอ"
ตอนที่6 "ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมเป็นหมอทำแท้ง"
ตอนที่7 "ทำไมถึงจนอย่างนี้"
ตอนที่8 "อีแปะมันหด-อัศจรรย์ปาฏิหาริย์-โด่ไม่รู้ล้ม"

เราเป็นลูกครึ่งไทยจีน เตี่ยเป็นคนจีนไหหลำ แม่เป็นคนทางเหนือแท้ๆ เตี่ยมาจากเมืองจีนตั้งแต่อายุ 13 ปี เพราะอยู่ที่เมืองจีน จนมากแทบไม่มีอะไรจะกิน

เตี่ยเล่าว่า บางครั้งต้องเอาก้อนหิน มาผัดกับน้ำมัน แล้วดูดกินน้ำมันจากก้อนหิน กินกับข้าวต้ม หรือบางทีก็เอาปลาทูตัวหนึ่งแขวนไว้กลางวงกินข้าว ให้พุ้ยข้าวต้มพร้อมกับมองปลาทูไป (นี่เป็นเรื่องจริง) อดมื้อกินมื้อ ลำบากมาก เสื้อผ้าก็แทบไม่มีจะใส่ เงินไม่มีติดบ้าน งานก็ไม่มีทำ เพาะปลูกก็ไม่ค่อยได้ผล เพราะ ไม่มีน้ำ พ่อแม่ก็มีลูกหลายคน แย่งกันกิน เจ็บป่วยก็ปล่อยให้ตายเพราะไม่มีเงินรักษา

เตี่ยจึงมาอยู่เมืองไทย ตอนมา เตี่ยจนมากๆ แทบไม่มีข้าวกิน ไปเป็นลูกจ้างร้านขายอะไหล่รถยนต์ญาติกัน เตี่ย มีเสื้อผ้าอยู่เพียงชุดเดียว กลางวันใส่ กลางคืนซัก โดยใส่ผ้าขาวม้าแทนกลางคืน ถูกเจ้าของร้านด่าว่า เคี่ยวเข็ญ ใช้งานหนักมาก ทำทุกอย่าง แทบไม่มีเวลาพักผ่อน และถูกดูถูกดูหมิ่น ซึ่งมันทำให้เตี่ยมีมานะจึงเป็นคนขยันขันแข็งมาก กล้าคิดกล้าทำดังนั้น พอเก็บเงินได้บ้าง เตี่ยก็ออกไปเปิดร้านขายกาแฟในตลาดสด ชงเอง บริการเอง เก็บเงินเอง ทำคนเดียวทุกอย่าง

ไปเจอแม่ซึ่งมาขายแหนมในตลาด เกิดรักกัน จึงไปสู่ขอกับแม่ของแม่ หรือยายเรา แต่ยายไม่ยอมยกให้ ดูถูกบอกว่าเป็นเจ็กเป็นจีน ไม่เอาไม่อยากเกี่ยวข้อง เตี่ยจึงพาแม่วิวาห์เหาะ ไปอยู่ที่อื่นซักพักหนึ่งก็กลับมาขอขมา ยายก็จำเป็นต้องรับการขอขมานั้น เตี่ยแม่เป็นคนใจบุญชอบทำทาน และกตัญญูรู้คุณคนมาก และเตี่ยแม่ก็ได้ดูแลยายจนตาย

ต่อมาเตี่ยเปิดร้านตัดเย็บเสื้อผ้า, ขายของชำ และส่งของทางเหนือเช่น หอม กระเทียม ครั่ง ลงแพ ล่องลงไปขายที่กรุงเทพฯ โดยมีแม่ช่วยงานอย่างขยันขันแข็ง และมีลูกด้วยกันทั้งหมด 15 คน ตายไป 3 คน เหลือ 12 คน

จำได้ว่าเรายังต้องช่วยแม่ตากครั่ง ตากกระเทียมด้วย ต้องช่วยทำงานหนักกับครอบครัวตั้งแต่เล็กๆ เตี่ยจะบอกว่าถ้าทำงานอะไรแล้วต้องทำให้เสร็จทุกครั้ง ซึ่งทำให้เราเป็นคนทำอะไรแล้วเอาจริงจนปัจจุบันนี้

ตอนสงครามโลกครั้งที่สอง ชีวิตเตี่ยก็เปลี่ยนแปลง รวยขึ้นโดยไม่คาดฝัน เล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครคิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้ แต่นี่เป็นเรื่องจริงที่เตี่ยเล่าให้ลูกๆฟังอย่างภาคภูมิใจ เล่าบ่อยมากจนลูกๆจำได้ทุกคำพูด

ครั้งหนึ่งเตี่ยเอาหอม กระเทียม ใส่แพล่องลงมากรุงเทพฯ มากันหลายแพ พอมาถึงสะพานพระรามหก ก็จอดแพหยุดพักใต้สะพานพร้อมๆกับแพอื่นๆ เตี่ยกำลังนอนหลับอยู่ในแพ มีเครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตร บินมาทิ้งระเบิดสะพาน แพที่อยู่ใต้สะพาน โดนระเบิดจมลงหมด ยกเว้นแพของเตี่ย รอดอยู่แพเดียว เลยกลายเป็นว่าเตี่ยขายของได้ราคาดีมาก คนแย่งกันซื้อ ราคาเพิ่มขึ้น สามสี่เท่า เตี่ยเริ่มมีเงินมากขึ้น

ต่อมาอีกครั้งหนึ่งเตี่ยและเพื่อนก็เอาของใส่แพ ล่องลงมากรุงเทพฯพร้อมๆกัน ประมาณหกแพ พอขายของที่กรุงเทพฯเสร็จก็บรรทุกเกลือลงแพเพื่อจะเอากลับมาขาย และให้เรือลากจูงกลับ มาพักค้างคืนที่จังหวัดตาก ตกกลางคืนมีโจรมาปล้นขึ้นปล้นทุกแพ เตี่ยเล่าว่า เตี่ยกลัวมาก นั่งหลบอยู่กับกระสอบใส่เงินที่ขายหอมกระเทียมได้

น่าแปลกมากที่โจรมันเดินผ่านเตี่ยไปมา มันมองไม่เห็นเตี่ย เงินในกระสอบ และเกลือ มันจึงไม่แตะต้องของในแพนี้เลย แพอื่นๆโดนกันถ้วนหน้า บางแพก็ถูกมันจมลง หมดตัวกันทุกคน เตี่ยก็แปลกใจว่าทำไมมันไม่ปล้นเตี่ย และมองไม่เห็นเตี่ยทั้งๆที่เตี่ยนั่งตัวสั่นแอบอยู่ตรงหน้าโจร เตี่ยไม่ได้พกพระเครื่องหรืออะไรทั้งนั้น เตี่ยเล่าทีไรก็ภูมิใจตรงนี้มาก บอกว่าเตี่ยเฮงมากๆ

พอกลับมาถึงบ้าน เตี่ยก็ขายเกลือได้ราคาดีมาก เพราะเกลือขาดแคลน เตี่ยก็เริ่มมีเงิน กลายเป็นเถ้าแก่ใหญ่ เริ่มสร้างโรงเลื่อย โรงน้ำแข็ง และกิจการอื่นๆ มีฐานะเข้าขั้นเศรษฐีของภาคเหนือ และโอนสัญชาติเป็นคนไทย และเอาพี่น้องจากเมืองจีนมาอยู่เมืองไทยกันทุกคน โดยมีเตี่ยเป็นฐานให้ที่พักอาศัยและ เงินทุนให้ก่อน

สงครามสงบลง เตี่ยก็ส่งเงินไปเมืองจีนจำนวนมาก ไปชื้อที่นาที่เกาะไหหลำ ให้เหล่ามา หรือย่าที่อยู่ที่โน่น ซื้อเกือบทั้งตำบล ย่ากลายเป็นเศรษฐีใหญ่มีหน้ามีตาของตำบลนั้น จากครอบครัวที่จนสุดๆ

แต่อะไรมันก็ไม่แน่นอน ย่ารวยอยู่ไม่นาน ประเทศจีนก็เปลี่ยนการปกครองเป็นคอมมูนิสต์ คนรวยถูกหาว่าเป็นชนชั้นนายทุน รัฐบาลยึดที่ดินของคนรวยมาแจกให้คนจนทำกิน ที่ดินของย่าถูกยึดหมด แม้แต่บ้านที่อาศัยก็ต้องให้คนอื่นมาอาศัยอยู่ร่วมด้วย แถมย่ายัง ถูกบังคับให้เดินไปตามถนน ป่าวประกาศให้ชาวบ้านมาดูและเอา ขี้วัว ขี้คน ก้อนหินปา บาดเจ็บเกือบจะต้องตาย

เตี่ยที่เมืองไทยสูญที่นาเมืองจีนหมด แต่ก็ไม่ย่อท้อ ตั้งหน้าทำงานหาเงินอย่างเดิม แต่เตี่ยเสียใจอยู่อย่างหนึ่งก็คือเอาเงินไปซื้อที่ๆเมืองจีนหมดเพื่อให้ย่ากลายเป็นเศรษฐี ไม่ให้ใครมาดูถูกย่า แทนที่จะซื้อที่เมืองไทยไว้มากๆ ลูกหลานจะได้อยู่สุขสบายกว่านี้ แต่ถึงอย่างไรลูกๆของเตี่ยก็ได้เรียนกันสูงๆ จบจากเมืองนอกเมืองนากันเกือบทุกคน

อ่านเรื่องนี้ท่านคิดกันอย่างไรบ้าง ช่วยออกความเห็นกันหน่อยค่ะ เพราะข้อคิดของแต่ละท่านอาจจะมีประโยชน์ต่อคนบางคนบ้าง อย่างน้อยๆก็สะกิดใจกันบ้าง

By squall: เรื่องเล่าน่าสนุกดี บ้านผมมา ปู่ทวดมาอยู่ ตั้งแต่ก่อน 2470 ซะอีกมั้ง 3 ชั่วอายุคนละ ไม่เห็นจะเป็นมหาเศรษฐีเลย คนจีนไม่ได้ร่ำรวยไปซะทุกคนหรอกครับ คนฉลาดทำมาหากิน รู้จักเข้าหาผู้ใหญ่ ถึงจะร่ำรวย พวกทำมาค้าขาย เก็บออม ก็ไม่รู้จะกี่อายุคน มีไม่กี่ตระกูลหรอกครับที่ร่ำรวยจริงๆ แต่ยอมรับอย่าง คนจีน นิยมให้ลูกหลานเรียน มากกว่าคนไทยแท้ๆ เห็นความสำคัญของการศึกษาเอามากๆ พ่อผมนี่ โดนคุณย่าบังคับให้เรียน

By sri123: คนจนกลับมี คนมีกลับจน เพราะ ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน และสินทรัพย์ที่ใครก็แย่งเราไปไม่ได้ นั่นคือวิชา และความรู้ การศึกษา เป็นสมบัติที่มีค่าที่พ่อ แม่ พึงให้ลูกที่สุดค่ะ...

เอาอันดับล่าสุดมาฝากค่ะ

จากการประเมินมูลค่าตลาดล่าสุดได้มีข้อมูลออกมาแล้วว่า Mark Zuckerberg CEO ของ Facebook นั้น ร่ำรวยติดอันดับ 3 ของบุคคลไอทีไปแล้ว โดย Zukcerberg นั้นตามหลัง Larry Ellison จาก Oracle และ Bill Gates จาก Microsoft อยู่ แต่ที่น่าสนใจก็เพราะ Mark Zuckerberg นั้นยังมีอายุน้อยอยู่นั่นเอง (ตอนนี้เขาอายุแค่ 27 ปีเท่านั้น) โดยที่เขาสามารถไต่อันดับขึ้นมาได้สูงขนาดนี้ก็เป็นเพราะความสำเร็จของ Facebook นั่นเอง และตอนนี้ Mark Zuckerberg มีตัวเลขรวมสินทรัพย์ส่วนตัวอยู่ที่ 18 พันล้านดอลลาร์ และเขารวยกว่าบุคคลไอทีระดับไอคอนหลายๆคนที่เรารู้จักกัน เช่น Steve Jobs CEO ของ Apple ก็มีสินทรัพย์อยู่ที่ 8.3 พันล้านดอลลาร์, สองผู้ก่อตั้ง Google อย่าง Sergey Bin และ Larry Page ก็มีสินทรัพย์อยู่ที่คนละ 17 พันล้านดอลลาร์

ปล...ข่าวล่าสุด ถ้าเฟชเข้าตลาด นักวิเคราะห์ให้มูลค่าไว้ที่ 20 บิลเลี่ยนล้านเหรียญค่ะ รวยเพราะ คิดบวก มองเห็นโอกาส และทำได้ค่ะ

By squall: ถ้าเข้าใจการทำงานก็จะรู้ว่าทำไม facebook ประสบความสำเร็จมากกว่า พวก hi5 หรือ myspace

facebook จะอาศัยการเข้าถึง contact list ในอีเมล์ของสมาชิก ในการทำหนังสือ เชิญชวน invitation ต่อๆกันไป คิดดูว่าในแต่ละลิสต์ของแต่ละคนมีกี่รายชื่อก็คิดว่าโอกาสที่จะมีสมาชิกเพิ่มมีมากแค่ไหน เว็บโซเชี่ยลหรือ บล็อกก่อนหน้า ก็ยังไม่ได้ใช้จุดนี้ในการหาสมาชิกเพิ่มเลยไม่ดัง

By ภวังค์: กรรมเป็นเรื่องเฉพาะตัว ขยันทำมาหาเก็บในวันนี้วันรุ่งมีเหลือให้ใช้ไม่หมด บุญทานทำมาดีแล้วภพหน้าย่อมส่งผลไพศาล ยิ่งทำดีมากๆต่อเนื่องทุกภพชาติผลของบุญนั้นแผ่กว้างแรงดียิ่งนัก กรรมที่ทำเป็นเครื่องจำแนกสัตว์

By kihamoni: ปัจจัยหลักคือวิสัยทัศน์ครับ จังหวะก็เกี่ยว แต่วิสัยทัศน์สำคัญกว่า คนเราฟลุคได้ไม่กี่ครั้ง และหากไม่มีวิสัยทัศน์ ฟลุครวยมาก็หมดได้ไม่ยากครับ

ประวัติทักษิณ : ชีวิตที่พลิกผัน... เบ้าหลอมวัยเยาว์ เรียนรู้จากชีวิตจริง

"ผมเป็นคนไม่ลืมอดีตนะ แต่ไม่ย่ำอยู่กับอดีต มองข้างหน้าตลอดเวลาแต่ไม่ลืมอดีต การย่ำอยู่กับอดีตนี่ผมถือว่าเป็นการเสียเวลา แต่ลืมไม่ได้เพราะการลืมอดีตคือการลืมตัว"

ต้นตระกูล "ชินวัตร" คือ "คูซุ่นเส็ง" หรือ "ซุ่นเส็ง แซ่คู" พ่อค้าและอดีตนายอากรที่อพยพจากจันทบุรีมาตั้งรกรากเริ่มต้นธุรกิจหลายๆ ประเภทในเมืองเชียงใหม่

ลูกหลานของ "คูซุ่นเส็ง" ในรุ่นต่อๆมาแตกแขนงการทำธุรกิจออกไป บางส่วนขยับขยายมาทำการค้าใน อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ "เลิศ ชินวัตร" ก็เป็นสายหนึ่งของตระกูลที่มาปักหลักที่สันกำแพง

"ผมเกิดที่ อ.สันกำแพง เชียงใหม่ ตอนผมเกิดบ้านผมยังอยู่ที่หน้าตลาดสันกำแพง เป็นเรือนไม้ห้องแถวสองชั้น . . . เรียนที่สันกำแพงอยู่จนถึงอายุประมาณ 15 ปี ถึงย้ายเข้ามาอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่" ดร.ทักษิณเล่าถึงชีวิตในวัยเด็ก

ในวัยที่ต้องศึกษาเล่าเรียนอย่างจริงจังนี่เอง เขาพบว่าตัวเองเป็นคนชอบคิด คิดเร็ว เรียนเร็ว ใฝ่รู้เรื่องต่างๆคนหนึ่งเหมือนกัน

