@ ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา By: kimeng suk
@ เจอของจริงแกล้งเฉไฉ เฮ้อ!! แถแบบนี้...ผมบายดีกว่า กลัวติดเชื้อ"โรคกลัวความจริง"
@ ไม่รีบเค้นออกมาจะเสียใจ...พรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษของเด็กๆ
@ ขอต้อนรับ นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคณะ สู่มหานครนิวยอร์ก คลิกที่นี่...
@ สิ่งที่ควรรู้ ก่อนเรียน Master of Business Administration (MBA)
@ มองโครงการรับจำนำข้าวในสายตาของชาวนาตัวจริง...
@ ภาพชุด..นายกฯปู ร่วมประชุม สุดยอด ACD กรอบความร่วมมือเอเชีย ที่คูเวตซิตี้
@ Obama' ประเด็นที่สื่อไทยเมิน & อัลบั้มโอบามาเยือนไทย 18พ.ย.55
@ แผนชั่วๆ สร้างความรำคาญให้ต่างชาติ เลิกซื้อข้าวไทย!
@ ปลื้มปีตี"ในหลวง"เสด็จออก ณ สีหบัญชร เปล่งเสียง"ทรงพระเจริญ"กึกก้อง
@ 'ประชามติ'เกมวัดใจผู้มีสิทธิ 46 ล้าน ต้องการ รธน.เผด็จการหรือประชาธิปไตย ???
@ อย่า"ฟูมฟาย"ให้เพื่อนๆ"เสียขวัญ" ... อย่า"กดดัน"จนคนทำงานต้อง"เสียกำลังใจ"
@ อ่านบทสัมภาษณ์นี้แล้ว เห็นได้ชัดเลยครับว่า... นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นี่ โง่มาก โง่มากจริงๆ ครับ
@ ภาพชุดพิเศษ...นายกฯปู รณรงค์"ประชามติ"
@ ฮู้ยยยย...สติแตกกันไปหมดแย้วทั้งคนเล่นและกองเชียร์แนวร่วม
@ ผมไม่ได้แหล!!! แต่เรื่องดีๆอย่างนี้..clickดูเองเหอะ
@ ความเป็นมาของ คดีสะเทือนโลก "ที่ดินรัชดา" ที่ทุกๆคนควรรู้!!!
@ เปิดใจ "พงศพัศ พงษ์เจริญ" ว่าที่ผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร (ย่อมรับคนนี้เก่งจริง)
คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ New!! แจกปฏิทินนายกฯปู พ.ศ.2556 คลิกที่นี่...
เปิดใจ "พงศพัศ พงษ์เจริญ" ว่าที่ผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร (ย่อมรับคนนี้เก่งจริง)
...เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้ ชาวกรุงเทพฯ อยากเห็นผู้สมัครที่มีความรู้ความสามารถ ดูแล้วมีความหวัง สามารถเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯ และชีวิตความเป็นอยู่ให้พวกเขา... พล.ต.อ.พงศพัศ กล่าวว่า ถ้าได้รับเลือกตั้งจะเร่งดำเนินการเรื่องขนส่งมวลชน โดยเฉพาะรถเมล์ไม่ปรับอากาศฟรี ส่วนรถปรับอากาศจะคิดราคา 10 บาทตลอดสาย เรือข้ามฟากเรือคลองแสนแสบให้บริการฟรีหมด ส่วนรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ส่วนป้ายรถเมล์หลายพันจุดก็จะจัดระเบียบใหม่ ไม่ให้วิ่งทับซ้อนกัน จะเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุโดย กทม.จ่ายส่วนต่างที่เพิ่มขึ้น
@ เปิดใจ "พงศพัศ พงษ์เจริญ" ว่าที่ผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร (ย่อมรับคนนี้เก่งจริง)
ถามอะไรแบบเด็กๆหน่อยได้มั้ยคะ - เราสงสัยว่าคนรุ่นใหม่ต่อไปจะตั้งตัวได้ยังไงเพราะเงินเดือนต่ำ อัตราการแข่งขันสูงแบบนี้
ที่มา: http://2g.pantip.com/cafe/silom/topic/
By SICKHEART : เราอายุประมาณ 24 ปีค่ะ ทำงานมาประมาณปีนิดๆ เป็นฟรีแล้น เงินเดือนประมาณ 2 หมื่น (บางเดือน 1 หมื่น บางเดือน 3 หมื่น) แต่ก็ถือว่าค่าใช้จ่ายไม่เยอะ เพราะอยู่บ้านน่ะค่ะ ไม่มีค่าเดินทาง
พ.ศ. 2535 แม่เราซื้อบ้านแถวปิ่นเกล้า 16 ตร.ว. ราคา 6 แสน
พ.ศ. 2545 พี่ชายเราเพิ่งจบ ทำงานเป็นสถาปนิก เงินเดือน 12 k (ทำงาน 6 วัน)
พ.ศ. 2554 เพื่อนเราสายสถาปัตย์เรียนจบ เงินเดือน 12k-15k (เท่ากับพี่เราเมื่อ สิบปีก่อนเลย o_o)
พ.ศ. 2555 บ้านหลังปัจจุบันเรากำลังจะขาย ที่ราคา 1.9 ล้าน (บ้านโทรมมากอยู่มา 20ปี...)
คือรู้สึกว่า ตัวเลขมันสวนทางกันจังเลยค่ะ รุ่นเราเพื่อนๆรอบตัว (หรือตัวรุ่นพี่ที่อายุราวๆ เลข สาม ) ทำงานออฟฟิศได้เงินเดือนราวๆ 12k - 15k สายบัญชี หรือ AE ก็ได้ราวๆ 20k-25k ยังไม่มีเพื่อนหรือรุ่นพี่ที่เงินเดือนเกินสามหมื่นเลยค่ะ (เพื่อนเราที่เราถามคุยมาก็มีหลายๆสายนะคะ อาร์ตได กราฟฟิก ครู ผู้ช่วยแพทย์ นักบัญชี) อันนี้ยังไม่รวม หมอ กับ ทนายนะคะ เพราะ เพื่อนกลุ่มนั้นยังเรียนไม่จบ (ฮา) และก็ยังไม่รวมพวกที่เปิดกิจการเอง เช่น พวกร้านเสื้อผ้า กระเป๋าตาม jj นะคะ
มีรุ่นใหญ่ที่รู้จักกัน (อายุประมาณ 35-40) เงินเดือน หลักแสน แต่ร่างกายพังไปหมดเพราะทำงานหนักมาตลอด เราทำฟรีแล้นก็พออยู่ได้ค่ะ มีเงินเก็บเพราะว่าอยู่บ้านกับแม่ ให้ค่าใช้จ่ายที่บ้านเดือนละ 2-3 พัน (ยังไม่ต้องจ่ายทั้งหมดของที่บ้าน) พาแม่ไปกินข้าวบ้าง ส่วนพวกของฟุ่มเฟือยเราไม่ค่อยมี มือถือใช้แบบจอขาวดำ/เสื้อผ้าไม่ซื้อใหม่ใส่เสื้อยืดเกงเลอยู่บ้าน / เครื่องสำอางไม่ใช้ สมัยเรียนมีงานประกวดพอสมควร ตอนนี้จบมาเกือบสองปี มีเงินเก็บ แสนห้า
เราคุยกับเพื่อนที่ทำงานประจำ เพื่อนบอกว่า เก็บเงินไม่ได้ ใช้เดือนชนเดือน ส่วนมากหมดไปกับ ค่าเดินทาง และ ค่ากิน บางคนก็ต้องอยู่หอ เพราะทำงานไกลบ้าน แม้แต่คนที่ประหยัดๆ ได้เงินเดือน สองหมื่นนิดๆ เก็บได้ 2-3 พันบาทต่อเดือนถ้าให้พ่อแม่คือหมดพอดี
ขณะที่เราหันไปดูราคาพวก บ้าน รถ อสังหาริมทรัพย์ต่างๆ มันแพงจนน่าตกใจ บ้านทั่วๆไปก็ 3-4 ล้านแล้ว คอนโด 30 ตร.ม.ราคาเริ่มต้นก็ ล้านนึง...ราคาแบบนี้ นึกไม่ออกเลยว่าจะผ่อนยังไงได้ ในเมื่อเงินเดือนคนทั่วไปก็ไม่ได้มากมายอะไร คอนโด+โครงการบ้านขึ้นใหม่เยอะมาก แต่ดูราคาแล้วเหมือนไม่ได้มีไว้ให้คนรุ่นใหม่อยู่เลยอะค่ะ
- คนส่วนมากของประเทศนี้ (หรือไม่ก็กรุงเทพฯ) จริงๆมีรายได้เฉลี่ยเท่าไรคะเนี่ย ทำไมราคาที่อยู่อาศัยมันสูงจัง
- คนรุ่น Gen X เป็นต้นไป ในเมื่อเงินเดือนได้กันเท่านี้ อัตราการแข่งขันก็สูง ต่อไปจะตั้งตัวยังไงคะ หรือต้องกิจการส่วนตัวอย่างเดียว
อย่างที่บอกอะค่ะ ถ้าไม่นับญาติผู้ใหญ่ที่เป็นระดับ ผู้บริหาร / เจ้าของกิจการ เองแล้ว เงินเดือนหลักแสน เราก็มองไม่เห็นเลยว่า คนรุ่นใหม่ หนุ่มๆสาวๆนี่จะทำไงถึงจะไต่ไปได้ในระดับนั้น โดยที่ไม่แก่ไปเสียก่อน (บางสายอาชีพนี่ ต่อให้ทำงานจนแก่แล้วก็คงยังไม่สามารถแตะเงินแสนได้เลยด้วยซ้ำมั้ง?)
