ห้องตรวจตา...ชั้น 5 อาคารเฉลิมพระเกียรติ

Blogนี้ผมตั้งใจทำขึ้นเพื่อตอบแทนสดุดีนโยบายบัตรทองประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรคของรัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร
จะรีบไปไหน...จะรีบไปไหน...รอโหลดซักกะเดี๋ยวซิครับ คลิก...นโยบาย"ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ"

* ขอขอบคุณที่ติดตามรับชมและช่วยประชาสัมพันธ์ลิงค์ http://eye009.blogspot.com/ ให้แพร่หลาย *
@ ปู้นนน...!!! คนเมืองใต้เจียงใหม่ของหมู่เฮาลงไปตางปู๊นนน..... * * * * * @ 2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย . . . ร่วมด้วยช่วยกันเผยแพร่สื่อสารถึง"คนเสื้อแดง"ทั่วไทยและทั่วโลก . . . ขอขอบพระคุณเจ้าของclipภาพถ่ายและบทความทุกๆท่านที่กรุณาเอื้อเฟื้อแบ่งปัน . . .น้ำใจซื้อขายไม่ได้ แต่น้ำใจให้กันได้...อิอิ


PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับส่วนต่างๆและระบบการทำงานของดวงตา, โรคตาต่างๆ และวิธีการดูแลรักษาดวงตาอย่างถูกต้องที่สามารถปฏิบัติตามในเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง... ขอขอบคุณ www.knowledge.com

วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556

107 อัลบั้ม 2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย

2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต
และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย


2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต
และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย


2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต
และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย


2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต
และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย


2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต
และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย


2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต
และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย


2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต
และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย


2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต
และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย


2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต
และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย


2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต
และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย

วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

106 คำถามน่ารู้... โรคต่อมลูกหมากโต

@ ผมไม่ได้แหล!!! แต่เรื่องดีๆอย่างนี้..clickดูเองเหอะ
@ ความเป็นมาของ คดีสะเทือนโลก "ที่ดินรัชดา" ที่ทุกๆคนควรรู้!!!
@ ทำความเข้าใจก่อนวิจารณ์ "การลงทุน 2 ล้านล้าน" กับ รัฐมนตรีชัชชาติ สิทธิ์พันธุ์
@ เขียนให้อ่าน..จากใจ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร
@ ทิ้งหนี้ไว้ให้ลูกหลาน โดย ดร.วีรพงษ์ รามางกูร
@ อะไรคือ มรดกอสูร!!! ใครคือ ทายาทอสูร!!! ดร.โกร่งมีคำตอบ
@ เป็นเพราะว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเหล่านี้ไม่มีสำนึกในการรักษาความยุติธรรม..และยังทำลายความยุติธรรมด้วยมือของตนเองอีกด้วย...
@ คำแปล ปาฐกถาพิเศษ ปชต."นายกฯยิ่งลักษณ์"ที่มองโกเลีย
@ จดหมายเปิดผนึก.. ส.ส.และ ส.ว.312 คน คัดค้านและไม่ยอมรับการใช้อำนาจที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญของศาลรัฐธรรมนูญ

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ New!! แจกปฏิทินนายกฯปู พ.ศ.2556 คลิกที่นี่...

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น


คำถามน่ารู้...โรคต่อมลูกหมากโต
เอื้อเฟื้อบทความจาก: สสวท.

ต่อมลูกหมากคืออะไร

ต่อมลูกหมากเป็นต่อมที่อยู่รอบท่อปัสสาวะส่วนต้นบริเวณโคนอวัยวะเพศของผู้ชาย คนมักเข้าใจผิดว่าต่อมลูกหมากคือลูกอัณฑะ ที่ถูกต้องคือ ลูกอัณฑะมีหน้าที่สร้างเชื้ออสุจิ และต่อมลูกหมากมีหน้าที่สร้างน้ำหล่อเลี้ยงเชื้ออสุจิ

ผู้ชายเมื่อเริ่มย่างเข้าอายุ 40 ปีต่อมลูกหมากจะโต แต่ส่วนใหญ่จะแสดงอาการหลังจากอายุ 50 ปีไปแล้ว บางคนอาการมาก บางคนอาการน้อย ต่อมลูกหมากจะเริ่มโตจากด้านในและจะกดท่อปัสสาวะทำให้ปัสสาวะลำบาก เมื่อปัสสาวะลำบาก ทำให้ปัสสาวะออกไม่หมด เหลือปัสสาวะบางส่วนในกระเพาะปัสสาวะ เกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ นอกจากนี้การที่ทางเดินปัสสาวะถูกกด อาจจะทำให้กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไม่ดีและอาจจะเกิดไตวายได้หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง


ต่อมลูกหมากโตเกิดขึ้นได้อย่างไร

ต่อมลูกหมากในผู้ชายที่โตเต็มที่จะประมาณเท่ากับลูกเกาลัด เมื่ออายุมากขึ้นเนื้อเยื่อจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นเนื้องอก(ชนิดธรรมดา)โดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดว่าเกิดจากอะไร เมื่อเซลล์แตกตัวมากขึ้นก็ทำให้ขนาดต่อมลูกหมากโตขึ้นเรื่อยๆจนไปกดหรือเบียดท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการปัสสาวะขัดขึ้น

โรคต่อมลูกหมากโตมีอาการอย่างไร

โรคต่อมลูกหมากโตเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมี 2 ระยะ คือ

ระยะแรก จะมีอาการปัสสาวะบ่อย จากที่เคยลุกขึ้นปัสสาวะในตอนกลางคืน 1-2 ครั้ง หรือไม่ลุกเลย จะลุกขึ้นบ่อย 3-4 ครั้งขึ้นไปจนรบกวนการนอนหลับ ในเวลากลางวันก็มีอาการปัสสาวะบ่อยแต่คนไข้จะปรับตัวได้จนไม่รู้สึก

ระยะที่สอง ต่อมาจะรู้สึกว่าปัสสาวะนานกว่าจะออก ต้องเบ่งบางครั้งต้องรอ 1-2 นาทีจึงจะออกและจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ปัสสาวะไม่พุ่ง แทนที่จะพุ่งไปข้างหน้าก็พุ่งน้อยลง พอปัสสาวะเสร็จยังมีหยดออกมาอีก ในที่สุดจะปัสสาวะไม่ออกเลย

คนไข้มักจะมาหาหมอด้วยอาการปัสสาวะไม่ออกเลย ปัสสาวะแน่นท้องต้องใช้วิธีสวนออกให้ และให้การรักษาต่อไป