"ตอนเด็กจำได้ว่าไปเรียนกับครูผู้หญิงแก่ๆชื่อ ควาย ครูควายเลยละ... ผมชอบเรื่องเลขแกก็สอนผมเพลินเลยนะ สอนวิธีหารยาวจนก่อนเข้า ป. 1 ผมก็หารยาวเป็นแล้วนะ"

เมื่อย้ายจากโรงเรียนในสันกำแพงมาเรียนต่อชั้นประถม 3 ที่มงฟอร์ตเชียงใหม่ แม้จะเสียเปรียบเนื่องจากไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษมาก่อน (ที่โรงเรียนมงฟอร์ตจะสอนภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้นประถม 1) แต่ ด.ช.ทักษิณก็ทำข้อสอบได้ถึง 75%

ความเป็นคน "ชอบเรียน" และ "เรียนเก่ง" กลายเป็นข้อเด่น ของ ดร.ทักษิณ ที่ญาติพี่น้องรวมถึงคนใกล้ชิดต่างยอมรับ และไม่แปลกใจเลยเมื่อในเวลาต่อมาเขาสามารถสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารสำเร็จในปี พ.ศ.2510 และจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 26 ในปี พ.ศ. 2516 โดยสอบได้คะแนนเป็นที่ 1 ของรุ่น

อย่างไรก็ตาม ดร.ทักษิณก็มิใช่ "เด็กเรียน" ที่จมอยู่กับกองตำราอย่างเดียว อีกด้านหนึ่งของชีวิตวัยเยาว์ในฐานะ "ลูกพ่อค้า" ทำให้ดร.ทักษิณผ่านประสบการณ์การทำงาน ค้าขาย เรียนรู้การทำธุรกิจจากการติดตามผู้เป็นบิดาไปเกือบทุกที่ทุกแห่ง

หลังเวลาเรียน เขากลายเป็นเด็กเดินขายหวานเย็น ช่วยขายมอเตอร์ไซด์-ขายอะไหล่หน้าร้าน ออกไปติดตามทวงหนี้ ช่วยงานบัญชีที่ธนาคาร เป็นพนักงานโรงหนัง แม้กระทั่งงานปล่อยรถ-ขับรถเมล์ก็เคยทำมาแล้ว

ประสบการณ์หลากหลายของ ดร.ทักษิณในวัยเยาว์นั้น ส่วนหนึ่งเนื่องเพราะ "คุณพ่อเลิศ" เป็นคนที่สนใจทำธุรกิจหลายประเภท ตั้งแต่ลงทุนทำสวนส้ม ช่วงหนึ่งไปเป็นกัมปะโด (หัวหน้าแผนกสินเชื่อ) ให้ธนาคารนครหลวงไทย สาขาเชียงใหม่ ทำโรงภาพยนตร์ศรีวิศาลเป็นตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์รถยนต์ ฯลฯ

ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ "คุณพ่อเลิศ" เป็นคนทันสมัย ใจกล้าที่จะลงทุนนำสินค้าใหม่ๆ มาขายหรือเลือกธุรกิจใหม่ๆมาทำอยู่ตลอดเวลา

"นายเลิศนั้นเป็นบุคคลที่มีความคิดก้าวหน้าชอบความทันสมัย. . . คนทั้งสันกำแพงเห็นตู้เย็นเครื่องแรกที่ร้านกาแฟนายเลิศ เครื่องปั่นมะพร้าวก็เหมือนกัน . . . ตอนทำสวนลงทุนสั่งรถแทร็กเตอร์ซึ่งเป็นเครื่องจักรทุ่นแรงที่ทันสมัยมากมาใช้เป็นคนแรก"

นอกเหนือไปจากความขยัน-สู้งาน สู้ชีวิต ชอบเรียนรู้ทดลองทำด้วยตัวเองจนทำให้เขาเข้าใจถึงความเป็น "นักปฏิบัติ" แล้ว แบบอย่างจากบิดาซึ่งเป็นนักธุรกิจที่มองไกลสนใจความรู้วิทยากรใหม่อยู่เสมอ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งเขาได้รับการถ่ายทอดติดตัวมา

พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร เกิดวันที่ 26 กรกฎาคม 2492 ที่อำเภอกำแพง เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศไทย (ดำรงตำแหน่ง: 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 - 19 กันยายน พ.ศ.2549) เป็นผู้ก่อตั้ง และหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เป็นนักธุรกิจ ผู้ก่อตั้งกลุ่มชิน คอร์ปอเรชั่น เคยเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี

พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งคนแรก ที่ดำรงตำแหน่งครบวาระ 4 ปี แต่กลับต้องพ้นจากตำแหน่งในวาระที่สอง เนื่องจากการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ขณะกำลังร่วมการประชุมสหประชาชาติ ที่ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

ชีวประวัติในช่วงแรก: พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ เกิดเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 ที่อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวน 10 คนของ นายเลิศ และนางยินดี ชินวัตร จบการศึกษาจาก โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย และศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา ที่โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 10 (พ.ศ.2512) และ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 26 (พ.ศ.2516) โดยสอบได้คะแนนเป็นที่หนึ่งของรุ่น

ต่อมา พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้ศึกษาต่อ ในระดับปริญญาโท โดยได้รับทุน ก.พ.ศึกษาต่อสาขากระบวนการยุติธรรม ที่มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเคนทักกี สำเร็จการศึกษา ในปี พ.ศ.2518 และ ได้ศึกษาต่อ ในระดับปริญญาเอก ในสาขาเดียวกัน ที่ มหาวิทยาลัยแซมฮิวสตันสเตต ได้รับ ดุษฎีบัณฑิต ในปี พ.ศ.2521

พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้เริ่มทำงาน โดยเป็น หัวหน้าแผนกแผน 6 กองวิจัยและวางแผน กองบัญชาการตำรวจนครบาล รองผู้อำนวยการศูนย์ประมวลข่าวสาร กองบัญชาการตำรวจนครบาล และ อาจารย์ประจำ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ตามลำดับ

ธุรกิจ: จนกระทั่ง ในปี พ.ศ.2523 พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้เริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัวหลายอย่าง ควบคู่ไปกับการรับราชการตำรวจ เช่น ค้าขายผ้าไหม ซื้อภาพยนตร์ฉาย กิจการโรงภาพยนตร์ ธุรกิจคอนโดมิเนียม แต่กลับประสบความล้มเหลว เป็นหนี้สินล้นพ้นตัว ระหว่างนั้นได้ลาออกจากราชการ

พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ เคยเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์หลายเรื่อง โดยมักเป็นการนำภาพยนตร์ที่เคยได้รับความนิยมกลับมาสร้างใหม่ แต่ส่วนมากไม่ประสบความสำเร็จในด้านรายได้ เช่น ไทรโศก (2524 สร้างครั้งแรกโดย วิจิตร คุณาวุฒิ พ.ศ.2510) รักครั้งแรก (2524 สร้างครั้งแรกโดย ล้อต๊อก พ.ศ.2517) โนรี (2525 สร้างครั้งแรกโดย พันคำ พ.ศ.2510) รจนายอดรัก (2526 สร้างครั้งแรกโดย ประสิทธิ์ ศิริบันเทิง พ.ศ.2515)

ต่อมา ในปี พ.ศ.2526 พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้ก่อตั้ง และเป็น ประธานกรรมการ บริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ จำกัด (ชื่อเดิม ห้างหุ้นส่วนจำกัด ไอซีเอสไอ (ICSI) ปัจจุบันได้เข้าจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มี นายบุญคลี ปลั่งศิริ เป็นประธานคณะกรรมการบริหาร) ดำเนินธุรกิจ ให้เช่าคอมพิวเตอร์แก่สำนักงานต่างๆ และได้ขยายกิจการไปสู่ การให้บริการ วิทยุติดตามตัว โทรศัพท์เคลื่อนที่ ดาวเทียม และ โทรคมนาคม ครบวงจร นำไปสู่การชำระหนี้สินในช่วงแรกของการทำธุรกิจ และประสบผลสำเร็จทางธุรกิจในที่สุด

การเมือง: ในปี พ.ศ. 2537 พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้ลาออกจากตำแหน่ง ประธานกรรมการ และ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยได้โอนหุ้นให้ คุณหญิงพจมาน นายพานทองแท้ นางสาวพิณทองทา นางสาวแพทองธาร และ คนรับใช้ คนสนิทถือแทน

จากนั้นไม่นาน ก็เข้าดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในสมัย รัฐบาล นายชวน หลีกภัย และ ในปีต่อมา (พ.ศ.2538) ได้เข้ารับตำแหน่ง หัวหน้าพรรคพลังธรรม ต่อจาก จำลอง ศรีเมือง และ ดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี ในสมัย รัฐบาล นายบรรหาร ศิลปอาชา ในปี พ.ศ.2539 ดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี ในสมัย รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ

เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2541 พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้ก่อตั้ง พรรคไทยรักไทย และ ดำรงตำแหน่ง หัวหน้าพรรค จนในที่สุด ได้ขึ้นสู่ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ใน วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544

รายละเอียดอื่นๆ ติดตามต่อได้ที่นี่ครับ...

คนนี้ก็วิสัยทัศน์เหมือนกัน เกิดจากการมองว่า ปัจจัยสี่ เป็นของที่คนขาดไม่ได้ ต้องซื้อเรื่อยๆ และอาหารนั้นสำคัญที่สุด

นายธนินท์ เจียรวนนท์ เกิดเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2482 ที่ย่านเยาวราช กรุงเทพมหานคร (ชื่อภาษาจีน ก๊กมิ้น) เป็นบุตรชายคนที่ 5 ในบรรดาบุตรทั้ง 5 คนของ นายเอ็กชอ แซ่เจี๋ย ชาวจีนแต้จิ๋วอพยพ

นายธนินท์เริ่มทำงานเป็นครั้งแรกที่ร้านเจริญโภคภัณฑ์ เมื่ออายุได้ 19 ปี หลังจากสำเร็จการศึกษาด้านพาณิชยกรรมที่ฮ่องกง โดยทำงานในตำแหน่งแคชเชียร์ หลังจากนั้นได้โยกย้ายไปทำงานที่ สหพันธ์สหกรณ์ค้าไข่แห่งประเทศไทย และบริษัทสหสามัคคีค้าสัตว์ จำกัด (ตามลำดับ) จนเมื่ออายุ 25 ปี ได้กลับมาทำงานอีกครั้งที่เจริญโภคภัณฑ์ ปัจจุบันเป็นผู้บริหารระดับสูงของเครือเจริญโภคภัณฑ์ รับผิดชอบบริหารงานในตำแหน่งประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีว่าเป็นบริษัทผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

นอกจากนี้เครือเจริญโภคภัณฑ์ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นกลุ่มบริษัทชั้นนำของไทย มีกลุ่มธุรกิจในเครือฯรวม 10 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร, กลุ่มธุรกิจเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ยและเคมีเกษตร, กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ, กลุ่มธุรกิจการตลาดและการจัดจำหน่าย, กลุ่มธุรกิจพลาสติก, กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์, กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม, กลุ่มธุรกิจยานยนต์และอุตสาหกรรมทั่วไป กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร และกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง

ปล. แต่พวกที่คุณศรี กล่าวอ้างถึง ยิ่งวิสัยทัศน์หนักกว่านี้อีกนะ นั่นคืออนาคตครับ ไม่ใช่แค่ความมั่งคั่ง แต่เป็นอนาคต

By ลุงพร: การเลี้ยงลูก เลี้ยงให้เป็นนกแก้ว นกขุนทอง ตื่นเช้ามา ร้องแก้วจ๋าๆ ขออาหาร หรือเงิน กับพวกนกอินทรี อาศัยตามหน้าผา หากินเอง 2 คนนี่ ความเก่งจะอยู่ที่นกตัวไหน

คนจน ที่มานะอดทน และ มีปัญญาดี โอกาสรวยสูง คนจน ที่ปัญญาไม่ดี จะจนตลอดกาล

คนจน ที่ดี จึงต้อง ให้การศึกษาลูกๆ เพื่อสร้างปัญญาที่ดี ก่อน เพราะ เงิน จะหาได้ง่าย ถ้าปัญญาดี และ ทำงานหนัก ขยัน อดทน

By kimeng suk: แต่มันก็แปลกนะ ทำไมลูกคนจน ไม่ชอบเรียนหนังสือ ยิ่งพ่อแม่จน แทนที่จะมุมานะ ขยัน ตั้งใจเรียนให้ดี กลับทำตัวเกเรเหลวไหล ติดยาเสพติด ทำเหมือนจะประชดที่ตัวเองเกิดมาจน มีเหมือนกันที่ฉีกตัวเองออกมาให้ได้ดี แต่ก็น้อยมาก เหลียวดูรอบๆตัวเราก็ได้ว่ามีกี่คน

อาจจะเป็นเพราะความจนทำให้ไม่มีจะกิน การเจริญของสมองเลยไม่ดี โดยเฉพาะคนไทย อยู่ไฟหลังคลอด กินข้าวจี่ ปลาแดดเดียว หรือไม่ให้กินโปรตีนพวกเนื้อสัตว์ แต่คนจีนกินไก่ตุ๋น

เด็กเล็กๆแรกเกิด คนไทยกินนมแม่ ข้าวกับกล้วยน้ำหว้า คนจีนกินนมแม่ ข้าวตุ๋นใส่ไข่ ไก่ หมู

By kihamoni: เท่าที่เห็นมา ลูกคนจน ส่วนหนึ่งไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะไม่มีโอกาส และพ่อแม่ก็เห็นว่าการศึกษาไม่สำคัญ ไม่ต้องเรียนก็ได้ ทีพ่อแม่ยังไม่เรียน ไอ้ประเภทนี้มีเยอะครับ (นิสัยคนไทยที่ไม่ค่อยได้เรียนหนังสือนี้แปลก ไม่ค่อยชอบให้ลูกเรียนสูงกว่าตัว ชอบให้มาช่วยงานมากกว่า อ้อ แต่ไม่ใช่ทุกคนนะครับ)

อีกประเภท เกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ อาจจะไม่มีเวลาให้ หรือด้วยพื้นฐานนิสัยของตัวพ่อแม่เองเป็นแบบนั้น จะด้วยเหตุใดก็ตามแต่ ลูกคนจนประเภทนี้ ก็มีโอกาสที่จะเกเรมาก มีโอกาสจะเลิกเรียนหนังสือมาก (แต่กรณีแบบนี้ ลูกคนรวยก็เห็นมาหลายคนเหมือนกัน)

ประเภทสุดท้าย จนจริง แต่พ่อแม่สอนมาดี เมื่อมีโอกาสก็จะมานะบากบั่นมากกว่าคนปกติหลายเท่า คนประเภทนี้แหละ ที่มักจะยิ่งใหญ่ได้มากกว่าประเภทอื่นๆ (แต่โอกาสต้องมาอำนวยพอดีนะ ไม่อย่างนั้นลูกคนมีเงินที่อบรมมาดีๆ ยังไงก็ดีกว่าครับ) เอ้อ ประเภทนี้รอบตัวเห็นเยอะครับ ลูกของลูกน้องแม่บ้างอะไรบ้าง ไม่รู้นะ การศึกษากับการอบรมของพ่อแม่ ผมให้ค่าเท่าๆกัน (ที่จริงให้ค่ากับการเลี้ยงดูมากกว่า แต่ไม่มาก) ลูกที่ดี จะออกมาจากพ่อแม่ที่ไม่ดีหรือพ่อแม่ที่ไม่มีเวลาดูแลเนี่ย นับตัวคนได้อ่ะครับ น้อยสุดๆ