หรือจริงๆแล้วเรา+คนรอบตัวเรา เป็นพวกรายได้ต่ำเองกันแน่หว่า = ='' คนอื่นที่เงินเดือนสูงๆ(กว่านี้)ทั้งๆที่ยังหนุ่มยังสาวกันอยู่ เขาเรียนอะไร ทำงานอะไรกันบ้างเหรอคะ
แด่..มนุษย์เงินเดือน "อันความรู้ รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล"
By basicball : เงินเดือนระหว่างเด็กจบใหม่กับคนที่มีประสบการณ์มันต่างกันเยอะครับ ในทุกสายอาชีพ
ตอนจบใหม่นี่ผมจบช้านะครับ เรียนไป 8 ปี จบเกรด 2.02 F ไม่ต้องนับ 2มือก็นับไม่หมด กว่าจะจบก็อายุ 27-28 ไปแล้ว เงินเดือนผมก็สตาร์ทมากกว่าคุณหน่อยแหล่ะ ที่ 17-18 K เอง
ตอนนี้ผม 30 ครับ ทำงานมาประมาณ 3 ปี เงินเดือนผมเกิน 50K ไปแล้ว
"อันความรู้ รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล" เป็นความจริงแท้ในสังคมการทำงานเลยครับ ที่จะช่วยให้เงินเดือนคุณก้าวกระโดดได้
ถ้าสนใจอยากรู้... ผมจะเล่าให้ฟังครับ
เกริ่นเรื่องสักนิดหนึ่งนะครับ เพื่อความเข้าใจ ผมเป็นเด็กบ้านนอกครับ เรียนอนุบาล-ประถมที่โรงเรียนประจำจังหวัดเล็กๆ อาจจะเป็นการชมตัวเองนะครับ แต่จริงๆแล้วผมเป็นคนหัวดีพอสมควร ตั้งแต่เด็กมา สมัยประถม ผมไม่เคยเข้าใจเลยว่าผมจะทำข้อสอบยังไงให้ได้คะแนนน้อยๆ คนอื่นเค้าสอบกัน 3 ช.ม. ผมทำ 20 นาทีออก เกรดผม 4.00 ตลอด เคยทำคะแนนคณิตศาสตร์ได้ 100 เต็ม 100 ด้วย เรียกว่าแข่งกับเพื่อนเป็นอันดับ 1 ของสายชั้นทั้งๆที่ผมไม่เคยอ่านหนังสือไปสอบเลย
พอมามัธยมที่บ้านก็ส่งมาเรียน กทม. เพราะคิดว่าหัวไปไหว ผมได้เข้าในโรงเรียนที่ว่ากันว่าเป็น 1 ใน 4 โรงเรียนที่ดีที่สุดในโรงเรียนรัฐสมัยนั้น ระบบการเรียนการสอนเป็นแบบยัดให้นักเรียนจำสูตร แล้วทำโจทย์ โดยไม่สอนความเข้าใจว่าไอ้สูตรทั้งหลายนั่น เอาไปใช้อะไรได้กับในชีวิตจริง ตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าการ อินทิเกรตและดิฟ มันจะเอาไปใช้อะไรได้ในชีวิต ผมไม่ได้ซื้อส้มดิฟ 3ส่วน4ลูก ผมก็เลยไม่เรียน ฟิสิกส์คำนวณแรง F=ma คำนวณไปทำไม เอะอะก็ให้ท่องสูตร ก็เลยไม่เรียน เคมีจะรู้ไปทำไม ตัวอักษรสูตรอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะ ไม่เห็นมีประโยชน์เลย ก็เลยไม่เรียน วันๆเอาแต่เล่นบาสฯ เกรดก็เลยตกต่ำลงเรื่อยๆ จนเทอมสุดท้าย ได้เกรด 1 กว่าๆ แต่ก็ยังเอาตัวรอดจบมาได้ด้วยวิชาภาษาไทยและสังคม ซึ่งสมัยนั้น เด็ก ตจว.จะแข็งมาก และประกอบกับระบบการศึกษาไทย ตกแล้วซ่อม ซ่อมแล้วตก แล้วซ่อมแล้วตก แล้วก็ดันให้ผ่านมาได้
ด้วยธุรกิจทางบ้าน ผมจึงจำเป็นต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในคณะที่ทางบ้าน(กึ่งๆ)บังคับให้เรียน สมัยก่อนโน้นเป็นระบบเอ็น(สะ)ทรานซ์ เกรดตอนมัธยมเลยไม่ค่อยมีผลเท่าไร ใช้ระบบสอบวัดคะแนนอย่างเดียว ด้วยความเป็นคนหัวดี (อยู่ลึกๆ มากถึงมากที่สุด) ผมเลยจับผลัดจับผลูได้เรียนในคณะที่ทางบ้านต้องการ สำหรับตัวผมเองแล้ว ผมไม่ชอบคณะวิชาสายที่ตัวเองเรียนมาเลยครับ ตอนนั้นผมคิดแบบเด็กๆว่า ผมไม่ได้จะเอาวิชาที่ผมเรียนไปใช้เลย ผมมาเรียนเพราะโดนที่บ้านบังคับให้มาเอากระดาษรับรองใบหนึ่ง ที่ระบุไว้ว่าผมสามารถประกอบอาชีพทางนี้ได้ โดยที่อาชีพทางนี้ผมช่วยงานที่บ้านมาตั้งแต่เด็ก ผมไม่เคยใช้ความรู้แบบที่เรียนกันในมหาวิทยาลัยเลย ธุรกิจทางบ้านผมก็ดำเนินไปได้สบายๆไม่เดือดร้อน ตอนนั้นผมเลยไม่สนใจเรียน ไปโรงเรียนก็ไม่ไป ไปทีไรก็ไปสายยยยยยย ทำตัวเหมือนเพลงของอนันอันวาก็ไม่ปาน ผลเป็นอย่างไรหรือครับ ก็เป็นอย่างที่ผมจั่วหัวไว้นั่นแหล่ะ F 2มือก็นับไม่หมด ประกอบกับเป็นคนทำกิจกรรมหนักกด้วย เวลาเรียนมันเลยยืด ยืด ยืด แล้วก็ยืด ไปจน 8 ปีนั่นล่ะครับ แต่ผมก็ถูลู่ถูกังจบมาได้ด้วยเกรด 2.02 ตามที่จั่วหัวไว้นั่นแหล่ะครับ
และแล้วก็มาถึงเวลาช่วงหางาน ทางบ้านก็อยากให้ผมกลับไปช่วยกิจการที่บ้านครับ แต่ผมเองที่ดื้อ เพราะเห็นว่าพ่อแม่ก็ยังทำกันไหว เลยขอเวลาออกมาหาประสบการณ์ข้างนอกก่อน ด้วยความที่ออกมาอยู่หอตั้งแต่ ม.1 แล้วเพราะที่บ้านดันให้มาเรียน กทม. เลยเป็นการฝึกให้ผมหาทางเอาตัวให้รอดได้ครับ ตอนนั้นเลยคิดหนักเลย เพราะเพื่อนที่จบไปแล้วก็ได้งานทำเป็นหลักเป็นแหล่งกันแล้ว รุ่นน้องบางคนกลับมาเป็นอาจารย์สอนผมด้วยซ้ำไป เดินเข้าห้องมาสอนน้องแกยังยกมือไหว้ผมอยู่เลย - -* ผมเลยต้องคิดให้หนักครับ ว่าผมจะเอายังไงกับชีวิตตัวเองดี
