@ 027 Pictures...Bangkok Underwater 26 October 2011
@ 029 ชมภาพชุด! นายกฯปูลงเรือเยี่ยมประชาชนเขตดอนเมืองที่ถูกน้ำท่วมขัง...และภาพสวยๆจากสื่อมะกัน
@ 06 ทหารลูกผู้ชายจริง มีหรือไม่? นายกฯปู..จะเรียกตัวมาใช้งานได้ถูก..คน
@ 07 อ.จูงลา จะล่ารายชื่อไล่นายกฯปู ถาม ปชช. 16 ล้านเสียง หรือยัง???
@ ด้วยความเคารพ...ผมรู้สึกว่าพวกกระบวนการโป้งๆชึ่ง มันอยากให้กรุงเทพฯวิบัติจากน้ำท่วม
@ ชมภาพสวยๆทั้ง 3 ชุด บาหลี-ต้อนรับฮิลลารี-บันคีมูนที่ทำเนียบฯ
@ ทำไม? ทำไม?? ทำไม????????????
@ 08 เห็นด้วยไหม ว่าความเป็นจริง ประเทศไทย เกิดปัญหา จากความไม่กล้า และกฎหมายปัญญาอ่อน
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ ชุดที่1
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน เวียดนาม ชุดที่2
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน สิงคโปร์ ชุดที่3
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน อินเดีย ชุดที่4
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ฟิลิปปินส์ ชุดที่5
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ร่วมประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ ชุดที่6
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน มาเลเซีย ชุดที่7
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือนกองทัพไทย
@ ภาพชุดงานสโมสรสันนิบาต วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5ธ.ค.2554
@ "ดร.สุนัย" เอาจริง ยื่นเอกสาร "ศาลอาญาระหว่างประเทศ"
@ แจกปฏิทิน พ.ศ.2555 ครับ เชิญคลิกโหลดที่นี่...
@ "เจ้าอาวาสวัดดอนเมืองจำได้ นายกฯ "ด.ญ.ปู" ทะเลาะกับหมาแมว
@ ชมภาพชุด&Clip...งานแต่งน้องเอม12ธ.ค.54
@ อีกหนึ่งเสียงที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญครับ
@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
@ 52... นี่จึงเป็นนายกรัฐมนตรีที่ผมอยากได้ครับ
คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’
By: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
(บทความประจำสัปดาห์ ตอน ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...‘ดรัมเมเยอร์ไทยแลนด์แบนด์’ ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 17 ธันวาคม 2554)
หลายปีมาแล้ว ผมเคยเขียนเล่าเอาไว้ในเว็บไซด์ผู้จัดการว่า ไทยเรามารับเอาเพลงฝรั่งมาเต็มๆ เมื่อเรือรบของของรัฐนาวีอเมริกันเข้ามาอวดธง ในสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 เรือลำนั้นชื่อ Tennessee ซึ่งตั้งชื่อตามรัฐหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งตอนนั้นเรียกชื่อเป็นทางการในภาษาไทย ว่า “สหปาลีรัฐอเมริกา”
เมื่อเรือรบหลวงเทนเนสซี่เข้ามาถึง วงดนตรีประจำเรือได้ยกขึ้นมาบนฝั่ง ตั้งวงบรรเลงให้คนไทยได้ฟังกัน ที่ ‘ตำหนักแพ’ หรือปัจจุบันเรียกกันว่า “ท่าราชวรดิษฐ์”
คนไทยยุคนั้นตื่นเต้นกันมาก เพราะเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ ไม่เคยได้ยินเพลงฝรั่งเร็วๆ มันๆ อย่างนี้มาก่อน จึงเกิดความสนใจในเครื่องดนตรีฝรั่ง ประกอบกับตอนนั้น เป็นยุคที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิรูปการปกครองประเทศ และกิจการดนตรี ‘แตรวง’ แบบฝรั่ง เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พระองค์ท่านทรงสนับสนุน ให้คนไทยเราได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนกัน
เพลงแตรวงที่ทหารเรืออเมริกัน ได้นำมาเล่นในคราวนั้น มีเพลงจังหวะ ‘มาร์ช’ รวมอยู่ด้วย ซึ่งคนไทยยุคนั้น ชอบกันมาก เรียกได้ว่าทั้ง ‘เข้าหู’ และ ‘โดนใจ’ คนไทยเต็มๆก็ว่าได้ เพลงนั้นชื่อ “Marching Through Georgia” (เพลงนี้คนมักเข้าใจผิดว่า ชื่อเพลง“Marching To Georgia”)
เพลงนี้เป็นเพลงรื่นเริง ปลุกใจ ในยุคสมัยสงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ทหารฝ่ายเหนือของท่านประธานาธิบดี อับราฮัม ลิงคอล์น ฮึกเหิม ในการเดินทัพเจาะผ่านรัฐจอร์เจีย ตรงไปยึดเอาเมืองริชมอนด์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐเวอร์จิเนีย และเมืองหลวงของพวกฝ่ายใต้ด้วย เพื่อปลดปล่อยทาสผิวดำให้เป็นอิสระ
คนไทยเราเมื่อฟังแล้ว ต่างลงความเห็นว่า เพลงมาร์ชนี้ เพราะดี จังหวะก็สนุกสนาน แต่ร้องเนื้อฝรั่งไม่ได้ อย่ากระนั้นเลย ลากเอาทำนองฝรั่ง มาใส่เนื้อไทยเสียด้วยความชำนาญจะดีกว่า จึงเลยกลายเป็นเพลง “คุณหลวง อยู่กระทรวงยุทธนา” เด็กๆรุ่นก่อนสงครามโลกครั้งที่สองที่อยู่ในกรุงเทพฯ ร้องเพลงนี้กันได้กว้างขวางทีเดียว เพราะทำนองเข้าหูผู้คนดีนัก เนื้อเพลงมีอยู่ว่า
คุณหลวง...คุณหลวง
อยู่กระทรวงยุทธนา
ใส่เสื้อราชประแตน
ทำไมไม่แขวนนาฬิกา
เงินเดือนยี่สิบบาท
ดูเปิ๊ดสะก๊าดเสียเต็มประดา!
คำว่า “กระทรวงยุทธนา” นั้น ชื่อเต็มก็คือ “กระทรวงยุทธนาธิการ” ซึ่งต่อมาก็คือ “กระทรวงกลาโหม” นั่นเอง
พวกเจ้าหน้าที่อำเภอ และตำรวจ เมื่อร้องเพลงนี้ แล้วมักจะแปลงเนื้อเพื่อให้เข้ากับกระทรวง ที่พวกตนเองสังกัดอยู่ เนื้อร้องก็จะกลายเป็น “คุณหลวง...คุณหลวง อยู่กระทรวงมหาดไทย...”
หลังจากเมืองไทย ก้าวเข้าสู่ยุคดนตรีแบบฝรั่ง มีการตั้งวงดนตรีหลากหลายประเภท ตั้งแต่ วงเครื่องสายฝรั่ง วงดนตรีสตริงแบนด์ วงแจสแบนด์ รวมไปถึงวงดนตรีแบบเครื่องเป่า ที่เรียกกันติดปากว่า “แตรวง” ตั้งแต่ครั้ง ร.5 มีบทบาทสำคัญในการนำขบวนในงานบวช ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกว่า Brass Band หรือMarching Band หรือ Military Band นั้น ต่อมาท่านอาจารย์มนตรี ตราโมช บัญญัติศัพท์ภาษาไทยใหม่ว่า ‘วงโยธวาทิต’ วงดนตรีแบบนี้ ไม่ได้มีเฉพาะนักดนตรีเดินบรรเลงกันแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่มีผู้เดินนำ ที่เรียกกันว่า ‘ดรัมเมเยอร์’
ประวัติของ ‘ดรัมเมเยอร์’ ที่เล่าขานกันมานั้น นัยว่ามีมาตั้งเกือบสี่ศตวรรษแล้ว โดยมีหลักฐานมาจากกองทหารอังกฤษ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1650 ว่า
วงดนตรีทหารอังกฤษ (Military Band) มี ‘ดรัมเมเยอร์’ เดินนำขบวนทหารในการฝึก หรือภารกิจประจำและภารกิจพิเศษอื่นๆ หน้าที่สำคัญของ ‘ดรัมเมเยอร์’ คือการเป็นผู้นำวงดนตรี ด้วยการให้สัญญาณจากไม้ยาวกว่า 1.50 เมตร แล้วแต่ส่วนสูงของผู้เดินนำ ปลายด้านบนอาจเป็นรูปกลมมน หรือรูปอื่น
ดนตรีทั้งวงจะต้องดูสัญญาณต่างๆ จาก‘ดรัมเมเยอร์’ ตั้งแต่เริ่มการออกเดิน โดยสัญญาณส่งจากไม้ หรือมักเรียกกันว่า “คทา” จนปัจจุบันมีการเรียกขานผู้เป็น ‘ดรัมเมเยอร์’ ว่า ‘คทากร’ (แต่ผมไม่คุ้น) นอกจากนั้น ยังมีอีกหลายสัญญาณจาก ‘ดรัมเมเยอร์’ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณสั่งการเปลี่ยนจังหวะ เปลี่ยนเพลง สั่งย้ายทิศทาง รวมไปถึงสัญญาณสั่งการ แปรรูปขบวน
ดังนั้น ผู้ที่เดินนำในฐานะ ‘ดรัมเมเยอร์’ นั้น แต่เดิมนั้น มักจะต้องเป็นผู้ที่รู้และเข้าใจดนตรี ที่สำคัญคือนอกจากหน้าตาควรจะดีแล้ว รูปร่างต้องสูงใหญ่มีความสง่าผ่าเผย เดินเหินต้องสวย จึงจะเข้าสะเป๊ก คนที่จะเป็น ‘ดรัมเมเยอร์’!