ปล. แต่ผมไม่เกี่ยวกับทั้งสามประเภทหรอกนะครับ ไม่ได้ถึงกับจนง่ะ ก็ยอมรับ ว่าเทียบกับประเภทที่สามแล้ว ถ้าโอกาสเปิดเท่ากัน ยังไงก็สู้ไม่ได้อ่ะครับ เค้าโดนหนามมาเยอะ ไหวพริบ ความอดทน ความมานะพยายามเค้ามีสูงกว่าคนปกติทั่วๆไปมากนัก โชคดีที่โลกนี้ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันก็สามารถอยู่ได้ เวลาเห็นคนพวกนี้ ก็เลยมีให้แต่ความรู้สึกชื่นชม ไม่เคยอิจฉา เชื่อว่าชีวิตคนทุกคนมันสมดุลกันหมด ไม่แตกต่างกันมากนัก พวกที่เคยทุกข์เคยลำบากมา ถึงเวลาถ้ามีโอกาส เค้าก็ย่อมไปได้ไกลย่อมมีชีวิตที่สบายเป็นธรรมดาครับ

วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

84 ผีหลอกหมอ By: kimeng suk

@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
@ 52... นี่จึงเป็นนายกรัฐมนตรีที่ผมอยากได้ครับ
@ นายกฯที่ฝ่ายต่อต้านกล่าวหาว่าโง่ในสายตาผม
@ "นายกฯปู"เอาใจคนเมืองคอน ใจป้ำ อนุมัติสร้างทางเชื่อมสะพานทันที 53 ล้าน หลังรัฐบาล"มาร์ค"ไม่ดูแล
@ 53... ผมคงต้องยอมรับเสียที ผมนี่แหละครับ รับจ้างโพสท์
@ หนี้ 1.14 ล้านล้าน เอกลักษณ์ ประชาธิปัตย์ หงุดหงิด แต่ไม่แก้
@ เข้าครัว...ทำกับข้าวคลายเครียด!! ผมทำได้ คุณก็ทำได้ครับ
@ 54... "นายกฯปู" สวมชุดนักบินเหินฟ้าชมการใช้กำลังทางอากาศ
@ คลิปที่ทุกคนควรจะต้องดู ใครตกข่าว เชิญเข้ามาได้เลยค่ะ
@ สถานีรถไฟจีน แล้วลองย้อนมาดูเรา...
@ เรื่อง... ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ ชุดที่1
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน เวียดนาม ชุดที่2
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน สิงคโปร์ ชุดที่3
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน อินเดีย ชุดที่4
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ฟิลิปปินส์ ชุดที่5
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ร่วมประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ ชุดที่6
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน มาเลเซีย ชุดที่7
@ 81 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือนกองทัพไทย
@ ภาพชุดงานสโมสรสันนิบาต วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5ธ.ค.2554

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...


ขอขอบคุณและขออนุญาตคุณ kimeng suk นำข้อเขียนของท่านมาลงไว้เว็บนี้นะครับ


ผีหลอกหมอ
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค

ตอนที่1 "ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา"
ตอนที่2 "คนไข้คนแรกของหมอใหม่หมาดๆ"
ตอนที่4 "อะไรทำให้ รวยและ รวย จากคนจนสุดๆกลายเป็นเศรษฐีใหญ่"
ตอนที่5 "ถูกพ่อดูถูกถึงได้เป็นหมอ"
ตอนที่6 "ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมเป็นหมอทำแท้ง"
ตอนที่7 "ทำไมถึงจนอย่างนี้"
ตอนที่8 "อีแปะมันหด-อัศจรรย์ปาฏิหาริย์-โด่ไม่รู้ล้ม"

สมัยก่อนๆนานมาแล้ว การเป็นแพทย์ฝึกหัด ของโรงพยาบาลหญิงหรือโรงพยาบาลราชวิถีปัจจุบัน ต้องเวียนไปฝึกตามโรงพยาบาลต่างๆ คราวนี้ต้องไปฝึกที่โรงพยาบาลกลาง เป็นเวลาหนึ่งเดือน ส่วนมากไปฝึกทางด้านศัลยกรรม เพราะโรงพยาบาลกลางจะมีคนไข้อุบัติเหตุมาก เนื่องจากอยู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร

แพทย์ฝึกหัดต้องมีการอยู่เวรกลางคืน OPD อาทิตย์ละครั้งหรือสองครั้ง ซึ่ง OPD โรงพยาบาลกลางสมัยนั้น เป็นห้องกว้าง พอประมาณ สำหรับเข็นรถคนไข้เข้ามาจุได้ ซัก 4 คันรถเข็นก็เต็มห้องแล้ว และมีโต๊ะพยาบาลหนึ่งตัว มีเก้าอี้ยาววางด้านข้างโต๊ะพยาบาลหนึ่งตัว มีประตูเปิดจากห้องตรวจเข้าไปยังห้องพักแพทย์เวรได้

ห้องแพทย์เวรเป็นห้องเล็กๆ มีเตียงให้นอนพักหนึ่งเตียง ตรงหัวเตียงมีหน้าต่าง ติดมุ้งลวด เวลามีคนไข้พยาบาลก็จะเปิดประตูเข้ามาเรียกแพทย์เวร "หมอๆ ตื่นๆ มีคนไข้มาแล้ว" หมอก็จะงัวเงีย เดินสะลึมสะลือ บางคนก็ผมยุ่ง หัวฟูเดินออกมา ไปนอนต่อที่เก้าอี้ยาวแทนที่จะไปตรวจคนไข้เลย พยาบาลต้องตามไปเขย่าให้รู้สึกตัวจริงๆ บางคนก็ถึงกับต้องลงมือทุบแรงๆ

ไอ้ที่มันเกิดเรื่องก็เพราะมีอยู่วันหนึ่ง เข้าเวร OPD แล้วไม่มีคนไข้ มันเงียบมากๆเลย ขึ้นเวรมาตรวจคนไข้ไม่กี่คน ซึ่งถ้าเป็นโรงพยาบาลเอกชน มีหวังโรงพยาบาลนั้นเจ็งแหง๋แก๋ แต่นี่เป็นโรงพยาบาลของรัฐบาล กลายเป็นเรื่องดีซะอีก วันนี้สบายมาก ขอนอนให้เต็มที่หน่อย แล้วก็เข้าไปนอน หลับรวด ตอนดึกๆก็สะดุ้งตื่น รู้สึกว่ามีคนมาผลักและเขย่าแรงๆให้ตื่น จึงลืมตามองและเราก็รู้สึกตัวเต็มที่แล้ว เห็นพยาบาลคนหนึ่ง ยืนหน้าเตียง บอกว่ามีคนไข้มารอข้างนอก แล้วก็เห็นพยาบาลคนนั้น เดินทะลุประตูห้องที่ปิดสนิทออกไป (ยังแปลกใจว่า ทำไมพยาบาลเข้ามาในห้องพักแพทย์ ปรกติจะเคาะประตู แล้วตะโกนบอก)

เราก็ตกใจ เอะ ทำไมเดินทะลุประตูห้องหวา จึงพรวดพราดลุกขึ้นยืน แล้วก็เดินไปที่ประตู ชนประตูที่ปิดสนิทเข้าเต็มที่ จึงรีบเปิดประตู มองดูในห้องตรวจไม่เห็นมีคนไข้สักคน เดินไปที่โต๊ะพยาบาลก็เห็นฟุบหลับอยู่กับโต๊ะ ที่สำคัญ หมวกที่พยาบาลใส่อยู่เป็นขีดเฉียงๆ ตรงริมหมวก แสดงว่าเป็นผู้ช่วยพยาบาลอยู่เวร แต่ที่ไปเรียกเราเมื่อกี้ มันเป็นหมวกขีดขวางแบบพยาบาลนี่ ชักสงสัย จึงปลุกเขาขึ้นมาถามว่า เมื่อกี้เข้าไปปลุกว่ามีคนไข้ไม่ใช่หรือ เขาบอกว่าไม่มีคนไข้ซักคน และเขาก็อยู่เวรคนเดียวเท่านั้น

เอาละซิ ใครปลุกเราหวา เราตาฝาดงงๆอยู่มั้ง ไม่ใช่นะ ก็เรารู้สึกตัวเห็นภาพชัดเจนมาก และเราก็เป็นคนตื่นไว ตื่นแล้วไม่งัวเงียด้วย เอะมันอย่างไรกัน เราไม่กลัวนะ แต่ก็ไม่กล้ากลับเข้าไปนอนต่อ ถ้าประเดี๋ยวมาใหม่ คราวนี้ตากลวงโบ๋มา หมอก็หมอเถอะ ใส่ตีนหมาเผ่นเหมือนกัน เสียศักดิ์ศรี หมอไม่กลัวผีหมด

เช้ามาเจอท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็เล่าให้ท่านฟัง ท่านก็ยิ้มๆ บอกว่าเจอกันบ่อยนะ เราก็หูผึ่ง เรื่องมันเป็นอย่างไรค่ะ (เรื่องนี้ไม่เคยรู้มาก่อนเลย) ท่านก็กรุณาเล่าให้ฟังว่า มีพยาบาลคนหนึ่ง อกหัก เสียใจมาก เลยโดดตึกฆ่าตัวตาย ตกลงมาตายตรงกับ หน้าต่างหัวเตียงห้องพักแพทย์เวรพอดี ตั้งแต่นั้นมาก็มีแพทย์เวรเจอกันบ่อยๆแบบที่เราเจอเลยละ

เอาละหวา เจอดีเข้าแล้วเรา แต่เราต้องไม่กลัวๆๆๆๆท่องไว้ให้ขึ้นใจ เป็นหมอต้องไม่กลัวผี ผีต้องกลัวหมอ แต่พอถึงเวลาอยู่เวรอีก เราไม่กลัวจริงๆ ไม่กลัว ไม่กลัว แต่ขอนอนตรงม้ายาวข้างโต๊ะพยาบาลก็แล้วกัน แฮ่ แฮ่

เรื่องนี้บอกว่า หมอก็กลัวผีเหมือนกัน แต่เต๊ะท่าไปงั้นแหละ เจอเข้าจริงหมอวิ่งเป็นคนแรกเลยละ

ใครเคยถูกผีหลอก ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม แชร์ประสบการณ์กัน เอาแต่เรื่องจริงๆนะ ไม่ใช่เรื่องแต่งขึ้นมา

By sri123: ไม่รู้โดนหลอกหรือคิดไปเองนะคะ เวลาทำสมาธิจนถึงขั้นใจสงบ หูก็จะได้ยินเสียงคุย เสียงแว่ว แบบนี้ประจำ จนทำให้กลัวไปเอง ต้องเลิกทำ

ปีที่แล้วกลับเมืองไทย ไปไหว้พระ หลวงพ่อให้กุมารมาองค์นึง เป็นเรื่องที่แปลกมาก น้องสาวเล่าว่า ขับรถผ่านวัดนี้มาหลายปี ไม่เคยคิดเข้า วันที่พี่สาวมา อยากให้ดูโบสถ์ซะงั้น เข้าไปไหว้พระ ได้มาเลยค่ะ ฮ่าๆๆๆ ประสบการณ์น่ะเหรอ เอากุมารไว้นอกห้อง กลางคืนได้ยินเสียงคนเดินลาก แกรกๆ เปิดออกดูก็ไม่เจอ ....ไม่รู้คิดไปเองป่าวนะ ...

By kimeng suk: คุณศรีค่ะ การทำสมาธิเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ในจำนวนบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ หรือทางมาแห่งบุญ 10 อย่าง การทำสมาธิได้อานิสงค์มากที่สุด มากกว่าการทำทานหรือถือศีล เวลาที่ใจเราเริ่มนิ่งสงบแต่ยังไม่สงบจริงๆ ประสาทของเราจะไวที่สุดโดยไม่รู้สึกตัว อย่างตัวเอง เคยนั่งได้ยินแม้กระทั่งเสียงปลวกเดิน ทั้งๆที่ยังไม่เคยรู้ว่ามีปลวกขึ้นบ้าน เพราะไม่มีร่องรอย แต่พอไปตรวจสอบตรงที่นั่งแล้วได้ยินก็พบปลวกจริงๆ

บางคนก็เห็นเป็นอสุภะด้วยซ้ำ ไม่ต้องกลัวนะค่ะ พอเรานิ่งผ่านไปนิ่งมากขึ้นๆ เราจะพบว่ามันวิเศษที่สุด การได้พบความสุขจากการฝึกสมาธิ เป็นความสุขที่สุดในโลก ไม่ใช่ความสุขแบบทางโลกของเรา มันต่างกันมากนัก ต้องฝึกเองแล้วจะรู้เองค่ะ

เรื่องกุมารทอง เป็นเรื่องที่มีจริงๆ พวกนี้เป็นพวกผีที่ถูกผูกไว้ด้วยอาคม จึงไปผุดไปเกิดตามเวรกรรมยังไม่ได้ เราคนธรรมดาไม่ควรไปเกี่ยวข้อง ถ้าหากเขาไม่พอใจ มีโทษมากกว่า และเราก็จัดการอะไรเขาไม่ได้ด้วย

By ภูพาน: อ้าว ! มีหมอ ออกมาเล่าเรื่องผีแล้วหรือครับ (หมอคนดัง...ตกงานแน่)

มันคงมีอยู่ทั่วไปนั้นแหละ แล้วแต่ใครจะเจอ ถ้าคิดดูอีกที มันจะในรูปแบบของอะไร เป็นพลังงานแบบไหน ก่อรูปยังไง มันคงจับมาพิสูจน์ไม่ได้ (ในตอนนี้) แต่การแสดงผลของพลังงานเหล่านี้ ผมว่ามันขึ้นกับตอนที่พลังงานฯปลดปล่อยตัวเองออกจากสิ่งที่เรียกว่า สิ่งที่อาศัยดำรงสภาพอยู่ คือร่างกาย เพราะตัวร่างกาย จะเป็นสิ่งที่มีประสาทสัมผัสได้ ถึงการรับรู้สัมผัสต่างๆ เช่น ชอบไม่ชอบ (การปรุงแต่ง) เจ็บป่วย หนาว ร้อน (กายสัมผัส) ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นคนเท่านั้นจึงจะครบถ้วนในองค์ประกอบของการรับรู้ซึ่งสิ่งอื่นๆ เช่นสัตว์ต่างๆ ไม่แน่ใจ เพราะไม่สามารถพิสูจน์ได้ ปรากฏแต่ในคำสอนเท่านั้น ว่ามนุษย์เท่านั้น ที่จะเรียนรู้พัฒนาตัวเอง และรู้เท่าทัน จนเกิดปัญญาเพื่อหลุดพ้นเรื่องเหล่านี้

ผมเลยคิดเอาเองว่า ผีดุ หรือไม่ดุ ผีหลอก อะไรพวกนี้ มันเกิดจาก ตอนที่ดำรงสภาพอยู่กับร่างกายตอนเป็นคนอยู่ ว่าเป็นอย่างไรมากกว่า ส่วนที่พลังงานยังวนเวียน อยู่ในสถานที่ ที่เค้าหลุดพ้นจากสิ่งยึดเหนียวคือตรงที่เสียชีวิตนั้น อาจเป็นได้ (ข้อสันนิษฐาน) ว่าตัวพลังงาน (วิญญาณ) ยังไม่รู้สถานในปัจจุบัน (status) ตรงนี้อาจต้องมีการใช้สื่อ ที่สามารถติดต่อกันได้ ถ้าคนไทยพุทธ ก็จะมีพิธีกรรมเชิญวิญญาณผู้ตาย สังเกตนะครับ ตามต่างจังหวัด บางแห่ง จะมีการนิมนต์พระสงฆ์ ไปรับศพด้วย

แต่ถ้าถามว่าตายแล้วไปไหน วิญญาณ (พลังงาน) อยู่อย่างไร อันนี้ตอบไม่ได้ เพราะบอกตรงๆว่ายังไม่เคยคิดเรื่องนี้ เกินสติปัญญา ความรู้ ที่เล่ามาแค่คิดในแง่ จิตวิทยา และความเชื่อมโยงกับความเชื่อของท้องถิ่นเท่านั้น