โรคนี้หากไม่ได้รับการรักษาจะมีภาวะแทรกซ้อนอย่างไร

ในกระเพาะปัสสาวะปกติมีปัสสาวะประมาณ 400-500 มิลลิลิตร ถ้าปัสสาวะไม่หมดมีปัสสาวะค้างอยู่อย่างที่หนึ่งคือ ทำให้เกิดการตกตะกอน และเป็นนิ่วได้ อย่างที่สองคือเกิดการติดเชื้อขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาเลยก็อาจมีผลต่อไต

หมอจะทำอะไรให้เมื่อคนไข้มาหา

ส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องของอาการมากกว่า คนไข้มักมีคุณภาพชีวิตเสีย ต้องปัสสาวะบ่อยๆ ต้องลุกขึ้นบ่อยๆ หน้าที่ของหมอคือทำให้อาการดีขึ้น มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น

ฉะนั้นเวลาที่อาการปัสสาวะไม่ออกอย่าตกใจ ให้มาหาหมอเพื่อหาสาเหตุ เนื่องจากมีบางโรคที่มีอาการคล้ายต่อมลูกหมากโต หลังจากแยกโรคแล้วว่าไม่ใช่โรคอื่น ก็จะดูอาการเป็นหลัก

หากมีอาการน้อยก็แนะนำให้เปลี่ยนพฤติกรรมโดยไม่ต้องใช้ยา

ถ้ามีอาการมากหมอจะให้ยากินเพื่อขยายท่อปัสสาวะ

วิธีสุดท้ายคือผ่าตัด เพื่อขูดต่อมลูกหมาก

ในคนไข้ที่มีอาการน้อยๆ ควรเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างไร

จุดใหญ่คือคนที่อายุมากขึ้นจะมีปัญหาเรื่องปัสสาวะแน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นมากเป็นน้อย วิธีปฏิบัติตัว คือ

1. หลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะ ก่อนนอนอย่าดื่มน้ำมาก และให้ปัสสาวะก่อนเข้านอน เพราะกลางคืนจะได้ไม่ต้องลุกขึ้นบ่อย กลางวันไปไหนก็อย่ากลั้นปัสสาวะ ปวดแล้วก็ควรจะปัสสาวะ เพราะกลั้นแล้วจะทำให้เป็นมากขึ้น

2. งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้ปัสสาวะออกมาเยอะ

3. อย่านั่งจักรยานหรือทำอะไรที่สะเทือนต่อมลูกหมาก เพราะจะทำให้ปัสสาวะไม่ออก

4. ถ้าเป็นไปได้ควรมีการร่วมเพศบ้าง เวลามีน้ำเชื้อออกมาบ้างจะทำให้ต่อมลูกหมากไม่บวม


การผ่าตัดโดยเลเซอร์ดีกว่าการผ่าตัดธรรมดาจริงหรือไม่

สมัยก่อนจะผ่าตัดต่อมลูกหมากและขูดต่อมลูกหมาก ซึ่งเป็นวิธีที่เหมาะสมและปลอดภัย ระยะหลังมีการรักษาเกี่ยวกับการผ่าตัดเพิ่มขึ้น 4-5 วิธี ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายเยอะคนไข้ก็จะเข้าใจผิดว่าเป็นการรักษาที่ดีมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หลักในการรักษา 3 อย่างง่ายๆ คือ แนะนำให้เปลี่ยนพฤติกรรม ถ้าอาการมากขึ้นก็ให้กินยา ถ้ามากขึ้นไปอีกก็ให้ขูดต่อมลูกหมาก

โรคต่อมลูกหมากโตสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่

คำถามนี้ตอบยาก โรคส่วนใหญ่ไม่มีหายขาดนอกจากโรคติดเชื้อบางอย่าง โรคต่อมลูกหมากเป็นโรคเนื้องอกในต่อมลูกหมาก การรักษาโดยผ่าตัดก็ไม่ได้ตัดต่อมลูกหมากเพียงแต่เอาเนื้องอกออก ซึ่งก็เกิดขึ้นใหม่ได้ แต่การเปลี่ยนพฤติกรรมดังที่กล่าวไปแล้ว มีส่วนทำให้อาการดีขึ้น บางส่วนอาจไม่ดีขึ้นแต่ก็ไม่แย่ลง

โรคนี้ป้องกันได้หรือไม่

ขณะนี้ยังไม่ได้ เพราะต่อมลูกหมากโตเกิดจากสาเหตุอะไรไม่รู้ ที่แนะนำคือป้องกัน ไม่ให้อาการแย่ลงแต่วิธีป้องกันไม่ให้เกิดยังไม่มี

สรุป

โรคนี้เป็นโรคที่ไม่ร้ายแรงและรักษาไม่หายขาดแต่มีอาการดีขึ้นได้ หากเปลี่ยนพฤติกรรม คือ อย่ากลั้นปัสสาวะ งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หากมีอาการมากขึ้นก็ควรพบแพทย์เพื่อรักษา ตามขั้นตอน

ที่สำคัญอย่าหลงเชื่อคำโฆษณาที่บอกว่า มียารักษาโรคนี้ได้หายเด็ดขาด หรือวิธีนี้วิธีนั้นดีที่สุด

@ อีกหนึ่งโรคฮิตของ"คนบ้าทำงาน"


แจ้งเตือนภัยมายังเพื่อนที่อยู่ในวัย โอ๊ะ โอ๊ะ 50 +
By: หลานอำมาตย์สีแดง เว็บประชาทอล์ค พฤ, 26/09/2013 - 16:27

หากอยู่ดีๆ เกิดมีอาการดังนี้

1. แขนและขา ข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง เดินเซหรือเดินไม่ได้

2. พูดติดขัด ไม่ชัด พูดไม่ออก

3. มุมปากตกข้างใดข้างหนึ่ง หรือ ปากเบี้ยว

ให้รีบไปโรงพยาบาลโดยด่วน ทันที อย่าให้เกิน 3 ชั่วโมง เพราะเป็นอาการของโรคหลอดเลือดสมองอุดตันชนิดเฉียบพลัน นำไปสู่การเป็นอัมพฤกษ์/อัมพาตได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาได้ทัน

เรื่องนี้เกิดกับตัวผมเองอาทิตย์ที่แล้ว ดีที่คุณพระยังเมตตาเลยรอดมาได้ เดี๋ยวค่ำๆมาต่อครับ ขอไปทำธุระส่วนตัวสัก 2-3 ช.ม.


ผมขอเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนนะครับ

อังคารที่แล้ว หลังจากเสร็จมื้อเย็นเวลาประมาณ 19.45 น. เหมือนทุกๆวันที่เคยทำมา ผมออกไปเดินเล่นนอกตัวบ้าน กะว่าไปสูบบุหรี่ ขณะกำลังเดินๆอยู่ มันมีความรู้สึกว่า

เอ๊ะ ทำไมเราเดินเป๋ๆไปทางซ้าย พยายามฝืนเดินให้ตรงคิดว่าคงนั่งผิดท่าหน้าคอมนานเกินไป

ฝืนได้สักพักมาเข้าห้องน้ำ พอเสร็จธุระจะใส่กางเกง เอาละสิ ขาซ้ายมันยกไม่ค่อยขึ้น ต้องนั่งลง ใช้มือสองข้างจับขากางเกงข้างซ้าย ค่อยๆสอดใส่ขาข้างซ้ายจนสำเร็จ ชักเอะใจกรูเป็นไรว้า

ออกจากห้องน้ำ ค่อยๆเดินมาหาแฟน นั่งอยู่หน้าคอมพร้อมเอ่ยปากถามว่า

"เจี๊ยบ เจี๊ยบ ฟังพี่หลานพูดรู้เรื่อง มั้ย" (แฟนผมชื่อ เจี๊ยบ) แต่..เสียงที่ผมได้ยินกับหูซึ่งออกจากปากผมเอง กลับกลายเป็นว่า "เจ๊ เจ๊ ฟานพี่หานพูกอุ๊เอื้อง อั๊ย" จริงๆครับ ได้ยินหยั่งงี้จริงๆ

เจี๊ยบเค้าค่อยๆเงยหน้าขมวดคิ้วมองมาที่ผม ผมก็ถามประโยคเดิมออกไปและได้ยินเหมือนเดิมอีกครั้ง

เอาละซิ คราวนี้เป็นเรื่อง เจี๊ยบกระโจนผลุงยืนขึ้น พร้อมตะโกนบอกผมให้ไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ แล้วเรียกลูกให้ช่วยขับรถให้

ผมมารู้ทีหลังว่า เจี๊ยบเค้ามีความรู้เรื่องนี้พอควร จึงแก้ปัญหาได้ทัน


มาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน พยาบาลเข็นเตียงมารับพาเข้าข้างใน มีหมอมาตรวจดูอาการเบื้องต้น สักพักใหญ่ๆ อีก็ตะโกนว่า สโตรก ๆ ๆ แล้วให้พยาบาลเข็นเตียงเข้าฉุกเฉินด้านในทันที

มีหมอมาถามย้ำอีกว่า ใช้เวลานานแค่ไหนตั้งแต่เกิดเรื่องจนมาอยู่ในห้องฉุกเฉิน

พวกเราทุกคนยืนยันว่าไม่เกินครึ่ง ช.ม. หมอจึงให้ไปสแกนสมอง เอ็กซเรย์ปอด ตรวจวัดคลื่นหัวใจ

แล้วให้ผมนอนรอร่วมๆ ช.ม. หมอจึงมาบอกว่า สงสัยเส้นเลือดในสมองตีบ หมอขอดูอาการสักระยะโดยหมอจองห้องแล้ว จึงให้ผมนอนอยู่ในโรงพยาบาลอย่างน้อย 72 ช.ม.

หลังจากเข้ารับการอบรมเอ๊ย..ไม่ใช่ รักษาในห้องดูอาการ(อย่างทรมาน)เป็นเวลา 3 วัน อาการผิดปกติต่างๆ ค่อยๆฟื้นตัวดีขึ้นจนเกือบเป็นปกติทุกอย่าง ไม่มีอาการกำเริบ อีทีนี้ หมอก็สั่งให้กลับบ้านในวันรุ่งขึ้นทันที

รวม 3 วัน VIP รพ.รัฐ ค่าลงทะเบียนอบรมเกือบ 20k หย่อนไปไม่กี่สิบบาทครับ

ขอบ่นนิดนึง ที่ผมใช้คำว่าอบรมก็น่าจะถูกต้องนะ ตลอด 3 วันที่นอนอยู่มีหมอจากแผนกต่างๆ เข้ามาตรวจ(สอบถาม)อาการต่างๆ รวมทั้งหมดเกือบๆ 10 คน พยาบาลพร้อมผู้ช่วยอีกผลัดละร่วม 10 คน 3 ผลัด 30 คน เกือบทุกคนใช้คำถามแนวทางเดียวกัน หากรู้ตัวก่อนหน้านี้คงต้องพูดใส่เทปไว้ดังนี้

"ผมกินเหล้า/เบียร์ สูบบุหรี่มาประมาณ 40 ปี เบียร์ปกติ 3-4 ขวด วันหยุด 6-8 ขวด บุหรี่วันละ 6-7 มวน รู้ครับรู้ ว่ามันอาจไม่ดี แต่มีตาแก่แถวบ้านอายุร่วมๆ 80 ปี 2-3 คน ตื่นเช้ามากระดกเหล้าเพียวๆ แล้วยังสูบบุหรี่ทั้งวัน เค้ายังอยู่อย่างปกติดีอยู่เลย" แล้วก็มีเสียงตามมา ฉอด ฉอด ๆ ๆ ๆ ๆ...............

วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556

105 "ลื้อมีร่มมั้ย??..." แค่คำนี้แหละ ที่ทำให้นิสัยผมเปลี่ยนทันที

@ มองโครงการรับจำนำข้าวในสายตาของชาวนาตัวจริง...
@ Obama' ประเด็นที่สื่อไทยเมิน & อัลบั้มโอบามาเยือนไทย 18พ.ย.55
@ ปลื้มปีตี"ในหลวง"เสด็จออก ณ สีหบัญชร เปล่งเสียง"ทรงพระเจริญ"กึกก้อง
@ ฮู้ยยยย...สติแตกกันไปหมดแย้วทั้งคนเล่นและกองเชียร์แนวร่วม
@ ผมไม่ได้แหล!!! แต่เรื่องดีๆอย่างนี้..clickดูเองเหอะ
@ ความเป็นมาของ คดีสะเทือนโลก "ที่ดินรัชดา" ที่ทุกๆคนควรรู้!!!
@ เปิดใจ "พงศพัศ พงษ์เจริญ" ว่าที่ผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร (ย่อมรับคนนี้เก่งจริง)
@ ที่ปรึกษาอัคคีภัยเซ็นทรัลฯ ยันจำเลยคดีเผาเซ็นทรัลเวิลด์ ไม่สามารถวางเพลิงได้
@ หึหึ ปวดตับละทีนี้ จะรุกเขมิบม้า เจอสวนรุกฆาต โบราณว่า..เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ!!
@ โถ..โถ..โถ..น่าสมเพชเวทนา เอา"ข้าวนึ่ง"จากไหนไม่รู้ จัดฉากใส่ร้ายเขาเป็นตุเป็นตะ หวัง"ตีกิน"ตามสันดาน!!
@ สาระน่ารู้... เขาซื้อทองคำ ขายทองคำ กันอย่างไร?????
@ พี่สาวผมเคยถามผมว่า ทำไมผมจึงฝักใฝ่อยู่กับคุณทักษิณ?????
@ เฮ้อ!! ณ นาทีนี้..บอกได้คำเดียว เสียดาย..เสียดายครับ...นโยบายดีๆที่คน กทม. ไม่เอ๊า..ไม่เอา...
@ ทำความเข้าใจก่อนวิจารณ์ "การลงทุน 2 ล้านล้าน" กับ รัฐมนตรีชัชชาติ สิทธิ์พันธุ์
@ หนีก็ตาย สู้ก็ตาย สู้เถอะ ยังมีศักดิ์ศรี ยังมีโอกาสรอด!!!
@ เขียนให้อ่าน..จากใจ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร
@ ทิ้งหนี้ไว้ให้ลูกหลาน โดย ดร.วีรพงษ์ รามางกูร
@ คุณเชื่อใคร.. ระหว่าง กนก ส.ส.ปชป. กับ หัวหน้าวินมอเตอร์ไซค์
@ อะไรคือ มรดกอสูร!!! ใครคือ ทายาทอสูร!!! ดร.โกร่งมีคำตอบ
@ ผงซักฟอกยี่ห้อใหม่ตราตาชั่งเอียงสีฟ้า
@ เป็นเพราะว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเหล่านี้ไม่มีสำนึกในการรักษาความยุติธรรม..และยังทำลายความยุติธรรมด้วยมือของตนเองอีกด้วย...
@ คำแปล ปาฐกถาพิเศษ ปชต."นายกฯยิ่งลักษณ์"ที่มองโกเลีย
@ จดหมายเปิดผนึก.. ส.ส.และ ส.ว.312 คน คัดค้านและไม่ยอมรับการใช้อำนาจที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญของศาลรัฐธรรมนูญ

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ New!! แจกปฏิทินนายกฯปู พ.ศ.2556 คลิกที่นี่...

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น


"ลื้อมีร่มมั้ย??..." แค่คำนี้แหละ ที่ทำให้นิสัยผมเปลี่ยนทันที
By: NoName ปูลู: บทความนี้..ไม่ทราบผู้เขียนหรือผู้ประพันธ์ เพราะส่งมาทาง ForwardMail

เมื่อก่อน...ผมเป็นคนที่จริงจังกับความรักมาก ทุ่มเทกับแฟนสุดๆ แบบไม่กลัวตัวเองเหนื่อย ยอมประหยัดเงินสารพัด ทำงานพิเศษ ได้เงินมาเลี้ยงแฟน อะไรอย่างนั้น ฟังๆดู ก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไปนะครับ

ด้วยความที่รักแฟนมาก...แน่นอน เราย่อมมีเวลาให้แฟนอย่างที่สุด จนลืมนึกถึง...คนที่รักเราและดูแลเรามาตลอดทั้งชีวิต อย่าง "ป๊าและม้า"

หลายๆครั้งท่านทั้งสองก็ห่วงเรา คอยเตือนเรา เพราะกลับบ้านดึกมาก กับข้าวที่ม้าทำไว้ให้ บางทีก็ไม่ได้กิน เพราะไปกินกับแฟนแล้ว!!

วันเสาร์อาทิตย์ ก็ไปหาแฟน เก็บเงินไว้ซื้อของให้แฟน หายใจเข้าออกเป็นสาวคนนั้นเลยทีเดียว เวลามีให้แฟนมากกว่าที่มีให้ตัวเองและป๊าม้า

หลายๆครั้ง ป๊าม้าคอยเตือน เพราะท่านห่วงเรา กลัวเหนื่อย กลัวพักผ่อนไม่พอ แต่เราก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ มีปากเสียงกับท่าน ทำให้ท่านเสียใจไปก็คงไม่น้อยหล่ะ (รู้สึกผิดจริงๆ)

ทีนี้ แน่นอนว่า ความรักของผม มันไม่ได้ยืนยาวหรอกครับ... และแล้วมันก็มาถึงจุดสิ้นสุดของความรัก แต่ก็เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตด้วยเหมือนกัน... ช่วงใกล้ๆเลิกกับแฟน เพราะแฟนคนนี้ มีหนุ่มมาจีบใหม่...ซึ่งแน่นอน ดีกว่าผมทุกอย่าง... แฟนเริ่มเปลี่ยนไป หงุดหงิดเราง่ายขึ้น ไม่คุยเหมือนเดิม ไม่ได้เที่ยวกันเหมือนเดิม แล้วยังไงดีหล่ะ เราก็เสียใจ หงุดหงิดเหมือนกัน อารมณ์แปรปรวน บางครั้งถึงกับ ว้ากที่บ้านไปบ้างก็มี เวลาคนที่บ้าน ป๊าม้า พี่น้องเตือนเรา ก็คนมันหงุดหงิดอ่ะนะ ทำไงได้...


แล้ววันที่ทำให้ผมคิดได้ก็มาถึง...

วันนั้นระหว่างที่ผมนั่งรถเมล์กลับบ้าน ฝนตกหนักมาก...ก็คิดถึงแฟน (ที่กำลังจะเลิกกัน) ก็เลยโทรหา นี่คือบทสนทนาคร่าวๆ...

ผม: อยู่ไหนครับ ทำอะไรอยู่ ฝนตกหนักหรือเปล่าตรงนั้น

แฟน: กำลังกลับบ้าน ตก มีอะไรก็รีบๆพูด

ผม: มีร่มมั้ย

แฟน: ไม่มี

ผม: แล้วทำยังไง เดี๋ยวตากฝน ไม่สบายนะ

แฟน: ไม่เป็นไร จัดการเองได้ โตแล้ว

ผม: แล้วกินอะไรหรือยัง

แฟน: ยัง ยังไม่หิว

ผม: กลับบ้านดีๆนะ ถ้าฝนตกหนัก หาที่หลบก่อน รอฝนซาแล้วค่อยกลับ ดูแลตัวเองด้วย เป็นห่วง

แฟน: (เริ่มหงุดหงิด) อืม รู้แล้ว ไม่มีอะไรใช่มั้ย แค่นี้นะ!! ..... แล้วก็วางหูไป

ผมยังอยู่บนรถเมล์นะครับ หลังจากวางหูไป ผมเสียใจมาก เพราะว่าเราหวังดี ไม่คิดว่าจะทำให้รำคาญ...