ใครคิดว่าการเป็น ‘ดรัมเมเยอร์’ ที่ถูกต้องตามแบบแผนเป็นของหมูๆ คงต้องคิดกันใหม่แล้ว เพราะเมื่อ พ.ศ.2495 สมัยรัฐบาล ฯพณฯจอมพล ป.พิบูลสงคราม จะปรับปรุงวงโยธวาทิตของเหล่าทัพ ยังต้องคัดเลือก ‘ดรัมเมเยอร์’ จาก ทั้งกองทัพบก เรือ อากาศ และตำรวจ ส่งไปเรียนวิชา ‘ดรัมเมเยอร์’ ที่ประเทศอังกฤษ!
ปรากฏว่านายตำรวจชั้นประทวน ส.ต.อ.ประพันธ์ ศิริทรัพย์ เหล่าตำรวจ หน้าตาหล่อ เข้ม เอวเล็ก อกเบ้อเริ่ม กล้ามเป็นมัดๆ สูงถึง 6 ฟุต และมีพื้นฐานทางดนตรีอยู่แล้วด้วย ได้รับการคัดเลือกเพียงคนเดียวเท่านั้น ให้ไปเรียนที่ประเทศต้นแบบ คืออังกฤษ แต่ยังไปไม่ได้ทันที เพราะต้องไปเรียนปรับพื้นฐานวิชา ‘ดรัมเมเยอร์’ ที่สถาบัน ‘เซปัง’ ประเทศมาลายู (ตอนหลังเป็นมาเลเซีย) เสียก่อน
เมื่อฝึกที่ ‘เซปัง’ จนจบเรียบร้อย ก็เดินทางต่อไปฝึกที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ สำเร็จกลับมาแล้ว ได้ถ่ายทอดความรู้และเป็นต้นแบบให้ ‘ดรัมเมเยอร์’ เหล่าทัพอื่นๆด้วย ไม่ง่ายนะ!
อาจารย์ประพันธ์ฯนั้น ท่านสมาร์ทเหลือเกิน เดินอกตั้ง ปลายเท้าชี้ตรง แกว่งแขนได้ระดับสม่ำเสมอ โยนคทาตีหลังกากลับกลางอากาศได้ 3 รอบ (จนบัดนี้ยังไม่เห็นใครทำได้ ถ้าไม่ ‘ฟลุค’) ตอนคทาตกลงมา ท่านเดินเหยียดแขนรับไม้ ตัวนิ่ง แล้วเดินต่อไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในสายตาของผมแล้ว ช่างงดงามราว ‘เทวดา’ ลงมาเดินดิน เลยทีเดียว!!
การแต่งกายของ ‘ดรัมเมเยอร์’ มักพิเศษต่างไปจากผู้บรรเลงเพลงในวง เช่น โรงเรียนวชิราวุธ วิทยาลัย นักดนตรีในวงจะสวมสนับแข้งสีขาวทับถุงเท้ายาว สายสะพายสีน้ำเงินขลิบขาว ส่วน ‘ดรัมเมเยอร์’ นั้นสวมสนับแข้งสีขาว ส่วนสายสะพายนั้นมีเครื่องหมายโรงเรียน ปักดิ้นเงิน เป็นรูปมหาพิชัยมงกุฎและเพชราวุธ สัญลักษณ์ขององค์พระผู้พระราชทานกำเนิดโรงเรียน คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว!