ถ้าจะมีเรื่องคล้ายกันกับคุณ kimeng suk คือว่า ตอนเด็กมากๆ น้องชายป่วย ท้องร่วงอย่างรุนแรง แม่ต้องนอนเฝ้าน้องชายที่โรงพยาบาล คือต้องบอกก่อน เรื่องนี้ผมเองยังเด็กมาก น่าจะซัก 3 ขวบ ไม่รู้เรื่องผีสาง อะไรหรอก ที่จำได้ คือ นั่งฟังแม่คุยกันกับหมอ พยาบาล และเล่าต่อมากันอีกหลายครั้ง เลยจำได้

คือตอนดึกๆ ประมาณเที่ยงคืน ขณะที่ทุกคนกำลังหลับ ก็มีเสียง เหมือนของหล่น จากที่สูงร่วง ตุบๆๆ แล้วก็เงียบ ซักพัก ดังอีก ตุบๆๆ เหมือนลูกมะพร้าวล่วงลงหลังคา ประมาณนั้น แต่ใน รพ.ไม่มีต้นมะพร้าว และใน รพ.ดึกขนาดนี้ไม่น่าจะมีใคร มาทำอะไรพิเรน เล่นโยนอะไร ทุกคนก็เลยตื่นขึ้นมาหมด พยาบาลเวร แม่ ญาติผู้ป่วยคนอื่นๆ ทุกคน ก็เลยเฝ้าดูว่าเป็นอะไร

ซักพักเสียงดังอีก คราวนี้ไม่ใช่หล่นที่หลังคาครับ หล่นตรงลานหน้าตึก ครับหน้าตึก...ชัดๆ ชัดเจนมาก ต่อสายตาหลายคู่ เป็นเด็ก....เด็กผู้ชาย ประมาณ 5-6 ขวบ ทุกคนจำได้ดี เด็กคนนี้ป่วยอยู่หลายวันและก็เพิ่งเสียชีวิต ญาติก็นำศพ กลับบ้านไปแล้ว แม่บอกว่า พยาบาล อ้าปากค้าง ทำอะไรไม่ถูก ช็อกกันอยู่นานพอสมควร

ประมาณปี 2513 รพ.สกลนคร ตึกเด็ก ไปตอนนี้จำไม่ได้แล้วครับ ว่าสภาพ เป็นยังไง น้องป่วยอยู่หลายวัน จำได้ว่า ช่วงที่น้องอาการเริ่มดีขึ้น ช่วงกลางวันแม่ พาไปเดินเล่น ด้านหลัง รพ.จะมีทางออกไปหนองหารได้ มีสวนสาธารณะ ริมหนองหาร จะมีบาร์ มีแต่ทหารฝรั่งมาเที่ยว ชื่อ golden pond ต่อมา บาร์แห่งนี้ เคยย้ายมา 2-3 ครั้งแล้ว ปัจจุบัน ย้ายมาอยู่กลางเมือง ยังใช้ชื่อเดิม (อ้าว! เล่าเรื่องผี ทำไมจบเรื่องบาร์ เนี่ย...)

ประทานโทษ การมาเล่าอะไรยาวๆ ในกระทู้ของท่านอื่นนี้ผิดมารยาทไหมครับ

By kimeng suk: ไม่น่าจะผิดนะ ถือว่าเป็นการมาแชร์ความรู้กันค่ะ

คนเรา ประกอบด้วย ร่างกายและกายละเอียด เมื่อเราตาย กายละเอียดของเรา ซึ่งประกอบด้วย เห็น จำ คิด รู้ แต่ไม่มีตัวตน จับต้องไม่ได้ จะล่องลอยไปตามภพภูมิต่างๆตามกรรมของเราที่ได้กระทำมาตอนเป็นมนุษย์

หลังเราตาย มีทางไป สาม ทาง 1) ไปสุคติภูมิ 2) ไปทุคติภูมิ 3) ล่องลอยอยู่ในมนุษย์ภูมิ หรือมาเกิดเป็นคนเลย

พวกที่ยังอยู่ในมนุษย์ภูมิ ก็มี สัมภเวสี พวกนี้รอเวลามาเกิดเป็นมนุษย์

ภูมมเทวา เทวดาขั้นต่ำมี อยู่ทั่วไป ไม่จำเป็นต้องอยู่ตามบ้านเรือน

รุกขเทวา อยู่บนต้นไม้

อากาศเทวา อยู่ในอากาศ สูงกว่าบรรยากาศของโลก

ภูมมเทวาเป็นพวกมีบุญเล็กน้อย ไม่พอขึ้นสวรรค์ และบาปก็ไม่มากพอที่จะตกนรก ชึ่งอาจจะเป็นพวกผีต่างๆก็ได้ (เข้าใจเอาเองค่ะข้อนี้)

เคยอ่านเจอ ข่าวในหนังสือพิมพ์ ฉบับหนึ่งของอเมริกา จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร ลงข่าวว่า องค์การนาซาใช้กล้อง ฮับเปิลเทเรสโค๊บ ถ่ายในอวกาศ พบสัมภเวสี หรือเขาเรียกว่า THE SPIRIT จำนวนมากล่องลอยในอวกาศ เต็มไปหมด มีรูปลงให้เห็นด้วย ตัวเล็กๆ ไม่ใส่เสื้อผ้า ลอยอยู่ในท่าต่างๆเป็นล้านๆ เคยถามผู้ที่ได้ธรรมะขั้นสูงว่า ท่านบอกว่า พวกนี้เป็นพวกไม่มีบาปไม่มีบุญมากพอที่จะไปนรกหรือสวรรค์ จึงลอยอยู่ รอเวลาที่จะได้มาเกิด ต้องรอเวลาจนกว่าจะถึงเวลา ไม่ใช่อยากมาเกิดได้ตามใจชอบ

เคยเรียนถามผู้ที่มีอภิญญา ซึ่งสามารถ เห็น โอปปาติกะ หรือกายละเอียดได้ว่า ผีแต่ละชาติเหมือนกันไหม คำตอบก็คือ ถึงจะตายไปเป็นผี แต่ผีก็คือกายละเอียดที่มี เห็น จำ คิด รู้ เมื่อตายไปจิตใจเป็นแบบไหนก็เป็นแบบนั้น คนดีก็จำแต่สิ่งที่ดีๆ เป็นผีดี คนชั่วก็เป็นผีชั่ว ใจเคยชินแบบไหนก็เป็นแบบนั้น เคยแต่งกายแบบไหน เมื่อตายไปก็จะมีเครื่องแต่งกาย แบบนั้น หมายถึงถ้าไปเป็นเทวดาชั้นต่ำ ชั้นหนึ่งหรือสอง เทวดาชั้นสูงขึ้นไป ถึงจะเหมือนๆกัน เพราะอะไรก็ลืมถามท่านไป แต่ถ้าไปลงนรก เป็นเปรต อสุรกาย ก็จะไม่มีเครื่องแต่งกาย เปลือยกายล่อนจ้อน เป็นเรื่องละเอียดมาก ต้องมีอภิญญาจิตถึงจะไปรู้ไปเห็น

ขณะนี้มีผู้ปฎิบัติธรรมเข้าถึงขั้น มีอภิญญาจิต 5 อย่าง (ทั้งหมดมี 6 อย่าง) มีเยอะพอควร ได้เจอมา ทั้งพระทั้งเณร ทั้งคนธรรมดา ซึ่งก็มีหลายคนมาก ท่านไม่ได้บอกเรา แต่เรารู้ ได้จากปฏิปทาและการกระทำบางอย่างที่ท่านเผลอ แสดงออกมา เรื่องนี้ต้องศึกษาเอง และเข้ามาสัมผัสเอง แล้วจะทึ่งว่าพระพุทธองค์ทรงรู้ทุกอย่าง และเอาความจริงมาสอนเรา รับรองว่าถ้าได้เข้ามาศึกษาแล้วจะติดใจอยากรู้อยากศึกษาต่อเอง

เราอยู่ในทางโลก คิดแบบทางโลก เป็นวิทยาศาสตร์ แต่อย่าลืมว่าวิทยาศาสตร์ ยังตามหลังคำสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งทรงรู้จักแบคทีเรีย และอนันตจักรวาล ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะรู้จักเสียอีก มียืนยันชัดเจนในพระไตรปิฎก

By singvit: สนใจวิธีการเริ่ม ฝึกสมาธิ ครับ เอาง่ายๆ ที่สุด ครับ สำหรับคนที่ยังต้องดูแลธุรกิจอยู่หลายอย่าง..บางทีนอนตาค้างทั้งคืน เพราะยังแก้ปัญหาของธุรกิจไม่ออก วนเวียน จนไม่สามารถหลับได้..ครับ

By ภวังค์: เอาวิธีที่ง่ายๆเลย เปิดไฟฟ้าให้สว่าง จุดเทียน(ใช้กะละมังใส่น้ำ ใช้ครกคว่ำกลางกะละมังปักเทียนบนตูดครก แค่นี้ก็แจ่มแล้วเทียนล้มก็จมน้ำ)แล้วเพ่งแสงไฟจากเทียนที่ติดไฟ เปิดวิทยุรายการที่ชอบ ตาดูแสงไฟจากเทียนหูฟังเสียง จิตเริ่มเป็นสมาธิ ตาเห็นแสงเทียนชัดเจนมากขึ้นแต่หูกลับไม่ได้ยินเสียง หรือหูได้ยินเสียงชัดเจนแต่ตากลับมองไม่เห็นแสงไฟจากเทียน

เมื่อใดได้ยินเสียงดังเปรี๊ยะที่เกิดจากการเพ่งมองแสงไฟจากเทียนนั่นคือการเข้าถึงหรือทำได้ อุคหนิมิต นี่คือสมาธิขั้นต้น เมื่อได้ยินเสียงเปรี๊ยะดังขึ้นที่กลางแสงเทียนเราจะรู้สึกว่ากลางแสงเทียนนั้นมีจุดสีขาวเล็กๆเกิดขึ้น ใช้ใจหรือจิตของเราบังคับหรือกำหนดให้ใหญ่ขึ้นหรือเล็กลงได้ตามต้องการ

ฝึกบังคับหรือกำหนดเช่นนี้ได้นานมากเท่าไรก็ยิ่งดี ทำได้ชำนาญทุกวันเป็นเวลานานมากขึ้นจากจุดสีขาวจะกลายเป็นนิมิตคือรูปหรือภาพที่เรามองเห็นเหมือนเราลืมตามองเห็นภาพเคลื่อนไหวทั่วไป ฝึกมากขึ้นนานขึ้นทุกวันจะสำเร็จอภิญญา เช่น ระลึกชาติได้ ได้ตาทิพย์หูทิพย์ เห็นการเกิดดับของสัตว์ รู้วาระจิตผู้อื่น...

ความเพียรต้องถึง หมั่นทำความเพียร ไม่สำเร็จไม่หยุดกลางคัน เมื่อทำได้รู้ชัดเจนด้วยตัวเองจะเข้าใจคำสอนในพระพุทธศาสนาว่ามีอยู่จริงเป็นอยู่จริงตามคำสอนที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎก...

By kimeng suk: วิธีฝึกสมาธิมีทั้งหมด 40 วิธี แบ่งเป็นกลุ่มๆ เช่น เพ่งกสิน เพ่งอสุภะ อนุสติ และอื่นๆ แต่ที่ทำอยู่ทุกวันนี้เป็น แบบการเพ็งกสิณแสงสว่าง ตามแนววิชชาธรรมกายที่ หลวงปู่สดวัดปากน้ำภาษีเจริญท่านได้ค้นพบกลับคืนมา หลังจากวิธีนี้ ได้สูญหายไป หลังพุทธปรินิพพาน

วิธีการ ก็ทำง่ายๆ คือ นั่งขัดสมาธิ หรือจะนั่งพิง นั่งเก้าอี้ หย่อนขาก็ได้ตามแต่เราถนัด ปล่อยใจและกายให้สบาย อย่าเกร็งส่วนใดส่วนหนึ่ง นึกถึงอากาศยามเช้ามีหมอกบนยอดเขา เย็นสบาย ทำใจให้เย็นสบายจริงๆ ให้ใจเบาๆ ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าไปคิดถึงมัน ทำเหมือนมีเราคนเดียวในโลกนี้

ค่อยๆเอาใจไปวางไว้ในท้อง ตรงกลางตรงกับสะดือ แล้วค่อยๆยกใจขึ้นสูงเหนือสะดือ 2 นิ้วมือ วางใจของเราเบาๆ สบายๆ ไม่ต้องกดลูกตาลงไปมอง จะปวดตาเปล่าๆ วางใจแหมะลงไปตรงศูนย์กลางกายเหนือสะดือเบาๆ อย่าแรง ทำใจหลวมๆ

ไม่ต้องตั้งใจมาก นึกถึงก้อนน้ำแข็ง หรือเพชรใสๆ แล้วภาวนาในใจเบาๆ ว่า สัมมาอรหัง สัมมาอรหัง ไปเรื่อย ถ้าฟุ้งไปเรื่องอื่น ก็เอาใหม่ เผลอไปอีกก็ เริ่มใหม่อีก ภาวนาควบคู่กันไป อย่าไปอยากเห็น หรืออยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเครียด ปวดหัว ก็ลืมตาขึ้น ค่อยๆทำใหม่ ภาวนาและนึกถึงน้ำแข็งกลมๆใสๆสว่างๆ ไปเรื่อย เมื่อถึงจุดหนึ่งจะรู้ได้ด้วยตัวเอง ว่าประสบการณ์ภายในอะไรเกิดขึ้น

ประสบการณ์ภายใน โดยวิธีนี้ระยะแรกจะเริ่มไม่เหมือนกัน หรือเหมือนกันก็ได้ แต่ในสุดท้ายแล้ว จะเหมือนกันทุกคน คือจะเห็นองค์พระธรรมกาย เป็นแก้วใสสว่าง ค่อยๆใหญ่ขึ้นตามภูมิธรรมที่ตัวเองได้บรรลุ ต้องทำเองแล้วถึงจะรู้ได้เอง

ไม่ควรจะไปบอกว่าวิธีของตัวเองดี วิธีอื่นไม่ดีผิด พระพุทธองค์ ทรงยอมรับไว้ทั้งหมดถึง 40 วิธี วิธีการไหนก็เป็นเรื่องที่เขาจะทำ ไม่ใช่ว่าตัวเองฝึกวิธีนี้แล้ว คนอื่นผิดหมด โง่หมด ถ้าฝึกไม่เหมือนตนเอง

ประโยชน์ของการฝึกสมาธิ

1.ผลต่อตนเอง

1.1 ด้านสุขภาพจิต

- ส่งเสริมให้คุณภาพของใจดีขึ้น คือ ทำให้จิตใจ ผ่องใส สะอาด บริสุทธิ์ สงบ เยือกเย็น ปลอดโปร่ง โล่ง เบา สบาย มีความจำ และสติปัญญาดีขึ้น

- ส่งเสริมสมรรถภาพทางใจ ทำให้คิดอะไรได้รวดเร็ว ถูกต้อง และเลือกคิดแต่ในสิ่งที่ดีเท่านั้น

1.2 ด้านพัฒนาบุคลิกภาพ

- จะเป็นผู้มีบุคลิกภาพดี กระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า มีความองอาจสง่าผ่าเผย มีผิวพรรณผ่องใส

- มีความมั่นคงทางอารมณ์ หนักแน่น เยือกเย็นและเชื่อมมั่นในตนเอง

- มีมนุษย์สัมพันธ์ดี วางตัวได้เหมาะสมกับกาลเทศะเป็นผู้มีเสน่ห์เพราะไม่มักโกรธ มีความเมตตากรุณาต่อบุคคลทั่วไป

1.3 ด้านชีวิตประจำวัน

- ช่วยให้คลายเครียด เป็นเครื่องเสริมเสริมประสิทธิภาพในการทำงานและการศึกษาเล่าเรียน

- ช่วยเสริมให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงเพราะร่างกายกับจิตใจย่อมมีอิทธิพลต่อกัน ถ้าจิตใจเข้มแข็ง ย่อมเป็นภูมิต้านทานโรคไปในตัว

1.4 ด้านศีลธรรมจรรยา

- ย่อมเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ เชื่อกฎแห่งกรรม สามารถ คุ้มครองตนได้พ้นจากความชั่วทั้งหลายได้ เป็นผู้มีความพระพฤติดี เนื่องจากจิตใจดี ทำให้ความพระพฤติทางกายและวาจาดีตามไปด้วย