และแล้ว จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดก็มาแล้ว เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งครับ...

ผม: ฮัลโหล

ป๊า: (เรียกชื่อผม) ลื้ออยู่ไหนเนี่ย

ผม: อยู่บนรถเมล์ ป๊ามีอะไร กำลังกลับบ้าน

ป๊า: กินข้าวหรือยัง

ผม: ยังอ่ะ

ป๊า: เออๆ ที่บ้านอาม้าทำกับข้าวไว้แล้ว มี (บอกชื่อกับข้าว)

ผม: อืม

ป๊า: แถวบ้านฝนตกหนักนะ ลื้อเอาร่มไปหรือเปล่าเนี่ย

ผม: ไม่มีอ่ะ ไม่ได้เอามา

ป๊า: อ้าว แล้วเดี๋ยวลงรถ จะทำไง จะตากฝนกลับบ้านเหรอ (จากป้ายรถเมล์ ผมต้องเดินอีกไกลกว่าจะถึงบ้าน)


ผม: อืมๆ ไม่เป็นไร เดี๋ยวลุยกลับบ้านไป แป๊ปเดียว ไม่เป็นไรหรอก

ป๊า: เออๆ เอางี้ ลื้อลงรถแล้วโทรหาป๊า เดี๋ยวป๊าเอาร่มไปรับ

ผม: ไม่เป็นไรป๊า เดี๋ยวเค้ากลับเอง (ผมใช้แทนตัวเองว่า "เค้า" กับป๊าและม้ามาตั้งแต่เด็กๆครับ)

ป๊า: เออๆ ลงรถแล้วโทรมาละกัน แค่นี้แหละ ... วางหู

สังเกตอะไรมั้ยครับ... บทสนทนาระหว่างผมกับแฟน แทบจะเหมือนกับที่ป๊าพูดกับผมเลย... นั่นล่ะครับจุดเปลี่ยน...

ในขณะที่เราห่วงแฟน..รัก และพยายามดูแลทุกอย่าง... จะโดนด่าให้เจ็บช้ำน้ำใจขนาดไหนก็ทนเหลือเกิน แต่สุดท้ายแล้วเค้าเห็นค่าของเราหรือเปล่าก็ไม่รู้???

แต่มีชายหญิงคู่หนึ่ง รักเรามากกกกกก มากจริงๆ ก็พ่อแม่เรานี่แหละ...รักเรามาก ไม่เคยหวังผลตอบแทน ห่วงเราได้ทุกสถานการณ์ ต่อให้เราเคยหงุดหงิด มีปากเสียงกับท่าน ถามว่าท่านโกรธไม๊...(แน่นอน) ก็คงมีบ้าง แต่สุดท้ายความโกรธนั้นก็หายไป กลายมาเป็นความห่วงใยทุกครั้ง และท่านก็ยังรัก หวังดี แล้วก็ห่วงเราเหมือนเดิม...

แต่แปลก!!... ทำไมเราต้องไปสนคนอื่น แคร์คนอื่น ไปเสียใจเพราะคนอื่นไม่รัก ร้องไห้ฟูมฟายตอนเลิกกับแฟน เราเสียใจให้กับคนที่เรารัก แล้วเค้าไม่รักเรา... แล้วรู้มั้ยว่า??

คนที่รักเราที่สุดในโลก พ่อแม่เรา เค้าเสียใจมากขนาดไหน ที่เห็นเราเสียใจ เห็นเราเป็นทุกข์ เราเคยคิดอย่างนี้กันบ้างหรือเปล่า??

กับแฟน เราซื้อของให้...มีเวลาให้ ดูแลเทคแคร์สารพัด!!

แต่กับคนที่รักเราที่สุดในโลก เราเคยซื้อของดีๆให้ท่านบ้างมั้ย??

เคยพาท่านไปเที่ยว ไปไหว้พระ ไปทานข้าวนอกบ้าน

หรือ...เคยดูแลท่านเหมือนที่ทำกับแฟนมั้ย??

มันไม่ใช่เรื่องผิด...ถ้าเราจะดูแลแฟนให้ดี แต่จงอย่าลืมว่า... ใครคือคนที่เราเห็นหน้ามาตั้งแต่ลืมตาดูโลกครั้งแรกและมอบความรักให้กับเราตั้งแต่วันที่อยู่ในท้องจนกระทั่งวันนี้...

นี่ล่ะครับ ความคิดที่ออกมาทั้งหมด... หลังจากแค่ป๊าถามว่า... "แล้วลื้อมีร่มมั้ย?"

ตั้งแต่วันนั้น ผมสัญญากับตัวเองว่าให้ผมดูแลแฟนดีขนาดไหน แต่กับ "ป๊า ม้า" ต้องดีมากกว่าเสมอ!!!

ผมพา ป๊า ม้า ไปทานข้าวนอกบ้าน พาท่านไปเที่ยว ไปทำบุญที่วัดบ่อยเท่าที่มีโอกาส... ผมซื้อของขวัญเล็กๆน้อยๆให้ป๊ากับม้า ทุกครั้งที่มีโอกาส...ไม่ว่าจะเป็นของจากในหรือต่างประเทศ ถึงแม้บางที จะทำเป็นบ่นว่าซื้อมาทำไม แพงเปลืองตังค์ แต่..แหนะ อย่ามาแอ๊บ เห็นนะว่าแอบยิ้ม...

แน่นอนครับ วันนี้ผมมีความสุขมาก มากจริงครับ... เพราะว่า ผมได้ตอบแทนความรักที่คนสองคน ที่รักผมมากที่สุด และผมก็รักเค้าทั้งสองคนมากที่สุด ให้มีความสุข

ถึงแม้ว่าวันนี้...ผมจะเหลือ "ม้า" แค่คนเดียว แต่ผมว่าถ้า "ป๊า" เห็น ก็คงภูมิใจที่ผมดูแล "คนที่ ป๊ารัก" ได้เป็นอย่างดีครับ

ขอขอบคุณทุกคน...ที่อดทนอ่านจนจบ หวังว่าคงช่วยทำให้หลายๆคน หันมารักพ่อแม่มากขึ้นนะครับ


วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

104 มือหยาบกร้านคู่นั้น มีแต่เส้นเอ็นปูดโปน...ทำให้ผมนึกถึงมือของผู้หญิงคนหนึ่ง...