เมื่อผู้เขียนไปเข้าเตรียมทหาร โรงเรียนนี้เพิ่งตั้งขึ้นได้แค่สองปี ยังไม่มีสถานที่ตั้งของตัวเองโดยเฉพาะ ต้องอาศัยตั้งอยู่ที่อาคารส่วนการศึกษา โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เป็นอาคารตึกสีแดง (เลยเรียกกันว่า “ตึกแดง”) สร้างมานานเป็นร้อยปีแล้ว อยู่ตรงเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่
ตอนเช้าๆ ชาวบ้านแถวนั้น รวมทั้งผู้คนในยานพาหนะที่ผ่านไปมา จะเห็นนักเรียนนายร้อย จปร. เดินแถวจากที่ตั้งหลัก (บก.ทบ.ปัจจุบัน) ไปเรียนที่อาคารส่วนการศึกษา พอตกบ่ายประมาณสามโมง แถวนักเรียนก็เดินทางกลับไปยังที่ตั้งหลัก คือ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า การเดินทั้งขาไปและกลับ จะต้องเดินเป็นแถว นำขบวนด้วยขลุ่ยและกลองแทรก แต่ไม่มี... ‘ดรัมเมเยอร์’
ต่อมาโรงเรียนเตรียมทหาร จะมีการสวนสนามของกองพันนักเรียน โดยจัดพิธีที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนไปเล็กน้อย จึงมีการจัดตั้งวงดนตรีขึ้นมาบ้าง โดยยึดแบบเดียวกับโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า วงประกอบด้วยทั้งกลองและขลุ่ย มีอยู่รวมกันราว 24 นาย
ในตอนนั้น ผู้บังคับการโรงเรียนสั่งให้มี ‘ดรัมเมเยอร์’ คนแรกเดินนำวงดนตรีวงแรกของโรงเรียนเตรียมทหารด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น...ผู้เขียน...นี่แหละ! สาเหตุง่ายๆก็คือ ท่านทราบว่า เคยทำหน้าที่ ‘ดรัมเมเยอร์’ ของวชิราวุธ วิทยาลัยมาก่อน เลยไม่ต้องมีการคัดตัวให้ลำบาก หยิบมาปุ๊บก็เดินนำวงดนตรีได้เลย
ฉะนั้น ท่านผู้อ่านคงหายสงสัยว่า ทำไมอีตา ‘วาทตะวัน’ แกถึงรู้เรื่อง ‘ดรัมเมเยอร์’ ดีนัก...555
ผู้ที่เคยทำหน้าที่ ‘ดรัมเมเยอร์’ มาก่อนนั้น นอกจากจะกลายเป็น ‘คนดัง’ ในสถาบันของตนแล้ว มักกลายเป็นคนที่สังคมรู้จักกันในเวลาต่อมาด้วย ซึ่งก็มีหลายท่าน ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ เอาเฉพาะของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแห่งเดียว ‘ดรัมเมเยอร์’ ที่ผู้คนจะได้ยินชื่อเสียงกันเสมอ เช่น ท่านผู้หญิงมณฑิณี มงคลนาวิน (บุญยประสพ), ม.ร.ว.สิริมาดา ลิ่วเฉลิมวงศ์ (วรวรรณ), สัณหจุฑา จิราธิวัฒน์ (สุวรรณจินดา), รศ.ดวงใจ อมาตยกุล และ จณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์ เป็นต้น คุณหญิงสิริมาดานั้น เธอเป็นมารดาของคุณจณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์ เรียกว่า...เป็น ‘ดรัมเมเยอร์’ ทั้งคุณแม่ และคุณลูก!