ตอนนั้นถามตัวเองทุกวันว่าจะเอาอะไรไปสู้กับคนหางานคนอื่น(วะ) จบก็ช้า แก่กว่า เกรดเน่า แล้วใครเค้าจะเอาเราไปทำงานด้วย ตอนนั้นเท่าที่คิดได้คือส่ง resume ให้เยอะที่สุดครับ เพราะถึงจะเกรดเน่า แต่ผมก็อยากเป็นฝ่ายเลือกบริษัทที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง เลยเริ่มจาก บริษัทไหนที่มีงานที่เกี่ยวข้องผมส่ง resume ไปก่อน บริษัทสมัยนี้ส่วนมากรับสมัครทางอินเตอร์เน็ทเกือบหมดแล้วครับ รวมกับตอนนั้นหมดหนทางแล้ว เผอิญเหลือบไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ได้มาตอนเรียนแล้วเค้ามาเปิดบูทแจก ข้างหลังมีรายชื่อบริษัทที่อยู่ในวงการที่เกี่ยวข้อง ผมโทรไปเรียงบริษัทเลยครับ ค่าโทรครั้งละ 3 บาท จะไปกลัวอะไร ตอนนั้นคิดว่าถ้าผมโทรไป 100 บริษัท ผมเสียเงินแค่ 300 บาทเอง มันต้องมีที่ไหนสักที่ที่รับผมเข้าทำงานบ้างล่ะน่า เวลาโทรไป ผมถามเลยว่ารับสมัครงานตำแหน่งนี้ไหม ถ้ารับอยู่ ผมส่ง resume ไปทุกที่เลยครับ เล็กใหญ่ส่งไปหมด ตอนนั้นถ้ารวม resume ที่ผมส่งไปทั้งหมดแล้ว น่าจะเกือบๆ 100 ที่ได้ จากบริษัทในวงการนี้ที่มีไม่ถึง 200 แห่งได้ครับ ช่วงนั้นผมไม่คิดว่าจะมีที่เรียกสัมภาษณ์เยอะหรอกครับ เพราะอย่างที่บอก เกรดเน่า จบช้า อายุเยอะ มีที่เรียกสัมภาษณ์ซัก 5-6 ที่ก็หรูแล้วครับ ช่วงนั้นเลยถือโอกาสบวชทดแทนคุณพ่อแม่พร้อมกับน้องชายอีก 2 คนครับ
จุดเปลี่ยนมันอยู่ตรงนี้ครับ วันที่บวช ตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดนาคไปห่มผ้าเหลือง วันนั้นเป็นวันที่ผมไม่เคยลืม วันนั้นผมได้เห็นน้ำตาแม่ครับ แม่ผมมีความสามารถพิเศษ ในขณะที่ปากยิ้มจนปากแทบจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว แม้ว่าแม่ผมจะก้มหน้าหลบแล้ว แต่ผมก็ยังเห็นว่าแม่ผมก้มหน้าแอบไปเช็ดน้ำตาครับ พ่อผมก็ไม่ต่างกันเล๊ยยยย ปกติพ่อผมเป็นคนดุครับ เสียงดังด้วย แต่วันนั้นเสียงสั่นตั้งแต่ตอนโกนผมนาคตอนเช้า ไม่ยอมพูดอะไรกับใครเลย หน้าเบะแต่ยังฟอร์มเก๊กไว้ แต่ก็ไม่พ้นสายตาผมไปได้หรอกครับ อิอิ
มันแบบ...พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ในอกเหมือนมีก้อนอะไรเหนียวๆดันขึ้นมาจนหายใจไม่ออกครับ ปากแห้งคอแห้ง ตาพร่าใจสั่น น้ำตารื้นๆจะไหลมิไหลแหล่ ตอบ อามะพันเต แบบเสียงสั่นๆเลยครับวันนั้น แบบว่า คนตัวเล็กๆอย่างเรา ก็ทำให้คนแก่ 2 คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเราภูมิใจได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย มันเหมือนเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งน่ะครับ
ระหว่างที่บวชอยู่ก็มีเวลาว่างเยอะครับ หลังจากบิณฑบาตเช้า และทำวัดเช้าเสร็จแล้วหลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านก็จะจำวัด แล้วบ่ายๆท่านก็จะตื่นมาส่องพระกับญาติโยมไปตามเรื่อง ทำให้พวกพระใหม่มีเวลาว่างเยอะครับ ก็คิดนะครับ ว่ามีอะไรอีกไหม ที่เราจะทำให้พ่อแม่ภูมิใจได้ อย่างแรกเลยคือเราต้องมีงานทำก่อน เลยตัดสินใจว่าที่ไหนเรียกที่แรก เราจะเลือกที่นั่นครับ และไม่รู้เพราะผลบุญจากการบวชนี่หรือเปล่า ทำให้มีโทรศัพท์จากบริษัทเข้ามาเยอะมาก แทบจะทุกวันที่บวชเลยครับที่เรียกไปสัมภาษณ์ ผมก็ต้องปัดวันนัดไปรวมกันหลังสึก ตอนนั้นจำได้ว่ามีมาเกือบ 20 ที่ครับ ที่เรียกไปสัมภาษณ์ เรียกว่าพอสึกปุ๊บก็เข้า กทม.มาเดินสายสัมภาษณ์งานเลยครับ วันหนึ่งไม่ต่ำกว่า 2-3 ที่ เป็นอาทิตย์แหล่ะครับ ว่าจะสัมภาษณ์หมด
บริษัทที่แรกที่เลือกจะเริ่มงานเป็นบริษัทเล็กๆครับ เจ้าของเป็นคนจีนครับ เป็น MD เองด้วย ที่เลือกก็เพราะเป็นที่แรกที่เรียกไปสัมภาษณ์ และคนสัมภาษณ์ก็เป็นรุ่นน้องที่เรียนมาด้วยกันครับ แถมรุ่นน้องคนนี้ก็ไปช่วยโน้มน้าว MD ให้รับผมเข้าทำงานด้วย ตอนนั้นก็เลยเลยตามเลยครับ เริ่มงานที่นี่ก็ได้ จัดการเช่าห้องพักเรียบร้อย ทำงานได้ 3 เดือนน้องลาออกครับ จะหาผมมาเป็นตัวแทนนั่นเอง
อีก 2 เดือนต่อมาผมก็ลาออกตามครับ เพราะโดน MD ผิดสัญญา ไม่ยอมจ่ายค่าจ้างใบรับรอง ตามที่ตกลงกันไว้ตอนสัมภาษณ์ ตอนนั้นผมก็ยังประสบการณ์น้อยครับ สัญญาที่ตกลงกันไว้ตอนสัมภาษณ์ก็ไม่ได้ระบุเรื่องค่าจ้างในส่วนนี้ เป็นแค่เพียงสัญญาปากเปล่าว่าถ้าผมไม่ได้ใบรับรองนี้ในเวลา 3 เดือน เค้าจะไล่ผมออก แต่ถ้าผมได้ใบรับรองนี้ เค้าจะต้องจ่ายค่าใบรับรองให้ผมเพิ่ม ซึ่งใบรับรองนี้บางคนจบมาหลายปียังสอบไม่ได้ก็มีครับ แต่ผมก็สอบใบรับรองนี้ได้ในครั้งแรกครับ พอผมทวงสัญญาไปแกก็บอกว่าไม่ได้ตกลง ไม่มีสัญญา ผมเลยบ๊ายบาย ยื่นใบลาออกแล้วทำงานอีก 1 เดือนตามกฎหมายแล้วก็ออกครับ รวมอายุงานที่แรก 5 เดือนเงินเดือนที่ได้ที่นี่คือ 17,000 ครับ ระหว่างนี้ MD ยังมาเดินมาพูดเย้ยอีกนะว่าเกรดแบบนี้ที่ไหนเค้าจะรับ เค้าจะให้โอกาสผมทำงานที่นี่ต่อไปนะ แต่ค่าจ้างก็เท่าเดิมนี่แหล่ะ เลยเป็นแรงผักดันให้ผมต้องหางานใหม่ให้ได้ดีกว่าเดิม
ตอนนั้นผมสมัครงานไปอีกหลายที่ครับ บริษัทเดิมที่เคยโทรมาเรียกไปสัมภาษณ์ผมก็โทรกลับไปหมด ว่ายังรับตำแหน่งผมอยู่หรือเปล่า เลยได้บริษัทที่ตกลงรับผมมา 3 ที่ ในเวลาไม่ถึง 10 วันครับ
ตอนนั้นยอมรับว่าทำไปเพราะโมโหครับ บริษัทเก่าอยู่กลางซอยครับ เลยเลือกบริษัทใหม่ที่อยู่หน้าปากซอยที่ที่ทำงานแรกอยู่ เงินเดือนเพิ่มเพราะใบรับรอง จาก 17,000 เป็น 18,000 + ใบรับรอง 5,000 ครับ
กำลังจะเข้าไคลแมกซ์แล้วครับ แต่เดี๋ยวมาต่อที่เหลือนะครับ พอดีงานด่วนเข้า ยังไม่ออกจากที่ทำงานเลย T_T
มาต่อกันครับ...