@ มองโครงการรับจำนำข้าวในสายตาของชาวนาตัวจริง...
@ Obama' ประเด็นที่สื่อไทยเมิน & อัลบั้มโอบามาเยือนไทย 18พ.ย.55
@ ปลื้มปีตี"ในหลวง"เสด็จออก ณ สีหบัญชร เปล่งเสียง"ทรงพระเจริญ"กึกก้อง
@ ฮู้ยยยย...สติแตกกันไปหมดแย้วทั้งคนเล่นและกองเชียร์แนวร่วม
@ ผมไม่ได้แหล!!! แต่เรื่องดีๆอย่างนี้..clickดูเองเหอะ
@ ความเป็นมาของ คดีสะเทือนโลก "ที่ดินรัชดา" ที่ทุกๆคนควรรู้!!!
@ เปิดใจ "พงศพัศ พงษ์เจริญ" ว่าที่ผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร (ย่อมรับคนนี้เก่งจริง)
@ ที่ปรึกษาอัคคีภัยเซ็นทรัลฯ ยันจำเลยคดีเผาเซ็นทรัลเวิลด์ ไม่สามารถวางเพลิงได้
@ หึหึ ปวดตับละทีนี้ จะรุกเขมิบม้า เจอสวนรุกฆาต โบราณว่า..เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ!!
@ โถ..โถ..โถ..น่าสมเพชเวทนา เอา"ข้าวนึ่ง"จากไหนไม่รู้ จัดฉากใส่ร้ายเขาเป็นตุเป็นตะ หวัง"ตีกิน"ตามสันดาน!!
@ สาระน่ารู้... เขาซื้อทองคำ ขายทองคำ กันอย่างไร?????
@ พี่สาวผมเคยถามผมว่า ทำไมผมจึงฝักใฝ่อยู่กับคุณทักษิณ?????

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ New!! แจกปฏิทินนายกฯปู พ.ศ.2556 คลิกที่นี่...


มือของแม่...
By: NoName

ปูลู: บทความนี้..ไม่ทราบผู้เขียนหรือผู้ประพันธ์ เพราะส่งมาทาง ForwardMail


ภาพหญิงชรา ที่เดินหาบขนมขายอยู่ริมถนน ทำให้ผมหยุดชะงักอยู่ชั่วขณะ แม้ว่าแกจะเดินจากไปแล้ว แต่ภาพหญิงแก่ที่ยกมือขึ้นปาดเหงื่อ เดินฝ่าเปลวแดดออกไปนั้น ยังคงติดตรึงอยู่ในสายตาของผม จนยากที่จะสลัดออก


มือหยาบกร้านที่มีแต่เส้นเอ็นปูดโปนของหญิงแก่ ทำให้ผมนึกถึงมือของผู้หญิงคนหนึ่ง... ผู้หญิงซึ่งทำทุกอย่างเพื่อลูกน้อยของตนได้โดยไม่หวังอะไร นอกจากรอยยิ้มของลูก ...ผู้หญิงคนนั้น..คือ แม่ของผมเอง

แม่เป็นแม่ค้า ที่หาบขนมขายอยู่ข้างถนน วันไหน ขายดี ก็มีเงิน พอจับจ่ายตามอัตภาพ หากวันไหน ขายไม่ได้ ก็ต้องใช้เงินอย่างกระเบียดกระเสียร แต่แม่ก็ไม่เคยยอมให้ผมรู้จักกับความหิวโหย อะไรที่อยากกิน แม่มักหามาให้ผมเสมอไม่ว่าของสิ่งนั้นมันจะทำให้แม่ต้องอดสักกี่มื้อก็ตาม เวลาที่ผมนั่งกินขนมอย่างเอร็ดอร่อย แม่มักจะมองดูเงียบๆ ริมฝีปากของแม่ปรากฏรอยยิ้มน้อยๆอย่างมีความสุข

ตอนนั้น ผมไม่เคยสนใจเลยว่าขนมชิ้นเล็กๆราคาแพงที่แม่หามาให้นั้น ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อของแม่กี่หยด ไม่เคยนึกสงสัยด้วยซ้ำว่า หลังจากที่ผมกินขนมจนอิ่ม จะมีอะไรเหลือตกถึงท้องแม่ไหม? ผมรู้เพียงอย่างเดียวคือ แม่เป็นหญิงแก่ที่หาบขนมขาย...

ยามใดที่มโนธรรมมาย้ำเตือนให้ผม คิดถึงความเหน็ดเหนื่อยของแม่ สัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอด ก็มักจะหลบเลี่ยงความรู้สึกผิดในใจด้วยการบอกว่า ในเมื่อแม่เกิดผมมามันก็เป็นหน้าที่ของแม่ที่ต้องหาบขนมขายเพื่อหาเลี้ยงผม ถ้าไม่มีอะไรกินขนมที่เหลือจากการขายมันก็ช่วยให้แม่อิ่มได้นี่นา

ยามใด ที่มือนั้นยื่นมาจับต้องดึงผมไปกอดไว้แนบอก ยามนั้น ผมก็มักจะเบี่ยงตัวหนีด้วยความรู้สึกขยะแขยง แม้ไม่เอื้อนเอ่ยออกมาเป็นวาจา แต่แววตาที่ผมแสดงออกมันก็บอกถึงความรู้สึกภายในอย่างโจ่งแจ้ง แววตาที่ทำให้แม่ชะงัก

แม่มองหน้าผมอย่างเข้าใจ แล้วก็มีท่าทีงกๆเงิ่นๆ อย่างคนรู้สึกผิด แม่ไม่พูดอะไรสักคำ มือหยาบกร้านนั้นกำแน่นค่อยๆ ตกอยู่ข้างลำตัว ไหล่ของแม่ลู่ลง... หลังจากวันนั้น มือของแม่ไม่กล้าที่จะเอื้อมมากอดผมอีกเลย... ตอนนั้น ผมรู้สึกสบายใจนะที่ไม่ต้องสัมผัสกับมือที่หยาบกระด้างที่น่ารังเกียจนั่น...