มีอีกท่านหนึ่งที่เคยเป็น ‘ดรัมเมเยอร์’ ของวชิราวุธ วิทยาลัย รุ่นก่อนผมหน่อย ต่อมาท่านเป็นนายกสมาคมนิสิตเก่าวิศวกรรมศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ไม่ทราบตอนเรียนอยู่ที่จุฬาฯนั้น ได้ทำหน้าที่ ‘ดรัมเมเยอร์’ จุฬาฯ ด้วยหรือเปล่า? ท่านผู้นี้เก่งทุกอย่าง ตั้งแต่การเรียน เล่นรักบี้ทีมระดับแชมป์ ได้รับเสื้อสามารถ ทั้งระดับโรงเรียนและมหาวิทยาลัย และความเด่นทางด้านดนตรีนั้น คือสามารถเล่นไวโอลินได้ระดับมืออาชีพ ลีลาการขี่ม้าก็เป็นเลิศ เพราะมาจากตระกูลม้าแท้ๆ ท่านคือ ดร.อดิศัย โพธารามิก อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และประธานบริษัท จัสมิน จำกัด (มหาชน)
ปัจจุบันคนไทยทั้งประเทศ รู้จัก ‘ดรัมเมเยอร์’ อีกคนหนึ่ง จากโรงเรียนยุพราช วิทยาลัย ชื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ปัจจุบันนี้ เธอไม่ได้เป็น ‘ดรัมเมเยอร์’ ให้โรงเรียนยุพราช วิทยาลัยแล้ว แต่ย้ายมาเป็น ‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’ ที่พูดอย่างนั้น เพราะเธอดำรงตำแหน่งเป็น นายกรัฐมนตรี แห่งราชอาณาจักรไทย นั่นเอง
ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เราเรียกขานเธอว่า “นายกฯปู” ทันทีที่เธอได้รับภาระที่ยิ่งใหญ่ พลันต้องพานพบมหาวิบาก เพราะต้องเผชิญมหันตภัยทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา อย่างไม่เคยมีผู้นำคนไหนของชาติ เคยพบเห็นและต้องฟันฝ่ามาก่อนเลย นั่นคือ การเป็น ‘ดรัมเมเยอร์’ นำไทยแลนด์แบนด์ เดินนำคนไทยลุยน้ำ ฝ่าอุทกภัยครั้งใหญ่หลวง ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาของปีนี้!
ระหว่างเวลาอันตรายนั้น กลุ่มไอ้ห้อยไอ้โหนซึ่งสุมกบาลกับไอ้พวกสื่อสกปรก ที่สมคบนักดนตรีวงเก่า ร่วมกับแก๊งสีเขียวโสโครก ที่เคยชิงตั้งวงดนตรีขึ้นมาในค่ายทหาร พร้อมกับแต่งตั้ง ‘ดรัมเมเยอร์โลซก’ เข้ามาเดินนำวงดนตรีคนไทย
แต่...การบริหารประเทศของพวกมัน เต็มด้วยความเลวระยำ ทั้งการทุจริตโสมม และการรุมแดกบ้านรับประทานเมืองกัน จนถึงวันสุดท้ายในอำนาจแล้ว ยังหน้าด้านทิ้งทวนด้วยการประชุม ยาวนานเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศ และได้ผ่านมติอัปรีย์ ผลาญเงินชาติมากมายนับแสนล้านบาท ทั้งๆที่มติบางเรื่อง ยังไม่ปรากฏรายละเอียดโครงการเสียด้วยซ้ำ...ดูมันทำ!
ดังนั้น เมื่อมีการคัดสรรวงดนตรีใหม่ ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ จึงรวมทั้งใจ รวมทั้งตีน ถีบไอ้วงดนตรีอัปรีย์ จนกระเด็นตกจากวงจรบริหารประเทศไป แต่ไอ้คนเหล่านี้...มันไม่ยอมหยุด!
ไอ้เวรพวกนี้ยังหวังคืนสู่อำนาจ โดยวิถีทางที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย เพราะทำอย่างไรก็ไม่ชนะ จึงต้องใช้วิธีสกปรกทุกวิถีทาง เพื่อให้ ‘ไทยแลนด์แบนด์’ และ ‘ดรัมเมเยอร์’ อย่างนายกฯปู ต้องมีอันต้องเป็นไป!!
ฉะนั้น ระหว่างนายกฯผู้หญิงคนแรกของสยามประเทศ กำลังเดินนำ ‘ไทยแลนด์แบนด์’ ร่วมกับคนไทยทั้งชาติ ฝ่ามหาวิกฤติอุทกภัย กลุ่มจังไรพวกนี้ รวมหัวกันส่งเสียงโห่ฮาป่าเป็นการรบกวน เป่าเครื่องดนตรีที่ขโมยไประหว่างอยู่ในตำแหน่ง คนละปู้ดสองป้าด!