ที่ทำงานที่2 เริ่มต้นด้วยเงินเดือน 18,000+5,000 เป็นค่าใบรับรองครับ
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะคิดว่า ที่ทำงานที่2 ของผมนี่จะเป็นที่ทำงานที่ดีเลิศ เป็นสถานที่สอนให้ผมทำงานได้เก่งฉกาจ มีรุ่นพี่ดีคอยสอนงาน เงินเดือนผมถึงก้าวกระโดดได้............ ผิดครับ ลืมไปได้เลยกับความคิดในนิยายพวกนั้น ความจริงโหดร้ายเสมอครับ ที่ทำงานที่2 ของผมเป็นโรงงานครับ เจ้าของเป็นคนจีนเช่นเดิม คนทำงานที่นั่นส่วนมากก็เป็นคนจีน ไม่ได้บอกว่าคนจีนไม่ดีนะครับ เพราะผมก็จีนแท้ 100% เลย แม่ผมกวางตุ้ง พ่อผมแต้จิ๋ว อากง อาม่า ผมเดิน(ย้ำว่า"เดิน"นะครับ ไม่ใช่"เดินทาง") มาจากเมืองจีนแท้ๆเลยครับ
ปัญหาเริ่มจากตามกฎหมาย โรงงานที่ผมทำนี่ ต้องมีใบรับรองที่ผมสอบได้อยู่ หากไม่มีโรงงานนั้นๆจะดำเนินกิจการต่อไม่ได้ครับ พอจะคิดออกไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม............. ใช่ครับ ผมถูกจ้างมานั่งเฉยๆในตำแหน่ง Production supervisor เพราะเค้าต้องการเอาใบรับรองผมเข้ามาแขวนไว้ที่โรงงานเค้า กิจวัตรประจำวันของผมก็คือ เช้ามาตอกบัตรก่อน 8 โมงเช้า เที่ยงกินข้าว เย็นตอกบัตรออก ปลายเดือนรับเงิน ตอนผมเข้าไปทำงานใหม่ๆก็ไม่มีคนสอนงานผมครับ เนื่องจากผู้จัดการคนเก่าที่เป็นคนร่วมหัวจมท้าย ช่วยเจ้าของก่อตั้งโรงงานนี้มาตั้งแต่เปิดใหม่ๆซึ่งอายุเยอะแล้วหวงงาน กลัวว่าผมจะทำงานแทนแกได้ แกจะหมดความสำคัญ แล้วแกจะถูกเอาออก แกเลยพลอยแบนผมไม่ให้ใครคุยกับผมเลย พนักงานทุกคนรู้ว่าผมเข้ามาทำงานตำแหน่งนี้ ก็ไม่ได้ปิดถ้าผมจะเข้าไปดูการทำงาน เพราะเจ้าของเค้าให้ผมเข้ามา แต่ก็ไม่มีใครสอน ไม่มีใครบอกอะไรเลย เวลาเค้าจะทำอะไรกันเค้าก็จะงุบงิบทำกันเงียบๆ มีเพียงเอกสารการผลิตหลักเท่านั้นที่ผมพอจะหาได้ ส่วนใบสั่งงานเล็กใบน้อยผมถูกกันให้อยู่ห่างจากตรงนั้นครับ ไม่มีสิทธิ์แม้จะได้สัมผัสเลย
แรกๆก็รู้สึกดีหรอกนะครับ เพราะไม่ต้องทำอะไรเลย ปลายเดือนก็มีเงินใช้ วันๆพกโน๊ตบุ๊คมาที่ทำงานก็มานั่งเล่น CM01-02 บ้าง Winning บ้าง Fifa บ้าง ไปตามเรื่องตามราว เที่ยงกินข้าว บ่ายอัพเฟสบุ๊ค/อ่านพันทิพ แล้วเย็นก็ตอกบัตรออก กับเงินเดือน+ใบรับรองแล้วก็สองหมื่นกว่า ก็น่าจะเป็นงานที่ใฝ่ฝันของใครหลายคนในห้องนี้เลยนี่ครับ แล้วมันมีปัญหาตรงไหน?
ปัญหามันอยู่ตรงนี้ครับ ด้วยความที่ว่างจัด ผมเลยพอจะมีโอกาสได้ไปอบรมตามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เค้าจัดขึ้นมาบ้างนานๆครั้ง ครั้งหนึ่งที่ผมไปอบรม ผู้เชี่ยวชาญคนที่พูดอยู่บนเวทีคือเพื่อนผมครับ กับคนนั่งฟังเกือบ 50 คนที่นั่น ภาพสมัยเรียนมันวิ่งวนขึ้นมาเหมือนในหนังเลยครับ สมัยเรียนไอ้คนที่บรรยายอยู่บนเวทีนั่นน่ะ นั่งทำแลปกับผมเป็นคู่แลปกันเลย แต่วันนี้ผ่านไป 5 ปี เค้าได้ไปนั่งอยู่บนเวที เป็นผู้เชี่ยวชาญ มีความรู้ลึกในเรื่องที่ทำ เต็มเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ ในตอนนั้นภาพที่ผมเห็นคือ เพื่อนผมเหมือนลูกโป่งที่ถูกอัดแน่นไปด้วยความรู้ ประสบการณ์ ความสามารถ ในขณะที่ผมตัวเล็กๆเป็นลูกโป่งแฟ่บๆ แถมยังมีรูรั่วอีกเพราะไม่ได้ใช้งานความรู้ ความรู้เลยค่อยๆลดลงไปทุกวัน และแน่นอน รายได้ต่างกันราวฟ้ากับเหว มองไปก็สมเพชตัวเองครับ แล้วก็ถามตัวเองว่า ตอนนี้ผมกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย? แล้วพรุ่งนี้ผมกำลังจะเดินไปที่ไหน นี่แค่ 5 ปีสถานภาพยังห่างกันขนาดนี้ แล้วถ้าอีก 10 ปีล่ะ? แล้วถ้าอีก 20 ปีล่ะ? แล้วถ้าต้องออกจากที่ทำงานปัจจุบันตอนนี้ ใครจะจ้างคนอายุเกือบ 30 ที่ทำอะไรไม่เป็นไปทำงาน แล้วถ้าอายุ 40 แล้วยังทำงานไม่เป็นแบบนี้ต่อไป จะไปทำอะไรกิน ผู้หญิงที่ไหนเค้าจะสนคนไม่มีอะไรเลย ทำมาหากินไม่เป็น ตอนแก่จะต้องไปออกวงเวียนชีวิตให้คนมาบริจาคเงินไหม(เว่อร์ไป) ความคิดพวกนี้มันวิ่งเข้าชนผมด้วยความเร็ว 100 กว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง รุมกันเข้ามาชนตัวผมจนผมกลัว(จริงๆนะ)
เย็นวันนั้น ผมกลับมาใช้เวลาอยู่กับตัวเองคนเดียวเงียบๆในอพาร์ทเม้นท์ที่เช่าอยู่ครับ ให้เวลากับเรื่องที่เราไม่เคยคิดถึงมันเลย เช่นเรื่องอนาคต เรื่องอนาคต และเรื่องอนาคต (ก็เรื่องเดียวนี่หว่า?) ว่าเราจะเอายังไงกับอนาคตของเราต่อไปดี จะยอมอยู่ในสภาพนี้รอให้ตอนแก่ไปออกวงเวียนชีวิตอย่างนั้นหรือ?