- ย่อมเป็นผู้มีความมักน้อย สันโดษ รักสงบและขันติเป็นเลิศ

- ย่อมเป็นผู้มีความเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ เห็นประโยชน์ ส่วนร่วมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว ย่อมเป็นผู้มีสัมมาคารวะ และมีความอ่อนน้อมถ่อมตน

2.ผลต่อครอบครัว

2.1 ทำให้ครอบครัวมีความสงบสุข เพราะสมาชิกในครอบครัวเป็นประโยชน์ของการประพฤติธรรม ทุกคนมั่นอยู่ในศีล ปกครองกันด้วยธรรม เด็กเคารพผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เมตตาเด็ก ทุกคนมีความรักใคร่สามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

2.2 ทำให้ครอบครัวมีความเจริญก้าวหน้า เพราะสมาชิกต่างก็ทำหน้าที่ของตนโดยไม่บกพร่อง เป็นผู้มีใจคอหนักแน่น เมื่อมีปัญหาครอบครัวหรือมีอุปสรรคอันใด ย่อมร่วมใจกันแก้ไขปัญหานั้นๆ ให้ลุล่วงไปได้

3.ผลต่อสังคมและประเทศชาติ

3.1 ทำให้สังคมสงบสุข ปราศจากปัญหาอาชญากรรม และปัญหาสังคมอื่นๆ เพราะปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นในสังคมไม่ว่าจะเป็นปัญหาหารฆ่า การข่มขืน โจรผู้ร้าย การทุจริตคอรัปชั่น ล้วนเกิดขึ้นมาจากคนที่ขาดคุณธรรม เป็นผู้ที่มีจิตใจอ่อนแอ หวั่นไหว ต่ออำนาจสิ่งยั่วยวน หรือกิเลสได้ง่าย ผู้ที่ฝึกสมาธิย่อมมีจิตใจเข้มแข็ง มีคุณธรรมในใจสูง ถ้าแต่ละคนในสังคมจ่างฝึกฝนอบรมใจของตนให้หนักแน่น มั่นคง ปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ส่งผลให้สังคมสงบสุขได้

3.2 ทำให้เกิดความมีระเบียบวินัย และเกิดความประหยัด ผู้ที่ฝึกใจให้ดีงานด้วยการทำสมาธิอยู่เสมอ ย่อมเป็นผู้รักความมีระเบียบวินัย รักความสะอาด มีความเคารพกฎหมายของบ้านเมือง ดังนั้นบ้านเมืองเราก็จะสะอาดน่าอยู่ ไม่มีคนมักง่ายทิ้งขยะลงบนพื้นถนน จะข้ามถนน ก็เฉพาะตรงทางข้าม เป็นต้น เป็นเหตุให้ประเทศชาติไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณ เวลาและกำลังเจ้าหน้าที่ ที่ต้องใช้ไปในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากความไม่มีระเบียบวินัยของประชาชน

3.3 ทำให้สังคมเจริญก้าวหน้า เมื่อสมาชิกในสังคมมีสุขภาพจิตดีรักความเจริญก้าวหน้า มีประสิทธิภาพ ในการทำงานสูง ย่อมส่งผลให้สังคมเจริญก้าวหน้าตามไปด้วย และเมื่อมีกิจกรรมของส่วนร่วม สมาชิกในสังคมก็ย่อมพร้อมที่จะสละความสุขส่วนตัว ให้ความร่วมมือกับส่วนร่วมอย่างเต็มที่ แม้มีผู้ไม่ประสงค์ต่อสังคมมายุแหย่ให้เกิดความแตกแยก ก็จะไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะสมาชิกในสังคมเป็นผู้มีจิตใจหนักแน่น มีเหตุผล และเป็นผู้รักสงบ

4.ผลต่อศาสนา

4.1 ทำให้เข้าใจพระพุทธศาสนาได้อย่างถูกต้อง และรู้ซึ้งถึงคุณค่าของพระพุทธศาสนา รวมทั้งรู้เห็นด้วยตัวเองว่าฝึกสมาธิไม่ใช่เรื่องเหลวไหลหากแต่เป็นวิธีเดียวที่ทำให้พ้นทุกข์เข้าสู้นิพพานได้

4.2 ทำให้เกิดศรัทธาตั้งมั่นในพระรัตนตรัย พร้อมที่จะเป็นทนายแก้ต่างให้กันพระศาสนา อันจะเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง ให้แพร่หลายไปอย่างกว้างขวาง

4.3 เป็นการสืบอายุพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรื่องตลอดไปเพราะตราบใดที่พุทธศาสนิกชน ยังตั้งใจปฏิบัติธรรม เจริญถาวนาอยู่ พระพุทธศาสนาก็จะเจริญรุ่งเรืองอยู่ตราบนั้น

4.4 จะเป็นกำลังส่งเสริมทะนุบำรุงศาสนา เพราะเมื่อเข้าใจซาบซึ้งถึงประโยชน์ของการปฏิบัติธรรมด้วยตนเองแล้ว ย่อมจะชักชวนผู้อื่นให้ทำทานรักษาศีล และเจริญภาวนาไปด้วย

By mingming: ถามคุณหมอนะคะ ถ้าเราฝันแล้ววันต่อมามีเหตุการณ์ใกล้เคียงกับความฝันมากอย่างนี้เรียกว่าสัญชาตญาณหรือเปล่าคะ

อีกเรื่องหนึ่งนะคะ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว กลับบ้านตอนเย็นต้องผ่านวัดพอเลยวัดมาได้สักครู่ได้กลิ่นธูปและน้ำอบไทยอย่างแรงในรถไม่ทราบว่ามาจากไหน ขับมาเรื่อยๆได้สักพักก็ถึงสี่แยกเลยสี่แยกไปประมาณ 2 ป้ายรถเมล์กลิ่นก็หายตรงป้ายรถฯ พอดี ... (สงสัยจะมาต่อรถเมล์) เรื่องจริงนะคะ

By kimeng suk: ความฝันเกิดจาก (ตอบโดยยึดหลักพระไตรปิฎก อาจไม่ครบถ้วน แต่ก็เอาที่จำเป็น)

1) เทวดามาเข้าฝัน บอกเหตุล่วงหน้า ซึ่งมักจะเป็นความจริง หรือใกล้เคียง ที่ถามมาน่าจะเป็นข้อนี้

2) กายละเอียดเราออกจากตัว ไปรู้ไปเห็นเอง เช่น ฝันว่าเคยไปสถานที่แห่งหนึ่งในฝัน ต่อมาได้ไปที่ตรงนั้นจริงๆ แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าเคยฝันเห็นก่อน

3) ธาตุวิปริต ฝันเป็นตุเป็นตะ จากใจคิดไปเอง ร่างกายแปรปรวน พวกนี้มักไม่จริง

กลิ่นหอมหรือเหม็นที่เราได้กลิ่น เคยถามผู้รู้ว่าเกิดจากอะไร ท่านตอบว่า ถ้าเป็นกลิ่นหอม มักจะเกิดจากโอปปาติกะ หรือกายละเอียด ที่มีบุญทำให้เกิด ถ้าเหม็นก็เป็นพวกไม่มีบุญ พวกนี้เขาจะมีฤทธิ์ บางกายละเอียด ก็ปรากฏกายให้เห็น แต่เป็นอยู่ได้ชั่วขณะ หรือทำให้เกิดเสียง เกิดกลิ่น แต่ทำให้เป็นตัวไม่ได้ กายละเอียดที่อยู่บนโลก เป็นพวกมีบุญแต่ไม่พอขึ้นสวรรค์ หรือมีบาป แต่ก็ไม่มากพอจะไปนรก ถ้ามีใครตาย ตอนถอดจิตใหม่ๆ ถ้าได้กลิ่นหอม แสดงว่าได้ไปดี อาจมีเทวดามารับ แต่ถ้าได้กลิ่นเหม็นไปไม่ดี มียมพบาลมารับ

เมื่อไม่นานมานี้ไปงานศพเพื่อนที่ตายด้วยโรคมะเร็ง ก็นั่งได้กลิ่นหอมของธูปหอมที่แปลกมาก หอมหวานชื่นใจ ไม่ใช่กลิ่นธูปธรรมดา หอมนานจนกลับ พอบอกไปลาศพว่าจะกลับละนะ กลิ่นนั้นหายไปเลย ถามใครก็ไม่มีใครได้กลิ่นนี้ ไม่มีสักคน เราก็นึกในใจ รู้แล้วว่าเขาไปดี

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

83 คนไข้คนแรกของหมอใหม่หมาดๆ By: kimeng suk

@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
@ 52... นี่จึงเป็นนายกรัฐมนตรีที่ผมอยากได้ครับ
@ นายกฯที่ฝ่ายต่อต้านกล่าวหาว่าโง่ในสายตาผม
@ "นายกฯปู"เอาใจคนเมืองคอน ใจป้ำ อนุมัติสร้างทางเชื่อมสะพานทันที 53 ล้าน หลังรัฐบาล"มาร์ค"ไม่ดูแล
@ 53... ผมคงต้องยอมรับเสียที ผมนี่แหละครับ รับจ้างโพสท์
@ หนี้ 1.14 ล้านล้าน เอกลักษณ์ ประชาธิปัตย์ หงุดหงิด แต่ไม่แก้
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ ชุดที่1
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน เวียดนาม ชุดที่2
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน สิงคโปร์ ชุดที่3
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน อินเดีย ชุดที่4
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ฟิลิปปินส์ ชุดที่5
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ร่วมประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ ชุดที่6
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน มาเลเซีย ชุดที่7
@ 54... "นายกฯปู" สวมชุดนักบินเหินฟ้าชมการใช้กำลังทางอากาศ
@ 81 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือนกองทัพไทย
@ ภาพชุดงานสโมสรสันนิบาต วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5ธ.ค.2554

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...


ขอขอบคุณและขออนุญาตคุณ kimeng suk นำข้อเขียนของท่านมาลงไว้เว็บนี้นะครับ


คนไข้คนแรกของหมอใหม่หมาดๆ
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค

ตอนที่1 "ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา"
ตอนที่3 "ผีหลอกหมอ"
ตอนที่4 "อะไรทำให้ รวยและ รวย จากคนจนสุดๆกลายเป็นเศรษฐีใหญ่"
ตอนที่5 "ถูกพ่อดูถูกถึงได้เป็นหมอ"
ตอนที่6 "ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมเป็นหมอทำแท้ง"
ตอนที่7 "ทำไมถึงจนอย่างนี้"
ตอนที่8 "อีแปะมันหด-อัศจรรย์ปาฏิหาริย์-โด่ไม่รู้ล้ม"

ตอนนี้พอมีเวลาและอารมณ์จะเขียน ก็เลยมีกระทู้บ่อยหน่อย ถ้าหมดอารมณ์ก็เขียนไม่ออก มันตื้อนะ คงหยุดเขียน

วันนี้จะเล่าเรื่อง การผจญภัย ในการออกตรวจเป็นหมอเต็มตัววันแรก ยาวหน่อยนะแต่สนุก ไม่เคยมีหมอคนไหนเอามาเล่าให้ฟังหรอก เขาอายกันนะ

พอเรียนจบต้องเป็นแพทย์ฝึกหัด ก็ต้องย้ายโรงพยาบาล และออกตรวจคนไข้ในวันรุ่งขึ้นคนเดียว ฉายเดี่ยว ซึ่งปรกติต้องมีอาจารย์หรือรุ่นพี่คอยประกบด้วย คราวนี้ไม่มีใครให้เราปรึกษา ตัวคนเดียวแท้ๆ ช่างน่าสงสารจริงๆ หมอเด็กๆ อายุเพิ่ง 23 เอง

วันนั้นตอนเย็นออกตรวจ ครั้งแรก เต๊ะท่าเป็นหมอเต็มที่ ใส่เสื้อกาวน์ เอาหูฟังของหมอแขวนคอ เดินกระดุกกระดิก จังหวะสโลว์โมชั่น ทำหน้าขรึมๆ ยืดอกเดินหน้าตั้ง ไปที่ห้องตรวจ OPD นึกในใจว่า เราเป็นหมอเต็มที่ละนะ ต้องมีมาดให้ดีๆหน่อย ยิ้มมากหรือหัวเราะดังๆแบบที่เคยทำไม่ได้ ต้องอมยิ้มน้อยๆ ผงกหัวทำเป็นเข้าใจ และสนใจคนไข้เต็มที่

พอเปิดประตูห้องตรวจเข้าไป โอโห้ คนไข้เต็มห้อง เสียงเด็กร้องบรรเลงเพลงคลาสสิกของเด็ก ไม่รู้มีกี่โทนเสียง ไอ้เราก็นึกว่า นี่เราต้องตรวจคนเดียวหมดนี่เลยหรือ ตายละหวา

รายแรกที่เจอ คือเด็กอายุ ไม่ถึงเดือน นอนชักกระตุกแหงกๆ คิดดูซิเด็กตัวเล็กๆเหมือนลูกแมว แขนขากระตุกไม่หยุด ตัวก็กระตุก ร้องเสียงแหงวๆค่อยๆ ไม่บรรเลงแหกปากแข่งกับข้างนอก มันช่างน่าสงสาร พอเอามือไปแตะไอ้ลูกแมวตัวเล็กก็ยิ่งกระตุกใหญ่ โฮย น่ากลัวจริงวะ หมอใหม่หมาดๆ ยืนงง นึกในใจว่าโรคอะไรหวา มันเป็นอะหยังนี่ ต้องทบทวนๆๆๆๆคิดๆๆก่อน โรคเด็กก็เรียนเวียนผ่านมาเกือบปีแล้ว ชักลืมๆ เอามือเกาหัวแกร็กๆ ลืมมาดคุณหมอไปหมด

พยาบาลรุ่นเดอะ เขาเห็นหมอใหม่ถอดด้ามยืนมอง ทำหน้างงๆเกาหัวแกร็กๆ เขาคงสงสาร และคงจะรู้ด้วยว่า หมอนี่ไม่รู้เรื่องแน่ๆ เขาก็ตะโกนดังๆแบบไม่ไว้หน้าหมอใหม่ ว่า หมอๆ บาดทะยักไง ไอ้เราก็หน้าแตก แต่ทำเป็นบอกเขาว่า รู้แล้วค่ะ กำลังคิดอยู่ว่าจะเอาอย่างไรดี (เคยเห็นแบบนี้ครั้งหนึ่งนานแล้ว แต่ตอนนี้ตื่นเต้นคิดไม่ออก)

พยาบาลเขาก็ดีจริงๆ หักหน้าหมอใหม่ต่อว่า หมอๆรีบรับไว้ในโรงพยาบาลเลย เดี๋ยวมันชักตาย หมอใหม่ก็เลยบอกว่า เอาก็เอา ทำตามนั่นเลยพี่ แล้วก็ถอนใจโล่งอก นับว่าทำได้ไม่เลวนะเรานี่

รายต่อมาคนไข้เด็กท้องเสีย พอตรวจเสร็จจะสั่งยาให้คนไข้ ดันลืมชื่อยาทางการค้า รู้แต่ชื่อยาทางเคมี นั่งจิ้มแห้งใบสั่งยาอยู่ตั้งนาน เอาไงดีวะเรา จะถามตรงๆก็กลัวเสียเชิง เลยถามว่า ยาแก้ท้องเสียที่นี่มีอะไรบ้าง ไม่รู้ว่าจะเหมือนกับที่โรงพยาบาลที่เรียนมาหรือเปล่า พยาบาลเขาก็ยิ้มๆ แล้วบอกชื่อยามาให้หลายตัว เราเลยรอดตัวได้ เขียนชื่อยาได้ แต่ดันลืมขนาดยาที่จะให้อีก แต่ใช้วิธีเดาๆเอาว่า เด็กขนาดนี้มันก็ควรจะเป็นช้อนชาไม่ใช่ช้อนโต๊ะ วันละสามครั้ง ตามหลักการให้ยาทั่วๆไป และก็เดาถูกด้วย รอดไปอีกที โล่งอกๆๆๆๆๆ เฮ้อ ต้องหายใจแร็งๆๆเอาอ๊อกซิเจนเยอะๆมาให้สมองใช้ เพราะศึกหนักรออยู่เต็มห้อง