บ้างก็เอากลองที่ลักมา ตีจังหวะคนถ่อยผสมโรง แถมไอ้โทรทัศน์ช่องอัปรีย์ ที่กลุ่มพวกยึดอำนาจ เอา ‘รัดทำมะนวย-ฉบับหัวคูณ’ ของพวกมัน ปล้นเอาเงินของประชาชนไปจัดทำ ออกมาร่วมด้วยช่วยประโคม ด้วยการแผดเสียงเห่าหอน ก่อกวนเสียงดนตรีซึ่งบรรเลงมาจากวงที่นายกฯปูเดินนำ เพื่อให้พี่น้องประชาชนไขว้เขว แต่...ไม่สามารถทำลาย ‘ไทยแลนด์แบนด์’ ลงได้!!
ระหว่างมหาวิกฤติ นายกฯปูได้พิสูจน์ถึงแนวทางที่น้อมนำจาก ‘ทศพิธราชธรรม’ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นธงนำในการปฏิบัติ โดยเฉพาะข้อ ‘ขันติบารมี’ และ “วิริยะบารมี” ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ว่า แม้จะถูกยั่วยุด้วยคำพูด รวมทั้งการด่าทอแบบไม่ให้เกียรติและไม่ไว้หน้ากันอย่างสาหัสสากรรจ์ ซึ่งผู้คนจำนวนมากอยากเห็นนายกฯผู้หญิง โต้ตอบกลับรุนแรง แบบ...ระเบิดไดนาไม้ท...ที่ใส่รองเท้าส้นสูง! แต่เธอกลับไม่ทำ...ความอดกลั้นของเธอนั้น เหนือชั้นอย่างเหลือเชื่อ ไม่เคยโต้ตอบเลย ข้อนี้พิสูจน์ได้ชัดถึง ‘ขันติบารมี’ ที่เธอมีอยู่
นอกจาก “ขันติบารมี” แล้ว ผู้หญิงคนนี้ยังเต็มไปด้วยความขยันขันแข็งหนักเอาเบาสู้ ชนทั้งงานหนัก กระแทกปัญหาขวางหน้าทุกชนิด ด้วยน้ำจิตที่หาญกล้า และปราศจากความยำเกรงหรือท้อถอย ความพากเพียรอันไม่รู้จบของเธอ ได้พิสูจน์ ‘วิริยะบารมี’ ของผู้นำสตรีจากล้านนาคนนี้
ในที่สุด ‘ดรัมเมเยอร์’ สตรี ที่ชื่อ ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ สามารถเดินนำ ‘ไทยแลนด์แบนด์’ พร้อมพี่น้องประชาชนคนไทย ลุยน้ำฝ่าอุทกภัยครั้งใหญ่หลวงร่วมกัน ตั้งแต่ปลายเดือนตุลา มาจนถึงธันวาคม จนกระทั่ง...สามารถนำพี่น้องประชาชน มาถึงสนามหลวง ตั้งขบวนถวายบังคมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันมหามงคลได้สำเร็จอย่างสมพระเกียรติยศ!
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รับหน้าที่ ‘ดรัมเมเยอร์’ เข้านำ ‘ไทยแลนด์แบนด์’ ได้ปรากฏเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์นัก เพราะเสียงปืนที่ชายแดนด้านเขมร พลันหมดสิ้นไป พร้อมกับการถอนกำลังทหารทั้งสองฝ่าย
ที่เหลือเชื่อ ยิ่งขึ้นไปอีก ก็คือ ระหว่างที่น้ำกำลังท่วมหนัก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง กลับเปิดด่านชายแดนด้านแม่สอด-เมียวดี หลังจากที่ปิดมายาวนานนับปี เพราะพิษไอ้พวกโลซก ที่มันแย่งอำนาจเข้าบริหารประเทศ พม่าเพื่อนบ้านของเรา เมินที่จะเจรจาด้วย เพราะ...เขาไม่ชอบขี้หน้า ไอ้เวรตะไลพวกนี้!
ขณะนี้พ่อค้าแม่ขายชายแดนแม่สอด มีรายได้จากเงินที่สะพัดในพื้นที่ วันละ 300 ล้านบาท และมีการประมาณการว่า รายมูลค่าการค้าชายแดน ปี 2555 ทะลุ 100,000 ล้านบาท เห็นกันหรือยังล่ะ!!?