ตอนนั้นคำตอบในหัวมีอยู่ 2 ทางครับ ทางแรกคือลาออก แล้วไปหาที่ทำงานใหม่ กับทางที่ 2 คือพลิกกระดานแล้วลองสู้ดูกับที่นี่อีกสักพัก ลองชั่งน้ำหนักกันในหัวดูแล้ว คำตอบที่ออกมามันไม่ยาก (แต่ทำยากมาก) คือทางเลือกที่ 2 เพราะเอาจริงๆคือไม่มีปัญญาไปหาที่ทำงานใหม่นั่นแหล่ะ - -* เกรดแบบนี้ ทำงานก็ไม่เป็น อายุก็พอสมควรแล้ว แล้วยังต้องไปเสี่ยงกับที่ทำงานใหม่ว่าจะดีหรือไม่ดีอีก ตอนนี้สิ่งที่ผมมีอยู่กับตัวคือ
1. โอกาสในการทำงาน พร้อมเงินเดือน
2. สิทธิ์ในการเข้าไปดูการทำงานในไลน์การผลิต
3. ผมมีเวลาให้ผมทำอะไรก็ได้ที่ผมอยากทำเหลือเฟือ
สิ่งที่ผมเริ่มทำคือสิ่งที่ตอนนี้ผมมีครับ คือการเข้าไปเดินไลน์การผลิต 3 เดือนแรกหลังจากคิดได้ผมอยู่ในไลน์ตลอด ทำงานเหมือนพนักงานรายวันเลยครับ เค้ายกถังสารขึ้นมาเทผมก็ช่วยยก รถเข็นรถลากนี่ผมลากได้เข็นได้หมด ตอนเที่ยงผมก็เอาคอมฯมานั่งทำงาน (ที่ทำงานไม่มีคอมให้ใช้) ตรงที่ที่เดิมที่ผมนั่งเล่น CM01-02 นั่นแหล่ะครับ บันทึกทุกอย่างที่ผมเห็น ที่สัมผัสได้ทั้งหมด เขียนแบบลูกทุ่งๆแบบที่ผมพิมพ์ให้อ่านกันอยู่เนี่ยแหล่ะครับ ว่าวันนี้ผมทำอะไรบ้าง เจอปัญหาอะไรบ้าง แล้วผมคิดอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นบ้าง สิ่งที่ผมได้เห็นจากการไปทำงานส่วนนี้คือภาพรวมของโรงงานนี้ว่าเป็นอย่างไร โรงงานกำลังทำอะไรอยู่ แล้วทิศทางของโรงงานมันกำลังจะไปทางไหน ปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขคืออะไร ปัญหาที่มีแต่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นว่าเป็นปัญหาคืออะไร ทางไหนที่เราจะแก้ไขได้บ้าง แล้วผมก็เอาข้อมูลพวกนี้แหล่ะมาเขียนเป็นแผนว่าเราจะทำอย่างไรงานที่ทำถึงจะน้อยลง ทำอย่างไรต้นทุนถึงจะถูกลง ทำอย่างไรงานถึงจะทำได้เร็วขึ้น เขียนมาเป็นข้อๆเลย แล้วเก็บรวบรวมไว้
สิ่งที่ได้อีกอย่างหนึ่งคือความสัมพันธ์กับพนักงานคนอื่น (ลูกน้อง ตามตำแหน่ง) เริ่มมีคนยอมคุยกับผม เวลาผมถามอะไรเริ่มแอบตอบตอนผู้จัดการไม่เห็นบ้าง เริ่มคุยเล่นกันได้บ้าง ไปจนถึงเริ่มมีพาไปกินข้าวด้วยกันบ้าง ในช่วงนี้การแต่งตัวของผมเริ่มพัฒนาแบบก้าวกระโดด จากเสื้อเชิ้ต+กางเกงสแลก เริ่มเป็นเสื้อโปโล+กางเกงยีนส์ บางทีก็เสื้อยืด หลายๆทีมีใส่เสื้อแลกฝากระทิงแดงไปทำงานด้วย เรียกว่าเดินมากับพนักงานในไลน์นี่แทบแยกไม่ออกเลยทีเดียวว่าใครหัวหน้า ใครลูกน้อง
ผมค่อยๆลดระดับของตัวเองลง จากตอนเข้ามาทำงานใหม่ๆเหมือนคนทำงานออฟฟิสทั่วไป แต่งตัวดี เรียบร้อย ลอยเด่นโดดออกมาจากพนักงานคนอื่น ค่อยๆกลายเป็นคนงานหาเช้ากินค่ำ แต่งตัวปอนๆไปทำงาน ผมตัดสั้น ไม่ค่อยได้หวี ขี่มอเตอร์ไซค์มือ2 (ที่น้องๆในไลน์ผลิตไปช่วยดูให้) ไปทำงาน ไม่กี่เดือนผ่านไป พอรู้ตัวอีกที ผมกลายเป็นคนที่คุยได้กับทุกคนในโรงงาน พนักงานตั้งแต่เด็กยันแก่รักใคร่เอ็นดูเหมือนลูกหลาน มีเรื่องอะไรก็มีคนคอยให้คำปรึกษา หรือเป็นที่ปรึกษาให้คนอื่น ขนาดคนที่ไม่คุยกันมาเป็น 10ๆปีก็ยังให้ผมเป็นตัวกลางเจรจากันให้ อาจจะเพราะด้วยความเป็นเด็กบ้านนอกด้วยมั้ง เลยไม่เคยถือตัวอะไรกับใคร เลยทำให้พนักงานส่วนหนึ่งก็แอบๆสอนงานให้ บางคนก็มาปรึกษาเรื่องงาน คุณป้าบางคนก็มาบ่นเรื่องลูกให้ฟัง มีการแอบเอาเศษกระดาษที่ผู้จัดการสั่งงานมาให้ดูว่ามีอะไรยังไงบ้าง เวลาเกิดปัญหาขึ้นมา ผู้จัดการเข้ามาแก้ปัญหาอะไร อย่างไร ตอนนี้ผมเลยเริ่มได้เรียนรู้การทำงานบ้าง
และแล้วโอกาสของผมก็มาถึง ตอนผมทำงานด้วยวิธีนี้ไปได้เกือบปี เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโรงงาน คือเจ้าของโรงงานทำต่อไม่ไหว ให้ลูกชายขึ้นมาทำงานแทนเลยเกิดการประชุมครั้งใหญ่ขึ้น ผมเลยได้โอกาสเสนอแผนต่างๆที่ผมได้เก็บรวบรวมไว้แล้วดันถูกใจผู้บริหารใหม่ เลยได้รับโอกาสให้ทำการปรับปรุงครั้งใหญ่ สถานะตอนนี้คือ ผมไม่ได้สั่งงานจากบนยอดหอคอยลงมาข้างล่าง ผมสั่งงานจากระดับเดียวกับพนักงาน วิธีการในแผนของผมปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาตามสิ่งที่เห็นว่าดีที่สุดในขณะนั้น โดยรับฟังปัญหาที่เกิดขึ้นจริงทั้งจากปากพนักงานคนอื่น และจากการที่ผมได้ลงไปทำหน้างานจริงๆ โดยยึดเอาเป้าหมายเป็นหลัก ยิ่งเป็นโรงงานที่นี่ ที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาจะ 40 ปีแล้ว ผลงานมันเลยเกิดเป็น impact สะเทือนไปทั่วโรงงาน เวลาการทำงานลดลงแบบก้าวกระโดด ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นแบบคนทั่วไปก็รู้สึกได้ โดยแทบไม่ได้ลงทุนเป็นเงินเลย เงินเดือนเพิ่มขึ้นจาก 23K (รวมใบรับรองแล้ว) เพิ่มปีแรก 20% เป็นประมาณ 27K พอปีถัดไปด้วยภาระงานเอกสารที่เพิ่มขึ้น ผมลดการเข้าไปทำงานในไลน์การผลิตลง จากเดิมทำทั้งวัน ลดเหลือแค่ไปเดินตรวจงานเป็นช่วงๆ ทำให้ผมพอจะมีเวลาว่างมากขึ้น ระหว่างนี้เลยเริ่มไปช่วยงานในสาย QC, R&D และฝ่ายประสานกับหน่วยราชการ
สิ่งที่ผมได้จากการไปช่วยงานในแผนกอื่นก็คือ ได้ความรู้ ความเข้าใจในเนื้องานตัวเองเพิ่มมากขึ้น ผมเริ่มตอบปัญหาที่คาใจผมมานานได้บ้าง ว่าทำไมงานนี้ต้องรอกระบวนการนี้ ทำไมทำต่อไม่ได้ ผลงานผมเลยเริ่มดีขึ้นตามลำดับ กับความสัมพันธ์กับพนักงานส่วนผลิตที่ดีอยู่แล้วก็ยังรักษาไว้ กับผู้จัดการคนเก่า เจอทีไรผมก็ยกมือไหว้ ในการทำงานผมดึงแกมาเป็นคณะกรรมการช่วยตัดสินใจเลย สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ ธรรมชาติของคนครับ เมื่อไรก็ตามที่เราแสดงตัวว่าเรามาอย่างเป็นมิตรนะ เราจะช่วยให้คุณทำงานได้ดีขึ้นนะ เราเป็นพวกเดียวกันนะ พร้อมทั้งให้ความเคารพในตัวเค้าและหน้าที่การงานเค้ามากเพียงพอ เมื่อนั้นกำแพงมันจะค่อยๆลดระดับลงครับ แล้วสุดท้ายป้อมในกำแพงมันจะเป็นของเรา ในปีที่ 2 นี้เงินเดือนผมเพิ่มขึ้นเป็น 32K ครับ บวกกับเจ้าของเค้าให้พิเศษส่วนตัวผมอีก 5K ต่อเดือนนอกสลิป รายรับผมขึ้นไปที่ 37K เมื่อจบปีที่ 2 ที่ทำงาน