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เป็นหมอนะอย่าไปดูถูกพยาบาล เห็นว่าเขาเรียนน้อย โง่กว่าเรา เขามีประสบการณ์เห็นคนไข้มากกว่าเรา บางอย่างเขาทำได้ดีกว่าหมอเสียอีก ต้องเคารพให้เกียรติเขา และเขานั่นแหละจะมาช่วยเราด้วยความเต็มใจ

หมอบางคนโดยเฉพาะหมอจบใหม่ๆ ชอบดูถูกพยาบาล บางคนด่าเขา ไม่พอใจก็ตวาด หน้าหงิกหน้างอ ดีนะที่เป็นพยาบาล ถ้าเป็นเราโดนแบบพยาบาลโดนบ้าง มีหวังหมอคนนั้นโดนถีบกลับทันที

หมอใหม่มักจะทำอะไรเชยๆบ่อยๆ วันหลังจะมาเล่าให้ฟัง มีทั้งเรื่องตลก เรื่องเศร้า สารพัด เคยเจอแม้กระทั่งถูกคนบ้าไล่ตี ทำให้มีสถิติที่วิ่งเร็วที่สุดในชีวิต ถ้าอยากฟังโปรดให้กำลังใจค่ะ เป็นคนบ้ายอนะค่ะ แต่ไม่ใช่โรคบ้าจริงๆ

By เคาวันสน: 555 หนุกดีครับบ...ไม่ว่าอาชีพอะไรต้องรักษาฟอร์มเหมือนกันหมดนะครับ

By หลวงพี่เตี้ย: เวรกรรม คุณหมอเขียนอย่างนี้ ผมไม่กล้าให้หมอหนุ่มๆตรวจแล้ว ประเภทเดาๆเอา มันน่ากลัวนะหมอ 55555

By แดงสารคาม: เก่งครับที่เอาตัวรอดได้ ประสบการณ์ครั้งแรกหลายคนก็พลาด แบบนี้ถือว่าเยี่ยมครับ

By doctorve: สงสัยจะตื่นเต้น จนลืม ซักประวัติ มั้งครับ

By kimeng suk: case แรก ไปถึงเห็นเด็กชักตระแหงก ชักมาก น่ากลัว ก็ตกใจ ลืมหมด จริงๆก่อนปล่อยเดี่ยว เราก็ได้รับการฝึกตรวจคนไข้มาก่อนจากปี 3-6 ต้องซักประวัติ ตรวจร่างกายคนไข้ แล้วถึงจะวินิจฉัยโรค สั่งยา รู้ตัวเองดีว่าขี้ตื่น ถึงไม่ยอมเป็นหมอผ่าตัด หมอสูติ ไปเรียนหมอเด็กแทนเรียนอยู่ สามปี ได้รับวุฒิบัตรผู้ชำนาญโรคทางกุมารเวช เพราะถ้าเป็นหมอผ่าตัด เห็นคนไข้เลือดพุ่งกระฉูด ลนลานแน่ๆ ทำอะไรไม่ถูกคนไข้ตายแหง่ๆ ไม่เหมือนสามี รายนั้นหมอสูติ ผ่าคนไข้ เลือดพุ่งน่ากลัวมากๆ ยังใจเย็น ร้องเพลงได้ ทำไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นเรา เต้นตายเลย เผลอๆหัวใจเราเองหยุดเต้น ตายก่อนคนไข้ซะอีก

แต่พออายุมากเข้า มีประสบการณ์มากขึ้นๆ ก็ปรับตัวได้ เดี๋ยวนี้ มีอุเบกขา อะไรๆก็รู้จักเฉยได้มาก แต่อย่าให้หลุดนะ ถ้าหลุดเป็นได้เรื่อง ปีนขึ้นไปเต้นบนยอดไม้ ไม่ยอมลงง่ายๆ

By ลิงจุ่น: ตอนทำงานบริษัท มีหมอนั่งในห้องปิด หน้าห้องเป็นพื้นที่เปิดมีพยาบาลอยู่ 3 คน เวลาพนักงานมีปัญหาเจ็บไข้ได้ป่วยก็จอดที่พยาบาลเกือบทุกราย หมอนั่งง่วงได้แต่นั่งอ่านหนังสืออ่านตำราไปทั้งวัน หลายครั้งที่พยาบาลจ่ายยาฉับๆๆ ให้พนักงาน แต่ถ้าไปหาหมอบางครั้งก็เปิดตำราสั่งยา (อันนี้ไม่ว่ากันดีกว่ามั่วมา)

By mai06: สงสารคุณหมอจังค่ะ แต่กรณีคนไข้เลือดพุ่งกระฉูด มันดูน่ากลัวไปมั้ยคะ และผ่าตัดมีเลือดพุ่งอีก การเรียนขั้นต้นๆของแพทย์และพยาบาล จะต้องมีการปฐมพยาบาลขั้นต้นเป็น มีการ Stop bleeding เป็นนะคะ

By kimeng suk: ผ่าเจอเส้นเลือดใหญ่ๆ มันพุ่งเป็นน้ำพุเลยค่ะ stop ไม่ทันง่ายหรอกค่ะ

By สีหมอก: เป็นกำลังใจให้ครับคุณหมอเจ้าของกระทู้ ใหม่ๆก็อย่างนี้แหละต้องอดทนที่จะเรียนรู้และพลาดให้น้อยที่สุด เพราะวิชาแพทย์หากพลาดอาจทำให้ชาวบ้านถึงตายได้ และขออย่ามีอีโก้สูงเกินไป

เท่าที่สัมผัสกับหมอส่วนใหญ่อีโก้สูงมากไม่ยอมฟังใครและยังดูถูกคนอื่นอีก ขอให้คุณหมอคนใหม่จงอย่าใช้อีโก้ในทางที่ผิด ขอให้คุณหมอรู้ว่าไม่มีใครเก่งไปเสียทุกเรื่อง เมื่อไม่รู้จงถาม เมื่อไม่เข้าใจจงซักให้ละเอียด อย่าทำแบบหมอส่วนใหญ่เลยครับ ศักดิ์ศรีมันกินไม่ได้หรอกครับ แต่ถ้าพลาดไม่เพียงจะทำให้คนบาดเจ็บหรือตาย แต่อาจทำให้คุณหมอเองอาจถูกดำเนินทั้งคดีแพ่งและอาญาได้ครับ


หมอชอบฆ่าแมว แล้วก็ตายเหมือนแมว
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค

ขอส่งท้ายปีเก่าตอนรับปีใหม่ ด้วยความสุข ให้ทุกท่านใจสบาย คิดสิ่งใดก็ให้สมหวังดังใจนะค่ะ

วันนี้จะมาเล่าเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในคนที่เป็นหมอ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว เรื่องจริงซะด้วย จริงยิ่งกว่าจริง น่าสนใจว่า คนที่เป็นหมอ ทำได้อย่างไร คงจะเป็นหมอคนเดียวในโลกที่ทำเช่นนี้

มีหมอคนหนึ่ง สูงหล่อ สมาร์ทมากๆ สาวๆเกรียวกราว ตาหวานเยิ้มเลยละ เมื่อได้คุยกับหมอคนนี้ เขา เรียนจบจนได้วุฒิบัตรขั้นสูงของทางการแพทย์ รวยมาก พ่อมีร้านทองตั้งหลายร้าน ขับรถเบ็นซ์สปอร์ต แต่หมอคนนี้มีนิสัยประหลาด คือไม่ชอบแมว อย่างเข้าไส้ ไม่ใช่ไม่ชอบแบบธรรมดานะ แม้แต่คนที่ชื่อแมวยังไม่ชอบ เชื่อไหม พยาบาลที่ชื่อแมว เดินตามดูคนไข้ ยังโดนเล่นงาน ไม่ด่า ก็ตวาด ร้ายสุดก็เอา chart ฟาด (แฮ่ แฮ่ ถ้ามาฟาดเรา เป็นได้โดนถีบกลับทันที แบบ ส.ส ดอนเมือง โดนถีบไง) จนเป็นที่รู้กันว่า คนชื่อแมวอย่าเข้าใกล้หมอคนนี้เด็ดขาด เพราะหมอคนนี้ดุกว่าหมา

เวลาเห็นแมว หมอจะวิ่งไล่ตามให้ทัน แล้วกระทืบๆๆจนเละคาตีน วิ่งไล่แมวในโรงพยาบาลบ่อยๆ ช่างไม่มีมาดคุณหมอเลยนะนี่ ไม่รู้เป็นโรค ปสด หรือเปล่า(ประสาทแดก)

วีรกรรมที่เด็ดที่สุดดังสนั่นไปทั้งโรงพยาบาลคืออะไรรู้ไหม เขา เอาลูกแมวแรกเกิด ตัวเล็กกระจิ๋วหลิว ตายังไม่ลืมเลย ใส่ลงชักโครก แล้วชักโครกให้น้ำพาลูกแมวลงท่อ (ลงท่อได้หรือเปล่าก็ไม่รู้) บางครั้งก็โยนแมวหรือลูกแมวลงจากหอพักแพทย์ชั้นสี่ แล้วแมวมันจะไปเหลืออะไร เละเป็นโจ๊ก นี่ถ้าเขาไม่กลัวคนเขาว่าเป็นคนตะกละ เขาก็คงเอาแมวที่โยนลงมาจากตึก ไปย่างกิน จิ้มน้ำจิ้มแบบไก่ย่าง แซบอีหลีเด้อ

แต่ที่ร้ายที่สุดและชอบทำบ่อยๆ ก็คือ เอาแมวใส่ถุงพลาสติก รัดหนังสติ๊กให้แน่น โยนลงสระน้ำหน้าหอพักแพทย์เวลากลางคืน มันลอยตุบป่องๆ เช้ามาก็เรียบร้อย แมวตายทุกราย เพราะขาดอากาศหายใจ หมอเขาคงจะร้อง ฮ้า ฮ้า สะใจจริงวุ้ย มันตายแล้วๆๆๆๆๆ

มีคนไปสอบถามดูว่าเพราะอะไรถึงได้เกลียดแมวขนาดนี้ เขาบอกว่า แมวที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า ไปกัดย่าของเขา จนย่าตายเพราะโรคพิษสุนัขบ้า เขารักย่ามาก จึงแค้นใจสุดๆ อาฆาตแมวมาตลอด ถ้าเห็นแล้วไม่ได้ฆ่า มันไม่สบายใจ ต้องจัดการๆ แล้วถึงจะนอนหลับ

พยาบาลหลายคนไปเตือนหมอคนนี้ว่า การฆ่าแมว เป็นบาป เพราะแมวนี่ คนโบราณถือว่ามีเก้าชีวิต ฆ่าแมวเหมือนฆ่าเณร เขาบอกว่า ใครจะมาทำอะไรผมได้ ใครจะกล้า ผมไม่กลัว บาปเบิบอะไร ผมไม่เชื่อถือทั้งนั้น

แหละแล้วเมื่อวันเวลามาถึง ไม่มีใครทำอะไรเขาได้ แต่บาปกรรมที่ทำไว้ก็ไม่มีละเว้น ใครทำกรรมใดไว้ก็ต้องได้รับผลเช่นนั้น ตอบกลับ ไม่ช้าก็เร็ว แต่รายนี้เห็นกันในชาตินี้เลย

หมอคนนี้แต่งงานกับเภสัชกรคนหนึ่ง พวกโรงพยาบาล หมอพยาบาลก็แห่กันไปแต่งงานที่ต่างจังหวัดบ้านของหมอคนนี้กัน เหมารถทัวร์ไปกันเลยแหละ หลังจากนั้นหมอกับเมียก็ไปฮันนี่มูนที่ฮ่องกง โดยขับรถสปอร์ตสีแดงราคาแสนแพงจากที่โรงพยาบาลต่างจังหวัดที่ทำงาน ไปจอดไว้ที่ดอนเมือง ขากลับมาก็ขับรถมาสองคน

ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ในตอนกลางคืน รถที่ขับมาเกิดตกลงไปในคูน้ำข้างทาง ไม่มีคนรู้เห็นซักคน ตอนเช้ามีคนเห็นหลังคารถโผล่พ้นน้ำ จึงไปช่วยกันเอารถขึ้นมา ปรากฏว่า ทั้งหมอทั้งเมีย นั่งคาดเข็มขัดนิรภัยอยู่เรียบร้อย ปากเผยออ้าแบบคนขาดอากาศหายใจ ตายสนิท ไม่มีร่องรอยของการดิ้นรนเอาชีวิตรอดเลยแม้แต่น้อย ซึ่งน่าสงสัยมาก ทำไม๊ ทำไม ตายง่ายๆ ไม่ช่วยตัวเองเลย เหมือนตกลงไปก็ตายเลย

เห็นไหม เอาแมวใส่ถุงโยนน้ำ จนแมวขาดอากาศหายใจ ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ เมื่อเวลากรรมตามทัน ตัวเองก็ตายเหมือนแมวเดี๊ยะเลย ส่วนเมียก็คงมีกรรมคล้ายๆกันมา จึงมาตายพร้อมๆกัน

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า กรรมชั่วมีจริง ทำกรรมอะไรก็จะได้ผลกรรมนั้นตอบแทน ช้าหรือเร็วเท่านั้น อย่าไปทะนงคิดว่าใครจะมาทำอะไรตัวเองไม่ได้เหมือนหมอคนนี้ เราคิดเอาเองเออเองนะคิดได้ แต่เรื่องจริงมันไม่ใช่อย่างที่เราคิด พระพุทธองค์ ทรงเน้นย้ำเรื่องกฎของกรรมเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ทำกรรมดีก็ต้องได้ดี ทำกรรมชั่วก็ต้องได้ชั่ว

แต่คนสมัยนี้ก็ไม่ค่อยเชื่อ กูเก่ง กูรู้มาก กูเรียนมาสูง กูรู้ไปหมดแล้ว ไม่ต้องมาสอน ขอถามซักคำว่า มีเรามีอะไรดีกว่าพระพุทธเจ้า ผู้เป็นผู้ที่ตื่น ผู้รู้และผู้ที่มีใจบริสุทธิ์หมดกิเลสแล้ว เรามันก็ไอ้มนุษย์ขี้เหม็นคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าไม่เชื่อคำสอนของพระองค์แล้วจะเชื่อใคร เชื่อตัวเองนิ

By sri123: ไม่ได้สงสัยในเรื่องความดีและชั่วนะคะ เชื่อว่า ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว เป็นสัจธรรม คือความจริงที่สมบูรณ์ ถึงเวลาก็ต้องตาย ยิ่งเมื่อประมาท ก็ถึงกับตายได้ทุกเวลาค่ะ

By kimeng suk: ไม่ได้บอกว่าตายเพราะฆ่าแมวนะค่ะ บอกว่าตายเหมือนที่แมวตาย คือขาดอากาศหายใจเหมือนกับที่ทำกับแมวไว้ อาจจะตายจากกรรมนี้หรือกรรมอื่นๆมาส่งผลรวมๆกันก็ได้

ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจเรื่องของกรรมก่อนว่า อานิสงส์หรือความรุนแรงของกรรมที่ทำจะส่งผลไม่เท่ากัน แม้จะเป็นการกระทำแบบเดียวกัน เช่นฆ่าแมว หมอคนนี้เจตนาฆ่าแบบอาฆาตมาดร้ายชัดเจน และฆ่าหลายครั้ง เนื่องจากอานิสงส์ของกรรมขึ้นอยู่กับใจและเจตนาที่ทำ ซึ่งแบบนี้จะรุนแรงมากมาก และจะสะสมขึ้นตามจำนวนครั้งของกรรมที่ได้กระทำ