อยากให้ทุกท่าน ลองอ่านความเห็นจากสื่อต่างประเทศ ซึ่งชี้ไปในทางเดียวกันว่า ความสวยสง่าและความนอบน้อมถ่อมตน ของนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกประเทศไทย ทำให้ผู้นำในต่างประเทศเมตตา และท่านเหล่านั้นเชื่อมั่นว่า ผู้หญิงคนนี้มีความจริงใจ ในการที่จะติดต่อกันอย่างเป็นมิตรโดยเสมอกัน อย่างมิต้องสงสัย
ไม่เหมือนไอ้รัฐบาลโลซกสกปรก ที่มีเรื่องกับประเทศเพื่อนบ้านเขาไปทั่ว จนผู้คนพูดกันจนติดปากว่า “ทะเลาะกับเขมร เขม่นพม่า ด่าญวน กวนส้นตีลาว” อย่างที่เคยเล่า ให้ท่านผู้อ่านฟังกันไปแล้ว
ผมเชื่อมั่นว่า ‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’ ที่ชื่อ ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ คนนี้ จะเดินนำวงดนตรีและชาวไทยทั้งมวล เข้าสู่เวทีนานาชาติได้อย่างมีเกียรติ ด้วยความสง่างาม อีกครั้ง!!!
หมายเหตุ: เพื่อนทหารเล่าให้ผมฟังว่า บรรดาคนในเครื่องแบบทั้งหลาย ต่างพากันชมเชยว่า
นายกฯปูเดินตรวจแถวกองเกียรติยศ ‘เท่’ เหลือเกิน เพราะเธอช่างสวยสง่าผ่าเผย ท่าทางการเดินเข้าจังหวะเหมาะเจาะ ลงตัวพอดีกับการบรรเลง ของวงดนตรีกองทหารเกียรติยศ ซึ่งผมเองคิดว่า น่าจะเป็นผลพวง จากการเป็น ‘ดรัมเมเยอร์’ ของเธอมาก่อน นั่นเอง
ไม่เหมือนไอ้ตัวหนีทหาร ไอ้เจ้านั่นมัน ‘เดินมือพร้อมตีน’ ส่ายตัวกุบๆกับๆ โคลงเคลงไปมา...น่าทุเรศ!
อายเขา...ชิบหาย!!
ลืมกันหรือยัง...เมื่อ"กบฏ"ออกกฎหมายอภัยโทษให้ตัวเอง
หลัง 19 กันยายน 2549 สิ่งแรกที่ คปค. ประกาศคือ ให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเสีย
แล้วใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว มาตราที่สำคัญอย่างยิ่งคือ มาตรา 36 และ มาตรา 37
ในสถานการณ์ปัจจุบันขอยกแค่ มาตรา37 มาให้เปรียบเทียบ
"มาตรา 37 บรรดาการกระทำทั้งหลายซึ่งได้กระทำเนื่องในการยึด และควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549 ของหัวหน้า และคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมตลอดทั้งการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำดังกล่าวหรือของผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากหัวหน้าหรือคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอันได้กระทำไปเพื่อการดังกล่าวข้างต้นนั้น
การกระทำดังกล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ว่าเป็นการกระทำเพื่อให้มีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ รวมทั้งการลงโทษและการกระทำอันเป็นการบริหารราชการอย่างอื่น ไม่ว่ากระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำหรือผู้ถูกใช้ให้กระทำ และไม่ว่ากระทำในวันที่กล่าวนั้นหรือก่อน หรือหลังวันที่กล่าวนั้น หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมาย ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิด และความรับผิดโดยสิ้นเชิง"
* * * * *
อ่านกี่ครั้งกี่ครั้งผมก็อดสำลักความอยุติธรรมไม่ได้ เสมือนใครสักคนอัดกรวดทรายยัดลงลำคอทุกที
จริงๆแล้ว มาตรานี้เปรียบดั่งคำสารภาพผิดดีๆนี่เอง
ไหนอ้างว่าต้องทำเพื่อแก้ไขบ้านเมืองให้พ้นจากภัยพิบัติ เมื่อทำความดีแล้วจะผิดได้อย่างไร
แล้วใยจึ่งออกกฎหมายอภัยโทษให้ตนเอง?????
วิถีชน prachatalk.com 17พ.ย.2554
* * * * *
เขาเอามายัดไว้ใน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 เรียบร้อยแล้วครับ ไม่ใช่แค่ประกาศ คปค.อย่างเดียว โดยยกเอา ฉบับชั่วคราว มารับรองถาวรจนถึงวันนี้
มาตรา 309 บรรดาการใดๆที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
มีชัย ฤชุพันธุ์