พอขึ้นปีที่ 3 ผมกำลังจะอายุ 30 ปีในไม่ช้า เมื่อเทียบกับเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน หรือแม้แต่ในพันทิพ ห้องสีลม (ที่เงินเดือนแพงที่สุดในประเทศ) ก็ตาม เงินเดือนผมเรียกว่าไม่เยอะเลย แม้จะรู้สึกว่าไม่น้อยแล้วก็ตาม ผมเลยเริ่มมองหาหนทางที่จะเปลี่ยนงาน เพื่ออนาคตที่ดีขึ้น ไปทำงานในบริษัทใหญ่ขึ้น แม้ว่าที่ทำงานในตอนนั้น จะมีเพื่อนร่วมงานที่ดี เจ้านาย(ของ)ที่เอ็นดูเรา เรียกเราว่าลูกทุกคำ ก็ตาม ความคิดในตอนนั้นคือ ความรู้ที่ได้จากที่นี่มันแทบจะหมดแล้ว สิ่งที่เราต้องการคือประสบการณ์ที่หลากหลายยิ่งกว่านี้ เลยอยากลองของ หาปัญหาใส่หัว ซึ่งในขณะนั้น ผมเรียนปริญญาโทไปด้วยในวันเสาร์-อาทิตย์ เนื่องจากอย่างที่บอกไปตอนแรกนั่นแหล่ะ ครับ ช่วงแรกว่างจัด - -*
ตอนนั้นเริ่มจะมีความรู้จากการเรียนปริญญาโทมาบ้างแล้ว เลยเริ่มจากการวิเคราะห์ตัวเอง ซุนวูว่าไว้ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เลยเริ่มจากการ SWOT ตัวเอง เพื่อให้รู้เราก่อน พบว่า เราเป็นพนักงานระดับกลาง ทำงานในบริษัทเล็ก ผลงานพอมี แต่ยังไม่ได้พิสูจน์ ข้อดีของผมคือการรู้จักพนักงานในทุกระดับ สามารถเข้ากับคนอื่นได้ง่ายมากถึงมากที่สุด ผลงานเด่นของผมคือการรับมือกับปัญหาเรื่องคน เหมือนกับนักเตะดาวรุ่งในแชมป์เปี้ยนชิพ ที่ยังไม่เคยลงสัมผัสกับพรีเมียร์ลีคเลย แต่ด้วยความมั่นใจว่าเราก็มีของดี แต่ป้ายโฆษณาไม่ชวนเชื่อให้คนมาซื้อเลย (อย่างที่บอก เกรด 2.02 จบ 8 ปี F เยอะจนนับไม่ถูก) เราเลยต้องหาวิธีที่ลูกค้า (บริษัท) จะได้ทดลองชิมฟรีกับเราก่อน หรือก็ต้องเอาสินค้าเราไปยัดปากลูกค้าที่อยากกินให้ได้
เลยเริ่มวางแผนตั้งแต่ต้นปี เราจะเริ่มหางานหลังเดือนเมษา โดยการอัพเดทประวัติไว้ในเว็บ เพราะเดือนเมษา นักศึกษาใหม่จะได้งานกันเกือบหมดแล้ว คู่แข่งของเราก็จะลดลงไป งานที่เหลืออยู่ จะเป็นงานประเภทที่ว่า ขาดแคลนกะทันหัน งานเผือกร้อน หรือนักศึกษาที่เข้าไปตอนต้นปีทำงานไม่ดี หรือทำงานดีแต่ไปได้งานที่ดีกว่า เรียกว่าบริษัทตกรถนั่นแหล่ะ เริ่มหาคนทำงานในช่วงที่ 2 ของปี ช่วงนี้อำนาจการต่อรองของคนหางานจะค่อนข้างสูง เพราะช่วงกลางปีคนไม่ค่อยอยากออก เพราะบางบริษัทมีออกโบนัสกลางปี บางคนก็กลัวอดโบนัสปลายปี เลยไม่ค่อยมีคนย้ายงาน หน้าที่ของผมก็คือ ค้นหาบริษัทที่ต้องการความสามารถด้านที่ผมมี คือด้านการจัดการปัญหาเรื่องคน มีทั้งบริษัทตกรถ และ บริษัทเผือกร้อนโทรมาเรียกสัมภาษณ์หลายที่ ผมก็เดินสายสัมภาษณ์เรื่อยๆ ตั้งแต่เมษา พฤษภา มิถุนา กรกฏา หาบริษัทที่เหมาะสมกับตัวเอง ความกดดันแทบไม่มี เพราะมีงานประจำทำอยู่แล้ว เงินเดือนผมตั้งไว้ในใจว่าต้องไม่น้อยกว่า 40K ไม่งั้นไม่ย้าย ด้วยความที่ประสบการณ์ยังน้อย และเกรดเน่าหนอนด้วย ทำให้ส่วนใหญ่ไม่สู้เงินเดือน
เหมือนบุญพาหรือวาสนาส่งไม่รู้ ทำให้มีบริษัทเผือกร้อนหัวแถวขนาดกลางในธุรกิจอุตสาหกรรมที่ผมทำงานอยู่เรียกไปสัมภาษณ์ ผลออกมาว่าผมได้งาน แต่เงินเดือนจะลดไปอยู่ที่ ราวๆ 32K + OTเฉลี่ยราว 3K-4K ตอนนั้นผมชั่งใจอยู่นานมาก เพราะว่าโอกาสจะทำงานในบริษัทขนาดนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆแน่ๆ ถึงเงินเดือนจะลด แต่ก็แลกมาด้วยโอกาส และ ความสามารถในการย้ายงานในอนาคตที่ดีกว่าตอนนี้แน่ๆ สุดท้ายผมเลยตอบตกลงไปกับที่นี่ ตกลงเซ็นสัญญาเริ่มงานกันเรียบร้อย
เดือนสุดท้ายที่ทำงานที่เก่า ในขณะที่ผมลางานไปหาเช่าที่พักใหม่ ที่ใกล้ที่ทำงานใหม่นั่นเอง บริษัทระดับกลางอีกที่ก็ได้โทรมา พอดีว่าอพาร์ตเม้นท์ที่ผมดูอยู่ อยู่ห่างจากบริษัทหลังนี่ไม่ถึง 15 นาที ผมเลยตอบตกลงตัดสินใจไปสัมภาษณ์งานกับที่หลังนี่ตอน 6 โมงเย็นของวันนั้นเลย ผลปรากฏว่า ที่หลังนี่ตอบโจทย์ผมได้มากกว่า ปัญหาที่เค้ากำลังเผชิญอยู่และแก้ไขไม่ได้คือเรื่องคน ซึ่งผมบอกเลยว่าเบากว่าที่เก่าที่ผมทำงานมาก ผมเสนอทางออกให้เค้าหลายๆทาง ผู้จัดการโรงงานเค้า OK ทันทีกับเงินเดือน 40K ที่ผมเสนอไปโดยไม่ต่อรองซักคำ แต่เค้ามีข้อแม้ว่า 3 เดือนแรก เค้าจะให้ 35K (ไม่รวมโอทีอีกราวๆ 10K-15K) ก่อน (รวมใบรับรอง) ถ้าผ่านโปร 3 เดือนแรกจะขึ้นเงินให้เป็น 40K ตามที่ขอ โดยเค้าจะไปเป็นคนต่อรองกับ HR ให้เอง สรุปผมเลือกที่นี่อย่างไม่ต้องลังเล งานท้าทาย และอยู่ในวิสัยที่จะทำได้ เงินเดือนโอเค เลยโทรไปบอกบริษัทเผือกร้อนหัวแถวเลยว่าผมขอยกเลิกไม่ไปทำงาน ด้วยเหตุผลว่ามีบริษัทที่ต้องการตัวผมจริงๆและสามารถสู้เงินเดือนผมได้ HR ที่นั่นก็น่ารัก และเข้าใจครับ เลยจากกันด้วยดีครับ
หลังจากยื่นใบลาออก เจ้าของบริษัทเก่าเค้าก็เรียกผมไปคุยนะครับ แล้วก็ถามถึงสาเหตุที่ออก เพราะเค้าไม่อยากให้ผมออก เค้าเสนอจะเพิ่มเงินเดือนให้ มีห้องแยกให้ทำงาน อนาคตให้ช่วยเค้าบริหาร แต่จุดหมายผมไม่ได้อยู่ที่เงินเดือนเพียงอย่างเดียวแล้วครับในตอนนั้น ใจผมมันบินลอยไปไกลกว่านั้นแล้ว ผมอยากได้ประสบการณ์ใหม่ อยากรู้อยากลองอะไรใหม่ๆ เลยพูดคุยกับเจ้าของ (เค้าเรียกผมว่าลูก ผมเรียกเค้าว่าป๊า) จนเข้าใจ ก็ตกลงกันว่า ซักวันหนึ่งที่ผมปีกกล้าขาแข็งพอแล้ว ผมจะกลับไปทดแทนบุญคุณป๊า ช่วยป๊าบริหารงานบริษัทนะครับ