ส่วนอีกคนถ้าฆ่าแมวเหมือนกัน ถ้าใจและเจตนาเท่ากัน จำนวนครั้งเท่ากันก็จะได้ความรุนแรงเท่ากัน แต่การส่งผลของกรรมไม่ได้เป็นบัญญัติไตรยางศ์เช่นนั้น มันขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกอันหนึ่งนั้นคือ คนๆนั้นๆได้ทำความดี ทำบุญกุศล คือมีบุญอยู่ในตัวด้วยไหม ถ้าไม่มีบุญมีแต่บาปพอๆกับหมอคนนี้ กรรมนั้นก็จะส่งผลรุนแรงคล้ายๆกัน อาจจะเห็นในชาตินี้เหมือนกันเลย

แต่ถ้าเขาทำความดีทำบุญมากกว่า บุญที่เขามีอยู่ก็จะพาเขาวิ่งหนีบาป ถ้ามีบุญมากกว่าบาป กรรมชั่วก็จะส่งผลไม่ได้ทันเห็นในชาตินี้ แต่จะส่งผลแน่ๆอาจจะหลังจากตายแล้ว ไปลงนรก หรือส่งผลเมื่อไหร่ ชาติไหนก็บอกไม่ได้ ซึ่งต้องเป็นหลังจากเมื่อบุญของเขาน้อยลง คือทำความดีทำบุญน้อยลง จนน้อยกว่าผลบาปที่รอจะส่งผลอยู่

ซึ่งเรื่องนี้พระพุทธองค์ทรงยืนยันไว้ชัดเจนในพระไตรปิฎก การทำความชั่วแบบไหน แล้วจะตายแบบนั้น มันไม่แน่นอนว่าจะต้องตายแบบนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยของบุญด้วย แต่ในพระไตรปิฎกพระพุทธองค์ ทรงกล่าวว่า ฆ่าวัวหนึ่งตัวต้องไปตกนรกจนหมดกรรมนั้นก่อน แล้วมาเกิดเป็นวัวให้เขาฆ่าเท่ากับขนวัว จะฆ่าแบบไหนก็แล้วแต่

คนทำกรรมชั่วแล้วไม่ได้รับผลของกรรมชั่วในชาตินี้ ก็เพราะว่า ชาตินี้เขายังมีบุญที่เขาได้กระทำมาในชาติก่อน หรือบุญที่ทำในชาตินี้ร่วมด้วย บุญยังส่งผลอยู่ เปรียบเหมือนเขามีกำแพงบุญล้อมเขาไว้ ทำให้บาปหรือกรรมชั่วไม่สามารถเจาะเข้าไปส่งผลได้ แต่เมื่อหมดบุญ กำแพงบุญทลายลง ผลบาปก็จะเล่นงานทันที ตามความรุนแรงของกรรมนั้นๆ

คนเราทำดีหรือชั่วต้องได้รับผลตามนั้น ไม่มีหลีกเว้นได้ ไม่เห็นในชาตินี้ก็อาจจะได้รู้เห็นเมื่อตายไปแล้ว เราเป็นมนุษย์อาจจะบอกว่า ไม่มีชาติหน้า ไม่มีนรกสวรรค์ เรื่องหลอกเด็ก แต่ขอประทานโทษ นี่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงยืนยันไว้อย่างให้ความสำคัญเลยว่า มีการเวียนว่ายตายเกิด มีชาตินี้ มีชาติหน้า มีนรก มีสวรรค์ ทรงกล่าวไว้ว่า สวรรค์ มี 6 ชั้น รูปพรหม 16 ชั้น อรูปพรหม 4 ชั้น นรกมี 457 ขุม เรามนุษย์ธรรมดาไม่สามารถไปรู้เห็นได้ แต่ถ้าเรานับถือศาสนาพุทธ เราต้องเชื่อในสิ่งที่พระองค์ทรงสอนไว้ เพราะทรงเป็นผู้ที่รู้ทุกอย่างของความเป็นจริงของชีวิต แบบ รู้แจ้ง รู้จริง ไม่มีอะไรมาปิดบังพระองค์ได้

เรื่องหมอคนนี้เป็นเรื่องจริง ขอยืนยันเพราะไม่รู้จะมาโกหกเอาอะไรกัน คนเรามันไม่เหมือนกัน จิตใจคนก็ไม่เหมือนกัน ฆ่าแมวทำไมจะทำไม่ได้ ทีฆ่าคนตั้งมากมายยังทำได้เลย ฆ่าคนไม่ร้ายกว่าหรือ ยิงเอายิงเอาคนเหมือนกันแท้ๆ ส่องยิงหัวเหมือนหมา บางคนร้ายกว่านี้ฆ่าเด็กที่น่ารักไม่รู้อีโหน่อีเหน่ยังทำได้ หมอคนนี้เกลียดแมวแบบต้องฆ่าถึงจะสะใจ แต่ถ้าเป็นคุณก็อาจจะแค่เตะมันกระเด็นไปเท่านั้น ใจมันต่างกันค่ะ

By ลิงจุ่น: ข้อสงสัยเรื่องหมอใจยักษ์คนนั้น...เภสัชกรที่เป็นภรรยามองเห็นความดีของหมอใจยักษ์อย่างไร ปกติคนที่มีจิตใจหยาบกระด้างเช่นนี้จะไม่มีความน่ารักสักนิด แล้วทำไมถึงไปรัก...หรือว่ารวย ??

...ถ้าบังเอิญเราดวงซวยไปเป็นคนไข้เขา ไม่รู้ก็แล้วไป ถ้ารู้คงหนาวขรี้ว่ามานจะฆ่าตูอ๊ะป่าว หรือเขาเคยฆ่าคนโดยไม่มีความผิดมาแล้ว และคนไม่รู้

อ่านเรื่องหมอใจยักษ์คนนี้ พาลเลยไปนึกถึงฆาตกรบางคนที่มีเกียรติยศสูงศักดิ์ในสังคม ฆ่าคนมาตลอดชีวิต เขาจะจบชีวิตอย่างที่ทำไว้บ้างหรือไม่หนอ

By kimeng suk: ปรกติหมอคนนี้ จะเป็นคนที่ไม่กร้าวร้าว ไม่อ่อนน้อม แต่ไม่ถึงกับแข็งโป๊ก เคยคุยกับเขาบ่อยๆ เขาก็ดูปรกติดี รักษาเก่ง รับผิดชอบดี มีคนไข้ขึ้นเยอะ เภสัชกรอาจจะรักเพราะรูปหล่อ รวย และเป็นหมอด้วย คิดดูซิว่า ถ้าลูกเราเป็นเภสัชได้แต่งงานกับหมอ เราพ่อแม่จะปลื้มแค่ไหน มีหน้ามีตา และแน่นอนลูกเราสบายแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว เขาอาจจะจบชีวิตแบบที่เขาได้กระทำ หรือแบบไหนก็ได้ ขึ้นอยู่กับ บุญและบาปที่เขามีในตัวของเขา จะเป็นสิ่งที่จัดสรรให้เกิดขึ้น มนุษย์ไปบังคับให้เป็นไปตามนั้นไม่ได้


ชีวิตสนุกที่สุดตอนเป็นนักเรียนแพทย์
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค

เราเองเป็นเด็กบ้านนอก เรียนจบมัธยมปลายที่ต่างจังหวัดเรียกว่า เป็นคนบ้านนอก บ้านนอกจริงๆ เคยมาเที่ยวกรุงเทพครั้งเดียว แต่งตัวก็เชยๆ ทะเรอทะร่า ม้าดีดกะโหลก ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร จริตจก้านก็ไม่มี เรียนพอใช้ได้ แต่เผอิญมาสอบเข้าเรียนเตรียมแพทย์ที่คณะแพทย์ในกรุงเทพได้

จำได้ว่าวันสอบสัมภาษณ์เข้าเรียน เดินเข้าห้องสอบ มีอาจารย์นั่งเรียงรอสัมภาษณ์เกือบ 7 คน ตัวเรางี้สั่นเป็นเจ้าเข้า เขาให้ร้องเพลง ประเทศไทย เราลุกขึ้นยืนตรง แล้วเริ่มบรรเลง ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย แล้วหยุด เงียบ เงียบ ตัวสั่นพรับๆ อาจารย์ก็รอการบรรเลงต่อ

เราก็ทำใจกล้า ส่งเสียงบอกท่านว่า โน้ตในใจมันพัง อ่านไม่ชัด เพราะกลัวค่ะ ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร งั้นเต้นช่า ช่า ให้ดูซิ เราก็ไม่รู้จักอีก เต้นรำไม่เป็น แต่ไม่เป็นไร มั่วได้ เลยเต้นท่าไส้เดือนถูกน้ำร้อนลวก ให้พวกท่านดู เห็นท่านหัวเราะกันฮา ฮา ฮา เราเลยมันส์ เต้นใหญ่ ลองนึกถึงท่ากระยึกกระยัก บิดไปบิดมาเหมือนไส้เดือนถูกน้ำร้อนยังไงยังงั้น จบแล้ว นึกไม่ถึง ท่านปรบมือกันดังสนั่นทุกคน บางคนก็เช็ดน้ำตา เราคิดนะว่าท่านร้องไห้เพราะสงสารท่าไส้เดือนของเราแหง่ๆ เดี๋ยวนี้นึกแล้วยังขำตัวเอง ว่าเต้นได้อย่างไร

ชีวิตนักเรียนแพทย์ตอนที่สนุกที่สุดคือตอนปีหนึ่ง นักเรียนแพทย์ผู้ชายจะมีมากกว่าผู้หญิง เพราะสมัยก่อนจำกัดโค้วต้าให้ผู้หญิงเข้าเรียนน้อยกว่า จะมีกิจกรรมร่วมกันเยอะมาก ที่บ่อยที่สุดก็คืองานเต้นรำ ไม่ว่างานอะไรก็จะมีเต้นรำ เต้นกันแต่หกโมงเย็นถึงหกโมงเช้า นักดนตรีขอเลิกก็ไม่ยอม (นักดนตรีของคณะแพทย์เอง) จนนักดนตรี ต้องนอนดีดกีร์ต้าเอาก็มี ส่วนมากก็จะชอบเต้นเพลงบอลรูม สวีทๆ โหย คิดถึงเวลานั้นจัง มันม่วนแต้ๆ มีอยู่ครั้งหนึ่ง พวกผู้ชายไปจ้างระบำจำบ๊ะ มาเต้น พวกผู้หญิงตื่นเต้น ไม่เคยเห็น พากันแย่งดูปีนขึ้นไปบนเวทีเราก็ปีนกับเขาด้วย เวทีมันทนไม่ไหว พังครืนลงมา ถลอกปอกเปิกกันเป็นแถว ดีขาไม่หัก พวกผู้ชายหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง สมน้ำหน้าผู้หญิงที่ไปแย่งที่ของเขาดู

บางครั้งพวกหอชายก็เอาหนังโป๊มาฉาย โจงใจหันจอมาทางด้านหอหญิง พวกผู้หญิงปิดไฟกันหมด พากันออกมาแอบหมอบดูตรงระเบียง กลัวพวกผู้ชายจะเห็น หมอบจนเมื่อยไปหมด ก็ทนเอา พอเช้ามาก็ตีหน้าตาย เต๊ะท่าว่าฉันไม่รู้ไม่ได้ดูนะ แต่บอก พวกเธอนี่ ทุเรศที่สุด ไอ้พวกลามกจกเปรต

พวกหอชายเป็นพวกชอบโชว์ บางคืนก็แก้ผ้า ตีแบตมินตั้นกัน หรือแก้ผ้าเตะบอล สนุกสนานเฮฮากันมาก พวกผู้หญิง ก็ทนดูไม่ได้ด้ายๆๆ สุดแสนลามก เปรตหล่อกว่า ดูแล้วตาจะเป็นกุ้งยิง เลยปิดประตูห้องกันเงียบกริบ พวกผู้ชายเลยผิดหวังที่จะได้โชว์สาวๆสมใจอยาก 5555555

บางวันพวกผู้ชายก็เอากระป๋องผูกท้ายรถ ลากผ่านหน้าหอหญิงให้มันส่งเสียงดังหนวกหูไม่ต้องนอนกันละ พวกผู้หญิงก็ออกมาด่าเป็นไฟแลบ

พวกผู้ชายที่มีแฟนเป็นนักเรียนแพทย์ผู้หญิง หัวค่ำอ่านหนังสือแล้ว ก็จะมารับแฟนไปทานมื้อดึก สมัยนั้นที่ฮิตของนักเรียนแพทย์มากก็คือ ร้านก๋วยจั๊บเจ้าอร่อยข้างสวนลุม อร่อยมาก เราไปทานทุกวันๆละชาม ใส่เครื่องในเยอะๆ น้ำส้มหน่อย น้ำตาลนิด สุดแสนจะประทับใจในรสชาด บางคืนก็ขอเบิ้ลอีกชาม

อยู่มาวันหนึ่ง ท่านอาจารย์ก็ประกาศว่า ไอ้ร้านก๋วยจั๊บของท่านนักเรียนแพทย์ทั้งหลาย ถูกจับแล้ว ไอ้เราฟังก็นึกว่า คงขายยาเสพติดแหง่แก๋ เปล่าผิดคาด ให้เดาก็เดาไม่ถูก ถูกจับเพราะเอาหมามาทำก๋วยจั๊บขาย มีหัวกะโหลกหมากองเต็มร้าน

ตอนแรกได้ข่าว เราก็รู้สึก อยากจะอ๊วกเอาของเก่าออก อ๊วกเท่าไหร่ก็ไม่มีเนื้อหมา เครื่องในหมาออกมาสักที จนเจ็บคอระบมไปหมด นึกขึ้นมาได้ว่า เนื้อหมามันก็อร่อยดีนะ ได้อีกซักชามก็คงจะดี มันเป็นประสบการณ์ที่ประทับใจมาก ไม่มีวันลืม เพราะได้เป็นหมอที่กินเนื้อหมา เรียนจบหมอได้ ก็อาจจะเพราะกินเนื้อหมาประจำก็ได้นะนี่

ปีใหม่แล้วเอาเรื่องเบาๆมาเล่าให้ฟัง ไร้สาระหน่อย คลายเครียดจากการเมืองก็แล้วกันค่ะ

By สายน้ำแห่งเสรี: แก้ผ้าตีแบต ไม่ร้องวี๊ดว๊ายกันน่าดูหรือครับ ได้ยินมาว่าหมอชายเป็นเกย์เป็นกระเทยซะเยอะ

By kimeng suk: ก็ไม่ทราบค่ะ แต่คนพิเศษพวกนี้เขาจะมีพรสวรรค์ดีมาก ทำอะไรก็เก่งกว่าผู้ชายธรรมดา จัดดอกไม้ก็เก่ง เรียนก็เก่ง แถมบางคนหล่อสุดๆ กระชากใจคนแก่ได้เลยละ

By boy: คนบ้าเท่านั้น ที่เชื่อว่า นิสิต นักศึกษา แก้ผ้าตีแบต

By kimeng suk: ขอโทษค่ะ คนที่แก้ผ้าตีแบต หนึ่งในนั้นคือ สามีของเราด้วย เขาตีกันกลางคืนดึกๆหน่อย บางคืนตีโชว์แค็ดดี้สนามกอล์ฟข้างๆด้วยซ้ำ

จนป่านนี้เขายังเล่าให้ลูกหลานฟัง ถึงวีรกรรมอันนี้เลยค่ะ ด้วยความภาคภูมิใจที่ได้ทำอะไรพิเรนๆแบบนี้ตอนหนุ่มๆ

เรื่องนี้เป็นความจริง เป็นการสนุกๆของผู้ชายที่อยู่รวมกลุ่มกัน และเป็นวัยรุ่นอยู่ มีเรื่องที่เขาทำอะไรพิเรนๆอีกมากมายที่ไม่ได้เล่า พวกเขายังไม่ได้เป็นหมอ กำลังเข้าเรียนแค่ปีหนึ่งปีสองกันเท่านั้นนะ มันก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป พวกที่เรียนสูงๆเขาก็เลิกเล่นพิเรนด้วยแล้ว

และก็ไม่มีพิษภัยต่อใคร และไม่ได้เผยแพร่ออกไปภายนอก ยกเว้นบางคนที่ชอบโชว์ให้คนอื่นดู ซึ่งหมอก็มีคนดี คนจิตปรกติ ไม่ปรกติเหมือนๆกับสังคมอื่นๆ

แต่เขาก็จบมาเป็นแพทย์ที่ดีทำงานรับผิดชอบกันได้ทุกคน ยกเว้นพวกที่ตรวจพบว่าสุขภาพจิตผิดปรกติจริงๆ ก็ให้ออกไป ซึ่งเคยเห็นในคนละรุ่น

ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีสาระ เป็นการคลายเครียด หรือชีวิตคุณจะรู้จักแต่ความมีสาระ ทุกอย่างเป็นการเป็นงาน ซีเรียสแบบหมอทั้งหลายตลอดเวลา

เอ้า ใครไม่ชอบเรื่องไร้สาระแบบนี้ และเห็นว่าไม่ดี หรือดี ลองให้คะแนนมาซิ ว่าคนเราชอบแบบใจสบาย ขำขำ หรือแบบซีเรียส

?????