แต่เมื่อ เวลาผ่านไป ผมกลับเกิดความรู้สึกที่ต่างจากเดิม... จริงๆแล้ว สิ่งที่น่ารังเกียจ ไม่ใช้มือหยาบกร้านของแม่หรอก มือที่เนียนสวยราวกับลูกผู้ดีของผมต่างหากที่น่าขยะแขยง ขณะที่มือแม่กร้านเพราะกรำงานหนักเพื่อเลี้ยงผม แต่มือที่อ่อนนุ่มของผมไม่เคยทำประโยชน์เพื่อใครเลยนอกจากตัวเอง

น่าขันนะ เมื่อผมเติบใหญ่ และประสบความสำเร็จในชีวิต หลายครั้งหลายคราที่มีโอกาสจับต้องมือของผู้หญิงมากหน้า มือที่ นิ่ม หอมกรุ่น กับเล็บเคลือบสีสดและเรียวปากนุ่มสวยช่างฉอเลาะนั้นไม่ได้ทำให้ผมโหยหาเลยสักนิด แต่สิ่งที่ผมร่ำร้อง กลับเป็นมือที่หยาบกระด้างของผู้หญิงเพียงคนเดียว...ผู้หญิงที่หาบคอนกระจาดเดินเร่ขายขนมอยู่ข้างถนนเพื่อเลี้ยงลูกชาย...ผู้หญิงที่ไม่ค่อยพูด ที่มักใช้สายตาเฝ้ามองผมอยู่เงียบๆ สายตาที่สื่อความรู้สึกของแม่คนหนึ่งซึ่งมีต่อลูก สายตาอ่อนโยนคู่นั้นเหมือนกับจะบอกผมเสมอว่า ผมคือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของแม่...

อาจจะเป็นเพราะพ่อจากไปอยู่กับผู้หญิงคนอื่นตั้งแต่ผมยังเล็กก็ได้ ทำให้แม่พยามทำทุกอย่างเพื่อชดเชยความเป็นลูกไม่มีพ่อให้ผม เท่าที่แม่ค้าหาบขนมขายอย่างแม่จะทำได้ แม่คงกลัวว่าผมจะกลายเป็นเด็กมีปัญหาเพราะขาดพ่อล่ะมั้ง แต่แม่ไม่เคยรู้หรอกว่า ในสายตาของผม...ผู้ชายที่ทำให้ผมเกิดมาไม่ได้มีความสำคัญกับผมเลยสักนิด... ผมเกลียดผู้ชายคนนั้น..ตาแก่ที่กินเหล้าจนเมา เอะอะ โวยวาย ทำร้ายแม่ผม หลายครั้งที่ผมเห็นพ่อใช้คำพูดถากถาง ระราน อาละวาดใส่แม่ แต่แม่ผู้น่าสมเพชของผมก็ไม่เคยลุกขึ้นมาต่อต้านเลยสักนิด

แม่มักยอมพ่อเสมอ... ยอมถูกซ้อมเป็นกระสอบทราย แล้วก็แอบไปนั่งร้องไห้คนเดียวเงียบๆ ยอมทำงานหนักเดินขายของวันละหลายๆกิโลเพื่อเอาเงินมาเลี้ยงครอบครัว... ส่วนเงินเดือนของพ่อน่ะหรือ? มันจมลงในขวดเหล้าหมดแล้ว สภาพของแม่ที่ผมเห็น ทำให้ผมได้แต่นึกในใจว่า ถ้าผมแต่งงาน ผมจะหา เมีย อย่างแม่

แต่ถ้าผมเป็นผู้หญิง ผมจะไม่ยอมมีชีวิตที่น่าเวทนาแบบแม่ เด็ดขาด!! ผู้หญิงที่ยอมเป็นกระโถนรองรับอารมณ์ของผู้ชาย ผู้หญิงที่ยอมให้สามีโขกสับอย่างกับทาสในเรือนเบี้ย ยอมทำงานบ้านจนดึกจนดื่น ยอมตื่นแต่เช้ามาทำขนมขายเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ยอมแม้กระทั่งให้ผู้หญิงอื่นมาแย่งผัวตัวเองไปต่อหน้าต่อตา แม่ยอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้น โดยไม่เคยคิดจะต่อสู้เรียกร้องสิทธิอะไรเลย

แม่มีปากเสียงกับพ่อเพียงครั้งเดียว ตอนที่พ่อจะเอาผมไปอยู่ด้วย ตอนนั้นผมเห็นแม่สู้ยิบตาราวกับหมาจนตรอกเลยทีเดียว พ่อยอมให้ผมอยู่กับแม่อย่างไม่คิดจะยื้อแย่ง "น้ำหน้าอย่างเธอ จะเลี้ยงลูกได้สักแค่ไหนกันเชียว อีกหน่อยลูกมันคงต้องหาบขนมขายทั้งชาติ เหมือนเธอนั่นแหล่ะ" นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่แม่และผมได้ยินจากปากของพ่อ มันเป็นคำพูดที่ทำให้แม่ฮึดสู้ แม่ทำงานหนักตัวเป็นเกลียวเพื่อหาเงินส่งผมเรียนสูงๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้ทำให้แม่ผิดหวังเลย การเรียนของผมอยู่ในขั้นดีเยี่ยมจนได้รางวัลจากทางโรงเรียนเสมอ เปล่าหรอกนะ ผมไม่ได้ตั้งใจเรียนเพื่อแม่หรอก ตลอดเวลาผมไม่ได้คิดที่จะทำอะไรเพื่อแม่เลยสักครั้ง แต่ที่ผมตั้งใจเรียน ก็เพราะรู้ว่า...การศึกษาเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ผมหลุดพ้นจากบ้านในสลัมโทรมๆแห่งนี้ต่างหาก

ความทะเยอทะยานในอดีตเป็นแรงผลักดัน ที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จในชีวิต โดยมีโอกาสดีๆที่โชคชะตาหยิบยื่นให้เป็นตัวช่วยสนับสนุน สิ่งเหล่านี้ ทำให้ผมหลงระเริงอยู่นานทีเดียว มันทำให้ผมหยิ่งผยอง คิดว่าตัวเองนั้นเก่งกล้าสามารถก้าวจากจุดศูนย์ขึ้นมายืนผงาดอยู่ได้ด้วยขาตัวเอง ทั้งๆที่ ความจริงแล้ว ความสำเร็จของปริญญาระดับด็อกเตอร์ ที่แปะข้างฝาบ้านของผมนั้นมีแม่อยู่เบื้องหลังเสมอแม่ผู้จบ ป.4...