พอเริ่มงานที่บริษัทใหม่ (บริษัทปัจจุบันนี้) 3 เดือนที่ผมทดลองงาน ผลงานถูกใจผู้บริหารมาก เพราะปัญหาที่เคยแก้ไม่ได้อย่างเรื่องคนเก่าแก่นี่ ผมเข้ามา 3 เดือนผมสั่งซ้ายหันขวาหันได้เลย ปัญหาที่เคยถูกซุกไว้ใต้พรมอยู่ผมไปแงะออกมาได้หมด HR manager ถึงกับเคยเรียกผมเข้าไปคุยในห้องเลย ว่าผมไปทำอะไรอีท่าไหน ทำไมปัญหาที่เค้าเจอมาเป็น 10 ปี ผมแก้ให้เค้าได้กว่า 60% ใน 3 เดือน สรุป หลังพ้นทดลองงาน 3 เดือน เงินเดือนผมกระโดดไปที่ 42K (รวมใบรับรอง) มากกว่าที่ได้ตกลงกันไว้ แถมค่าใบรับรองจากปกติให้ 5K ก็เพิ่มให้เป็น 10K ทำให้เงินเดือนผมวิ่งไปที่ 50K+ เมื่อรวมสวัสดิการอื่นๆเช่นค่าอาหาร เบี้ยขยัน และอื่นๆแล้ว นอกจากนี้ผมยังมีโอทีให้ทำอีก เดือนละไม่ต่ำกว่า 10K (ถ้าเลือกที่จะทำ)
ตอนนี้ที่ผมมีเวลาว่างมาพิมพ์ให้อ่านได้นี่ผมก็ยังทำงานอยู่ นานๆทีจะมีปัญหาเข้ามาให้แก้ซักที ปกติงานว่าง ตรวจเอกสาร อ่านเอกสารอะไรไปเรื่อยเปื่อย ประสาคนทำงานออฟฟิสทั่วๆไป แต่ถ้างานเข้า ผมก็ยุ่งเหมือนกัน เช่นเมื่อคืน กว่าจะกลับบ้านได้ กดไปเที่ยงคืนกว่า อดดูน้องมุนินท์แรงเงาเลย T_T ฉะนั้นที่บางคนบอกว่าคนเงินเดือนสูงต้องทำงานหนัก ไถนาเป็นวัวเป็นควาย ผมนอนยันให้เลยว่าไม่จริงทุกคนหรอก เพื่อนรุ่นพี่ผมเป็นระดับกรรมการบริษัท แมร่มเที่ยวทุกวันเลย เช้านั่งดูกาแฟ จิบหนังสือพิมพ์ก่อนไปทำงาน เอ๊ย! นั่งอ่านกาแฟ เอ๊ย! นั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์ เอ๊ย! ถูกแล้ว!! ก่อนไปทำงานยังได้เลย แต่เวลาทำงานพี่แกก็ทำงานจริงจัง บางทีตี1 ตี2 ยังไม่ได้กลับบ้านก็มี งานส่วนใหญ่ก็เป็น Mission impossible นั่นแหล่ะ เช่น ต้องหาทางปิดถนนอโศก-เพชรบุรี ในช่วงเวลา 15.00-20.00 ให้ได้ เพื่อไปซ่อมท่อสายเคเบิ้ล ซึ่งผมเองยังนึกไม่ออกเลยว่าจะทำได้ยังไง(วะ)
ก็ไม่รู้ว่าประสบการณ์ของมนุษย์เงินเดือนแบบผมจะพอเป็นประโยชน์กับใครบ้างหรือเปล่า เพราะถามว่าประสบความสำเร็จหรือยัง ผมก็ตอบว่ายังแน่นอน คนที่อายุเท่ากันแต่เงินเดือนสูงกว่าผมก็มี (แถมมาอยู่ในสีลมเยอะด้วย) เจ้าของกิจการเงินล้านก็เยอะ ประวัติน่าสนใจกว่าผมตั้งเยอะ แต่ก็หวังว่าน้องๆที่เริ่มทำงานใหม่พอจะได้แนวทางในการปีนป่ายกำแพงเงินเดือนกันบ้างไม่มากก็น้อย
* * * * *
มีคำถามมาทางหลังไมค์ครับ เกี่ยวกับการซื้อใจคน ว่าจะทำอย่างไรหากต้องซื้อใจลูกน้อง ขออนุญาตตอบรวมเลยนะครับ ไม่ว่าเพื่อนร่วมงานจะอายุเท่าไร
ทำเหมือนตอนจีบสาวครับ
น่าน................ งง งง งงล่ะสิ สำหรับสาวๆ อย่าเพิ่งงงครับ หลักการมันง่ายมาก คนเค้าชอบอะไรก็เอาไปให้เค้าสิครับ เหมือนเวลาคุณชอบสาวอยู่คนหนึ่ง สาวเจ้าชอบดูซีรี่เกาหลีมาก หากคุณอยากพิชิตใจสาวเจ้าคุณจะทำอย่างไร ระหว่าง
1. เอาซีรี่คอฟฟี่ปริ๊นซ์ครบชุด บรรจุในกล่องดีวีดีพิเศษ Limited edition มีเพียง 8 ชุดในโลก พร้อมผ้าคันคอ เอ๊ยผ้าพันคอเหมือนที่กงยู พระเอกใส่พร้อมลายเซ็น
กับ
2. เอาซีรี่แหล่พระรถเมรีย์ของทศพล หิมพานไปให้ทั้งชุด บรรจุในกล่องลงรักปิดทองสวยหรู พร้อมพระหลวงพ่อแช่ม วัดท่าฉลองภูเก็ต ให้เอาไปบูชาที่บ้าน
คำตอบมันก็เห็นกันอยู่หลัดๆ เอ๊ย ชัดๆ (ตึ่งโป๊ะ! หลายมุกแล้วนะเม้นนี้) ฟังดูเหมือนจะทำง่ายนะครับ แต่ตอนทำจริงๆมันไม่ง่ายหรอก ตั้งแต่กระบวนการแรกแล้วว่าจะหาได้อย่างไรว่าเค้าชอบอะไรกัน แค่เข้าใกล้เค้าก็ตั้งกำแพงสูงเด่นเป็นสง่า ราวกับป้อมไอเซนต์การ์ดในลอร์ดออฟเดอะริงที่ไม่มีวันตีแตกได้ ถ้าไม่เอาทัพเอนท์มารุมตีเหมือนในเรื่อง (เริ่มไปไกลล่ะ กลับมาเข้าเรื่องก่อนวุ้ย -*-) แล้วไหนจะต้องเข้าไปคุยแบบเนียนๆไม่ให้สาวเจ้ารู้ตัวอีก ว่าเรากำลังเข้ามาสืบความลับ แล้วไหนลูกน้องยังมีตั้งหลายคนอีก จะเอาใจคนโน้น คนนี้ก็ไม่ชอบ เอาใจคนนี้มากไป คนโน้นก็มาเขม่นอีก
วิธีการแบบบ้านๆวิธีการแรกคือ พยายามเข้าไปคลุกคลีกับพนักงานครับ หากเค้าตั้งกลุ่มก๊กกันก็ไม่เป็นไร เข้าก๊กไหนก่อนก็ได้ที่คิดว่าคุณพอจะเนียนๆเข้าไปคุยด้วยได้ คุยบ้าง หยอดบ้าง แหย่บ้าง อย่าให้เหยื่อรู้ตัว ทำตัวขำๆไปก่อนอย่าเพิ่งถามเรื่องงาน ทำแบบนี้ไปซักพัก 1-2 สัปดาห์ แล้วค่อยๆขยับไปแหย่คนอื่นต่อครับ ค่อยๆขยับเข้าหาตัวเป้าหมายของเราเรื่อยๆนะครับ เป้าหมายของเราจะได้ไม่รู้สึกแปลกแยก เหมือนตอนจีบสาว ค่อยๆเข้าทางเพื่อนครับ เพื่อนนี่แหล่ะตัวดีเลย ตั้งน้ำมันร้อนๆ ใส่ฟืน ช่วยให้สาวเจ้าทอดสะพานมาให้เรานักต่อนักแล้ว ที่สำคัญต้องเน้นในที่นี่คือ อย่าทำตัวให้เหนือกว่าคนอื่นครับ เค้ากินข้าวกับแกงถุงเราก็กินแบบเค้า เค้ากินกาแฟชงใส่ถุง ถุงละ 12 บาทมัดเชือกเสียบหลอด เราก็ต้องกินได้ ไม่ใช่ถือสตาร์บั๊กร่อนไปร่อนมาให้เค้าหมั่นไส้เอา ตอนเที่ยงเค้าสั่งข้าวกล่องกัน เราก็สั่งด้วย กินได้ก็กิน กินไม่ได้ค่อยแอบไปซื้อข้าวมากินเองเงียบๆทีหลัง ประมาณนั้น แล้วมันจะเนียนครับ คนกินข้าวหม้อเดียวกัน ส่วนมากมักช่วยเหลือกันก่อนอยู่แล้วด้วยความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันครับ
พยายามแสดงตัวว่าเรามาอย่างเป็นมิตร ตั้งแต่แรกครับ ตอนผมเข้าทำงาน ผมเรียกหัวหน้าไลน์แต่ละไลน์มาคุยเลย แยกหน้าที่กันให้ชัดเจน ว่า "ผมมีหน้าที่มาช่วยให้คุณทำงานได้ง่ายขึ้นนะ บอกตรงๆประสบการณ์การทำงานผมสู้คุณไม่ได้หรอก (เริ่มยอให้ตรงจุด โดยการพูดความจริงที่ใครๆก็รู้ ที่เค้าอยากฟังเพื่อเป็นการทำลายกำแพงด่านแรกก่อน) แต่ในส่วนการประสานงานกับฝ่ายบริหารเนี่ย เค้าน่าจะฟังผมบ้างแหล่ะ (ยกข้อดีที่เป็นความจริงตามต่อมา ทำลายกำแพงด่านที่2) ถ้างานตรงไหนที่ติดขัดให้มาบอกเลย ผมพร้อมช่วยเต็มที่ (เสนอตัวทำงาน ประกาศพื้นที่งานของตัวเองให้ชัดเจน) หรืออะไรก็ตามที่แสดงให้เห็นว่า เราไมได้ไปแย่งความสำคัญของเค้ามานะ เรามาช่วยให้เค้ายิ่งเด่นขึ้นมาต่างหาก ยิ่งเราทำงานได้ งานเข้ายิ่งมีคุณค่า ตบท้ายด้วยการอ้อนเล็กๆแบบพองาม "ผมยังต้องพึ่งลุงแช่มอีกหลายอย่าง ลุงแช่มอยู่ที่นี่มานานกว่าผมมาก ถ้าอันไหนผมทำไม่ถูกลุงแช่มช่วยเตือนผมด้วยนะครับ"
ต่อไปเป็นศิลปะการสื่อสารครับ หลายๆท่านตอนเรียนน่าจะได้เรียนวิชานี้ วิชา การสื่อสารในชีวิตประจำวัน กส.1870 จำนวน 2 หน่วยกิต........เฮ้ย ไม่ใช่แล้ว เข้าเรื่องๆ เวลาทำงานใช้คำพูดให้ softๆ นิดหนึ่งครับ แต่ก็อย่าทำตัวอ่อนจนโดนดูถูกได้ เช่น เราอยากให้พนักงานทำงานให้เราสักชิ้นหนึ่งนอกแผน อย่าเข้าไปสั่งตรงๆว่า "ลุง ทำไอ้พรรณนี้ให้ชิ้นนึง! เอาด่วนๆนะ จะรีบใช้" ไม่เอา ไม่พูดนะครับแบบนี้ ถึงเราจะเป็นหัวหน้า มีสิทธิ์ในการสั่งงานลุงคนนี้อย่างเต็มเปี่ยมก็ตาม ถามว่าพอเราสั่งไปลุงแกทำให้ไม๊ ด้วยตำแหน่งแกก็จะทำให้นะครับ แต่พูดไปแบบนี้ก็จะกินแหนงแคลงใจกันเปล่าๆแน่นอน ปรับคำพูดคำจาซะใหม่ หัดอ้อม+ใส่ประโยคคำถามลงไปบ้าง เช่น "ลุง(ชื่อ สมมุติชื่อแช่ม)แช่ม(การเรียกชื่อสำคัญมากนะครับ ขอเน้น)ครับ พอดีมันมีงานงอกมานอกแผนชิ้นหนึ่ง ที่ผมต้องรีบใช้ ลุงพอมีเวลาช่วยทำให้ผมหน่อยได้ไหมครับ" เท่านี้คนพูดก็ได้งาน คนทำก็แฮปปี้ และแล้วพระเอกกับนางเอกก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขสืบไป.......................เฮ้ย ยังไม่จบ - -* กลับไปเปรียบเทียบกับการจีบสาว ถ้าเดินเข้าไปหาสาวเจ้าโต้งๆเลยแล้วบอกว่า "เป็นเมียผมเถอะ" 100ทั้ง100ครับ ไม่โดนเพื่อนสาวเจ้าถีบยอดหน้าออกมาก็แปลกแล้ว
ใช้เงินและผลประโยชน์ซื้อครับ ไม่ได้ฟังผิดหรอกครับ ผมไม่ได้โลกสวย เอาทฤษฏีเลอเลิศมาขายฝัน ในการทำงานต้องใช้เงินซื้อใจคนจริงๆ แต่ไม่ใช่ว่าอยู่ๆคุณจะเอาเงินไปฟาดหัวคนมานะครับ แบบเอาเงินไปแสนนึง แล้วทำงานตามอั๊วสั่ง อันนั้นพอเงินหมด คนก็ไป ศิลปะการใช้เงินมันมีครับ เช่น ช่วงหนึ่งที่ไลน์ต้องหยุด เพราะเครื่องจักร break down ช่างกำลังระดมซ่อมกันอย่างเต็มที่ มีงานทำความสะอาดตึกภายนอกโรงงานที่ต้องการคนไปช่วยทำ ได้ขอคนว่างงานไปช่วยพอดี ผมก็โยกคนที่ว่างอยู่เพราะเครื่องจักร break down ไปช่วยทำ พอทำไปสักพัก ต้องมีการให้รางวัล ผมก็ให้เงินเด็กคนหนึ่งที่มาช่วยนี่แหล่ะ ไปซื้อน้ำอัดลมเย็นๆ 2 ลังมาเลี้ยงกัน 2 ลังไม่ถึง 500 แต่เราได้งาน ได้ใจเด็ก แถมได้หน้า ในฐานะที่คุมพนักงานลูกน้องของตัวเองได้
อีกอย่างหนึ่งที่อยากจะเสริมก็คือ เวลาเราทำดีแล้วต้องบอกนะครับ อย่าทำดีแล้วเงียบๆ มันไม่เกิดประโยชน์ อย่างในกรณีข้างต้น ผมใช้วิธีการบอกแบบปากต่อปาก โดยการใช้เด็กที่ทำงานอยู่เนี่ยแหล่ะเป็นคนไปซื้อ และเป็นคนแจกโดยให้เป็นจุดกระจายข่าวไปด้วยในตัว คนที่มาเอาน้ำก็อยากรู้แหล่ะว่าเอาของมาจากไหน ต้องถามแน่นอน การสื่อสารแบบปากต่อปากมักจะให้ผลมากกว่าการสื่อสารทางกว้างวิธีอื่นครับ เพราะความน่าเชื่อถือจะสูง และอารมณ์ร่วมจะสูงด้วย นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะซื้อใจคนด้วยเงินที่คุ้มค่า
บางคนอาจถามนะครับว่า มันคุ้มเหรอ กับการเอาเงินเดือนเราไปทำอะไรแบบนี้ อย่างการพาลูกน้องไปเลี้ยง พาหัวหน้าไลน์ไปเลี้ยง ผมเคยพาหัวหน้าไลน์ไปเลี้ยง กินซีฟู๊ดริมทะเล เหล้าไม่อั้น แบบไม่อ้วกนอนเหมือนหมาไม่ต้องกลับบ้านมาแล้ว หมดไปหลายหมื่นนะครับ ผมก็พาไปมาแล้ว ผมคิดแบบนี้ครับ เงินเดือนที่เราได้มาจากบริษัท เป็นเงินที่บริษัทจ้างให้เราทำงาน หากเราเอาเงินนั้นไปจ้างคนอื่นให้ทำงานแทนเราได้ โดยเราได้หัวคิว ทำไมเราถึงจะไม่ทำ อันนี้โดยส่วนตัวผมเรียกว่าเป็นการใช้เงินทำงานเหมือนกันครับ ถ้าทำดีๆ เดือนๆหนึ่งคุณแทบไม่ต้องทำงาน เพราะมีคนทำแทนหมด แต่คุณได้ผลงาน แถมได้ใจลูกน้องอีก ครบสูตร แก่ ใจดี สปอร์ต กทม. กันเลยทีเดียว - -*
อีกวิธีหนึ่งคือการสัญญาครับ อันนี้ส่วนมากใช้เฉพาะกับบุคคล ไม่ใช้กับคนหมู่มาก และวิธีนี้ค่อนข้างจะต้องเป็นความลับ ไม่ให้ใครรู้ เช่น ตอนเรียกหัวหน้าไลน์มาคุย ผมบอกเลยว่า ถ้าคุณช่วยงานผมได้ผลงานที่ดี ปีนี้ผมประเมินผลงาน(ให้ผลประโยชน์)ให้คุณเต็มที่ พอปลายปี แม้ว่าผลงานอาจไม่ดีเท่าที่คิด ผมใช้วิธีเอาใบประเมินให้พนักงานคนนั้นเขียนเองเลย แล้วมานั่งคุยกัน ว่าในแต่ละช่องเค้าควรจะได้คะแนนเท่าไร แต่วิธีนี้จะใช้ได้เฉพาะกับคนที่เราประเมินแล้วนะครับว่าเป็นคนที่กระหายความก้าวหน้า นิสัยค่อนข้างตรงๆหน่อย ส่วนมากเป็นผู้ชาย วัยกลางคนซัก 40 กว่าๆจะได้ผลดีครับ
ทั้งหลายทั้งปวง ในความเป็นจริง มันมีเทคนิคมากกว่านี้อีกเยอะครับ จะนำมาเขียนเล่าตรงนี้ก็คงไม่หมดดี เพราะการใช้คนมันเป็นศิลปะครับ ทฤษฏีมีนิดเดียว ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากกว่า ต้องฝึก ต้องลงมือทำครับ ถึงจะใช้เป็น หากมีข้อสงสัยก็ถามกันเข้ามาได้ครับ ตอบได้จะตอบ ตอบไม่ได้ก็สารรูป.........ภาพ!!! ตามตรงว่าไม่รู้ครับ หวังว่าประสบการณ์ที่เอามาแชร์ตรงนี้คงพอเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นบ้างครับ
@ สิ่งที่ควรรู้ ก่อนเรียน Master of Business Administration (MBA)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น