ใส่เฝือกท่าใหม่ ไฮ ฮิตเล่อร์
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค

ตอนที่เป็นแพทย์ฝึกหัดใหม่ๆ มีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งขณะนี้มีชื่อเสียงพอประมาณ ในทางการเมือง เขาเป็นคนที่น่ารักมาก คือสุภาพอ่อนน้อม พูดดี มารยาทดี ปากหวาน ท่าดีแต่ทีเหลว เชื่อไหมไม่มีเพื่อนคนไหนอยากอยู่เวรพร้อมไอ้หมอนี่เลย เพราะเขาเล่นเอาเปรียบ ปล่อยให้เพื่อนอยู่เวร ทำงานคนเดียวทั้งคืน ส่วนตัวเขาเองหายตัวไปทันทีที่ขึ้นเวร หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ไปไหนไม่รู้ ไปจีบสาว แอ่วสาว ไปไนท์คลับและไปไหนต่อไหน ไม่ให้เบอร์เพจเจอร์ หรือปิดเสีย พอเช้าก็กลับมารับหน้าอาจารย์ ทำเหมือนทำงานทั้งคืน ไอ้เพื่อนก็ไม่กล้าฟ้องอาจารย์ ได้แต่อยากเตะมัน หมั่นไส้มันมาก

เคยอยู่เวรพร้อมกับเขาหลายครั้ง โดยเฉพาะเวร ห้องคลอด จะมีแพทย์ฝึกหัดสองคน ซึ่งมีหน้าที่คอยเย็บแผลที่ช่องคลอด (perinium) ซึ่งเกิดจากการตัดให้ช่องคลอดกว้างขึ้น ลูกจะได้ออกมาง่ายๆ ไม่งั้นมันจะฉีกขาดกระรุ่งกระริ่ง เย็บลำบากมากและแผลอาจจะไม่ติดอักเสบได้ ที่โรงพยาบาลแห่งนี้คลอดคืนละเกือบ 30 คน พยาบาลเป็นคนทำคลอด หมอคอยเย็บ ไอ้เพื่อนเราก็ดันหายหัวไป ปล่อยเราคนเดียวซึ่งต้องรับผิดชอบ หมุดหัวเย็บช่องคลอดทั้งคืน

พอเช้า เขาก็กลับมา เซย์ ฮัลโลดาร์ลิ่ง เป็นอย่างไรบ้างเธอ ไอ้เราโมโหมาก เลยตะคอกแรงๆกลับไป ไปไหนมา ฉันเย็บแทนเธอจนหน้าฉันมันคล้าย perinium แล้วนะ เขากลับบอกว่า เฮ้ย มันดูสวยดีออก อ้าวเป็นงั้นไปอีก เรายังงงๆอยู่ว่า ตกลงใครว่าใครกันแน่ (นี่คือโทษของการที่เป็นคนปากดี ไม่ใช่คน ป.ม เหน็บแหนมใครไม่เป็น เลยเข้าตัวเอง)

ทุกเดือน แพทย์ฝึกหัดต้องย้าย ward ไปเรื่อยๆ จนครบทุก ward ตอนที่มันเกิดปัญหาขึ้นก็เพราะ หมอคนนี้ได้ย้ายไปอยู่ ward ศัลยกรรมกระดูก ซึ่งงานหนักมาก และต้องฝึกฝนทำหัตถการกับคนไข้เพื่อหาประสบการณ์ ไอ้หมอคนนี้มันไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย วันๆไม่เห็นหน้า โผล่มาเหมือนผีหลอก ป๊อปแป๊ปไปแล้ว คงเคยแค่มายืนดู หรือทำอะไรก๊อกแก๊ก เพื่อให้รุ่นพี่หรืออาจารย์เห็นหน้าเท่านั้น

วันหนึ่งเขาต้องอยู่เวร OPD ศัลย์กระดูกคนเดียว one man show พอดีมีคนไข้แขนหักท่อนบนข้างขวามา แพทย์เวรต้องใส่เฝือกให้ก่อน หรือปรึกษารุ่นพี่ที่อยู่เวรใน ถ้าตัวเองทำไม่ได้ แต่หมอคนนี้พอเห็นคนไข้ คงมึนๆงง คงคิดในใจ ปรึกษาตัวเองก่อนว่า เอาไงดีวะกู ใส่เฝือกไว้ก่อนดีกว่าไหม แต่จะใส่ท่าไหนดีละ กูเองก็จำไม่ได้โว้ย อะอะ กูคิดท่าใหม่ๆขึ้นมาได้แล้ว ใส่ท่าเก่าๆมันซ้ำซาก น่าเบื่อ เอาท่านี้ ไฮ ฮิตเล่อร์ เลยเป็นไง รับรองพรุ่งนี้ กูได้รับคำชมแน่นอน ว่าหัวแหลมเหมือนหัวลิง ว่าแล้วเขาก็จับคนไข้ ให้ยื่นแขน ตรงไปข้างหน้า แบบที่ทหารเยอรมัน ทำท่าแสดงความเคารพ ฮิตเล่อร์ ทำเหมือนกันเป๊ะเลย แล้วก็ใส่เฝือกในท่านั้น ใส่เสร็จก็ให้คนไข้กลับบ้าน พรุ่งนี้เช้านัดให้มาใหม่ มาตรวจที่คลินิกศัลย์กระดูก

คนไข้ก็สบายใจกลับบ้าน ไปนั่ง ไปยืน ไปนอน ไปเข้าห้องน้ำ ในท่า ที่แสดงความจงรักภักดี ต่อฮิตเล่อร์ อย่างสูงสุด ลองนึกดู ถึงภาพที่ คนไข้นอนท่า ยกแขนยื่นตรงไปข้างหน้า ตลอดคืน คงนอนหลับได้อย่างสบาย นี่ถ้าเขารู้ว่าท่านี่คือท่าอะไร เขาคงจะท่อง ไฮ ฮิตเล่อร์ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จนสว่างแน่นอน เผลอๆฮิตเล่อร์ ได้ยิน อาจจะลุกขึ้นมายืนข้างเตียง ถามว่าเรียกมาทำไม ฮ้า ฮ้า ฮ้า ฮ้า

ตอนเช้า คนไข้ก็มาตามนัด ที่ OPD ศัลย์กระดูก พออาจารย์เห็น คนไข้คนนี้ ก็ทำหน้าเหมือนผีหลอก โอ้ พระเจ้าจอร์จ (แบบคนสมัยนี้ชอบพูดเปี๊ยบ) ตะโกนถามลูกศิษย์ว่า ใครวะ ใส่เฝือกให้คนไข้แบบนี้ ทำแบบนี้ได้อย่างไร เสียชื่อฉันหมด แล้วก็ใส่เป็นชุดๆๆๆทั้งที่ยังไม่มีใครยอมรับว่าเป็นคนทำ สุดท้ายพอเหนื่อย อาจารย์คงนึกขึ้นมาได้ว่า ยังไม่รู้ว่าใครทำ ก็หันมาคาดคั้นว่าใครทำ วะ ใครทำรับมาเสียดีๆ

หมอคนทำยกมือขึ้น พูดเสียงอ่อยๆน่าสงสารมาก ผมทำครับ อาจารย์ก็ตาเขียวปั๊ด ตะคอกถามว่า เธอคิดท่านี้ขึ้นมาได้อย่างไร ผมเพิ่งอ่านหนังสือ สงครามโลกครั้งที่สองจบครับ ประทับใจการทำความเคารพแบบนี้มาก ก็เลยลองเอามาใช้ครับ ตอบเสร็จก็เขาก็ยิ้มแบบสุดประทับใจจริงๆ

และสิ่งที่เขาได้รับก็คือการได้ไปยืนทำความเคารพแบบนี้ ในห้องพักแพทย์ ยืนตรงยกแขนไปข้างหน้า พร้อมกับให้ตระโกน ไฮ ฮิตเล่อร์ ๆๆๆๆๆๆๆ ไปเป็นเวลา 15 นาที ให้ความประทับใจนั้นซึมซาบซ่านไปทั่วทั้งตัว ไม่ใช่แต่ที่ใจเท่านั้น

เรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า การจะเป็นหมอ ต้องรู้จักรับผิดชอบ ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียน ต้องใฝ่หาความรู้ให้มากที่สุด เพราะเราต้องไปรับผิดชอบต่อชีวิตของคนไข้

เรื่องนี้ไร้สาระ เอาสนุกๆ เป็น เรื่องจริง แต่เสริมแต่งสำนวนปรุงรส เอามันส์


วีรเวรของหมอใหม่
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค

เขียนเรื่องวีรเวรของหมออื่นมาหลายเรื่อง ก็จะขอเขียนวีรเวรของตัวเองบ้าง เดี๋ยวจะน้อยหน้า หรือคนจะพาลคิดว่าตัวเราเองดีเลิศสแมนแตนกว่าคนอื่นเขา

ตอนนั้นเป็นแพทย์ฝึกหัด ต้องหมุนเวียนไปฝึกที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แผนกศัลยกรรม ต้องออกทำการผ่าตัดเล็กๆน้อยๆ ที่ห้อง OR เล็ก วันนั้นเราออกผ่าตัดพร้อมรุ่นพี่ ไม่มีอาจารย์ อยู่ด้วย มีคนไข้คนหนึ่งถูกส่งเข้ามา เพราะมีก้อนขนาด 2-3 เซนติเมตร ที่ติ่งหูข้างขวาเป็นก้อนไขมัน (sebaceous cyst) ตอนนั้นรุ่นพี่กำลังยุ่งผ่าคนอื่นอยู่ เขาก็ตะโกนถามว่า น้องๆ ผ่าเองได้ไหม คงเห็นเป็น case ง่ายๆ เรารีบตอบ สบายมากค่ะ รู้สึก ดีอกดีใจใหญ่ที่จะได้ลงมือทำด้วยตัวเอง ต้องโชว์ฝีมือให้รุ่นพี่เห็น เผื่อจะแลสายตาชื่นชมยกย่องมาทางเราน้องหมีตัวอ้วนๆน่ารักบ้าง

เราก็ไปล้างมือตามวิธีการของหมอที่จะผ่าตัดคนไข้ แล้วก็เอาคนไข้ขึ้นนอนบนเตียงทำความสะอาด ทายาฆ่าเชื้อโรค รอบๆหู คอและหน้าซีกนั้น ทาให้เว่อร์ๆไว้ก่อน เอาผ้าที่ฆ่าเชื้อแล้วคลุมหนึ่งชั้น เอาผ้าฆ่าเชื้อที่เจาะรูตรงที่จะผ่าตัดคลุมอีกชั้นหนึ่ง เสร็จแล้ว ลงมือได้ แอ่น แอ้น

เราฉีดยาชารอบๆก้อนนั้นก่อน แล้วก็ค่อยๆกรีดมีดลงบนก้อนนั้น ตั้งอกตั้งใจ เลาะเอาก้อนนั้นออก เลาะข้างโน้นข้างนี้ ต้องระวังไม่ให้มันแตก และสำคัญที่สุดต้อง เอาออกให้หมด เหลือไว้ไม่ได้แม้แต่เล็กน้อย โดยเฉพาะผนังที่หุ้มก้อน เดี๋ยวมันจะขึ้นมาใหม่ มันส์มาก เลาะอย่างเพลิดเพลินใจ ติดตรงไหน เราก็ทุ่มพละกำลังและฝีมือ เลาะสุดชีวิต เลาะไปเลาะมา ก้อนก็หลุดผัวะออกมาอย่างง่ายดาย เราดีใจมาก ฝีมือตูนี่ไม่เลวนะ เลาะไม่นานก้อนก็หลุดง่ายๆ ไอ้เพื่อนๆฝีมือโหรยท่วยแพ้เราราบก็แล้วกัน ภูมิใจจริงวุ้ย

ซับเลือดให้แห้ง เสร็จแล้ว ก็มาดูหูคนไข้ เอะทำไม ข้างนี้สั้นกว่าอีกข้างมาก อนิจจา วัฏสังขารา มันจะไม่สั้นได้อย่างไร ก็เราดันไปตัดติ่งหูของเขาออกมาด้วยพร้อมก้อน มันถึงตัดออกได้ง่ายไง แล้วทำไงดีละ ตอนนี้หน้าเหลือแค่สองนิ้วเท่านั้น ซีดเป็นไก่ต้มข้าวมันไก่ มาดคุณหมอคนเก่งไม่มีเหลือ มีแต่หมอจ๋องกรอด ยืนเต้นเป็นเจ้าเข้าอยู่ และ ความฝันอันบรรเจิดที่จะมีคนมาทำตาชื่นชมให้หายวับไปกับตา

เหลือแต่ความกลัวความผิด ทำไงดีๆๆๆ จะบอกคนไข้หนุ่มสุดหล่อก็ไม่ได้ ว่าหูเขาแหว่งไปแล้ว ถ้าบอกมีหวัง โดนตบแน่ โถใครจะไม่โมโห เมื่อกี้ยังหล่อสุดๆ หูสองข้างเท่ากัน มันยัง เสริมความหล่อของใบหน้าอยู่ พระเอกลิเกแพ้ลุ่ย แต่พอเดินออกไปคราวนี้ กลายเป็น ไอ้หนุ่มหูแหว่งไปซะนี่ ถ้าเขารู้เรื่องตอนนั้น ลองนึกถึงหน้าของเขาซิว่าจะเป็นอย่างไร หน้ายักษ์ของทศกัณฑ์ ชิดซ้ายไปเลย ไปไกลๆ อย่ามาเข้าใกล้บาทากู

เลยทำใจกล้า เดินไปบอกรุ่นพี่ว่า พี่ๆมาดูอะไรนี่หน่อยค่ะ พอรุ่นพี่มาเห็น ก็อึ้งไป มองหน้าเราแบบดุมากๆ ไม่มีแววตาแห่งความเอื้ออารีแม้แต่น้อย เราก็ยิ่งตัวลีบเล็กลงๆ แต่รุ่นพี่มีสติดี เข้าไปพูดเจรจากับคนไข้ว่าจะแก้ไขให้ จะให้หมอศัลยกรรมพลาสติก มาทำหูให้ใหม่ จะเหมือนเดิมหรือเกือบเหมือนเดิม เขากล่อมจนคนไข้เข้าใจและใจอ่อนยอมรับ ไอ้เราก็เข้าไปยกมือไหว้ ขอโทษเขา สองสามรอบ เพราะ เรากลัวว่าไหว้รอบเดียว เขาจะไม่ยอมรับ เรื่องนี่ก็จบลงแบบ happy ending พอเรื่องจบลงด้วยดี เราก็หน้าบานเป็นกระด้ง โชคดีนะนี่ที่รุ่นพี่ปากดี มิฉะนั้น นึกไม่ออกว่าอะไรจะเกิดขึ้น

เรื่องนี้สอนว่า เป็นหมอใหม่ก็อย่าประมาท อะไรที่ทำได้ก็บอกว่าทำได้ ทำไม่ได้ก็ต้องบอกว่าทำไม่ได้ อย่าใจกล้าทำในสิ่งที่เกินความสามารถของตัวเอง ถ้าเกิดเรื่องแล้วมันเป็นเรื่องใหญ่ แก้ไขลำบาก