ขาของผมยืนผงาดอยู่ได้ ด้วยการเหยียบบ่าของแม่โดยแท้ และผมก็ไม่เคยสนใจเลยสักนิดว่า บ่าที่เหยียบเป็นฐานนั้นจะชอกช้ำเพียงใด เพราะเจ้าของบ่า ไม่เคยปริปากบอกผมเลย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไร แม่ก็ยังคงเป็นคนพูดน้อยทำมากเสมอ แม่เป็นผู้ฟังที่ดีมาตั้งแต่ผมยังเด็กแล้ว ทุกครั้งที่ผมมีความกังวล แม่จะคอยรับฟังเสมอ เวลาที่ผมระบายสิ่งที่อัดอั้นตันใจ หลายครั้งที่แม่ฟัง จำนวนเงินที่เด็กชายเอ่ยขอ ยามต้องการจะซื้อของต่างๆ เพื่อให้มีเหมือนลูกคนอื่น แม่ไม่เคยแย้ง นิ่ง...ฟัง... หลังจากวันนั้น แม่ขายของจนค่ำมืดกว่าปกติอยู่หลายวัน และวันหนึ่งแม่ก็ยื่นเงินให้ผมเพื่อไปซื้อของที่อยากได้

ยามที่ผมรับเงินจากมือของแม่ ผมรู้สึกว่ามือของแม่หยาบกร้านกว่าเคย... แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนักหรอก เพราะถึงมือมือนี้จะต้องหยาบกร้านเพิ่มขึ้นสักแค่ไหน มันก็ยังคงหยิบยื่นความสะดวกสบายให้ผมได้เหมือนเดิม และมันก็เป็นเช่นนี้เสมอมา ไม่ว่ายามที่ผม สุข หรือ ทุกข์ มือของแม่จะอยู่เคียงข้าง คอยช่วยประคับประคองผมเสมอตราบชั่วชีวิตของแม่

จนกระทั่ง วันนี้...หลายสิ่งในชีวิตของผมเปลี่ยนไป... ผมมีชื่อเสียง มีเกียรติยศ มีคนนับหน้าถือตา มีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันงาม มีเงินทอง มีมือนุ่มนิ่มของผู้หญิงสวยๆ คอยคลอเคลีย ทุกสิ่งที่ผมเคยต้องการล้วนมากองอยู่แทบเท้าของผม

แต่สิ่งที่ผมอยากได้มากที่สุดกลับขาดหายไป ณ วันนี้ ข้างกายของผม ไม่มีมือของแม่...


หากพรุ่งนี้ไม่มี...แม่?
By: พระมหาประดิษฐ์ จิตฺตสํวโร

วันนี้ลูกๆหลายคนอาจจะกำลังอยู่กับพ่อกับแม่ในครอบครัวที่แสนสุข ในอ้อมกอดที่อบอุ่นของแม่ ในการเลี้ยงดูเอาใจใส่เป็นอย่างดีจากแม่ อยากได้อะไรมีแม่คอยจัดหาให้ อยากกินอะไรมีแม่คอยหามาให้กิน อยากเที่ยวที่ไหนแม่ก็พาไปเที่ยว อยากเรียนอะไรแม่ก็ส่งเสียให้เรียน อยากทำอะไรแม่ก็คอยส่งเสริมสนับสนุนให้ทำอยู่ตลอดมา ลูกๆหลายคนได้รับความสุข สะดวก สบาย สมบูรณ์พูนสุขในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบาย เงินทองที่ใช้จ่ายได้ตามใจปรารถนา พร้อมทั้งการศึกษาที่ดีในสถาบันที่มีชื่อเสียง ความสมบูรณ์ ความสุขสบายที่ลูกได้รับอย่างสุขเกษมเปรมปรีดิ์ทุกวันนี้ได้มาจากใคร..................?

วันนี้ยังมีลูกๆหลายคนไม่ได้อยู่กับพ่อกับแม่ในครอบครัวที่อบอุ่น ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า เป็นเด็กเร่ร่อน เป็นเด็กจรจัด นอนตามป้ายรถเมล์ เร่ขอทานเก็บเศษอาหารประทังชีวิตไปวันๆ ต้องทนทุกข์ทรมาน เดียวดายไร้ความอบอุ่นหว้าเหว่ห่อเหี่ยวในหัวใจขาดที่พึ่งพาอาศัยต้องตะเกียกตะกายต่อสู้ในโลกที่โหดร้ายมีแต่แก่งแย่งแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น เล่นพรรคเล่นพวก คิดเอาแต่ประโยชน์ส่วนตัว เพื่อให้มีชีวิตอยู่ไปวันๆ

หากพรุ่งนี้ไม่มี...แม่?

โบราณว่า "ขาดพ่อเหมือนถ่อหัก ขาดแม่เหมือนแพแตก" ชีวิตของลูกคงกระจัดกระจายไร้ทิศทาง ไร้อนาคต ไร้การศึกษา กลายเป็นเด็กมีปัญหา เป็นภาระของสังคม คงต้องทุกข์ทรมานอย่างหาประมาณมิได้ หากเปรียบชีวิตเหมือนการข้ามฝั่งในแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกราก เต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน ซึ่งต้องอาศัยแพและไม้ถ่อข้ามฝั่ง เพื่อไปสู่เป้าหมายอย่างปลอดภัย หากเปรียบไปก็เหมือนพ่อกับแม่ ไม้ถ่อเปรียบเสมือนพ่อ แพเปรียบเสมือนแม่ ถ้าไม้ถ่อหักก็ยังสามารถใช้มือหรือเท้าพายแทน แต่ก็ต้องทุลักทุเลพอควร มีโอกาสถึงฝั่ง 50-50 แต่หากแพต้องแตกหรืออับปางกลางแม่น้ำ โอกาสที่จะถึงฝั่งก็คงลางเลือนและริบหรี่เต็มประดา อาจต้องจมน้ำตาย หรือเป็นอาหารของสัตว์ร้ายได้

เปลวเทียนละลายแท่ง เพื่อเปล่งเสียงอันอำไพ ชีวิตมะลายไป เหลือสิ่งใดไว้ทดแทน

หากเปรียบเทียนที่จุดขึ้นเหมือนกับชีวิตแม่ของเรา เทียนเล่มนี้มันส่องแสงให้มากเท่าใด ลำเทียนเองก็จะสั้นลงๆ คล้ายดังชีวิตแม่ที่ให้ลูกมากแค่ไหน อายุของแม่ก็จะสั้นลงๆ อายุที่ได้มาก็คือเวลาที่เสียไป ยิ่งลูกมีความเจริญรุ่งโรจน์มากขึ้นเท่าใด ชีวิตแม่ก็ยิ่งแก่ลงและหดหายลงไปเท่านั้น บางครั้งเทียนมันก็ลุกโชติช่วงชัชวาล บางครั้งก็ริบหรี่หรือไม่ก็ดับ แล้วน้ำตาเทียนก็ไหลหยดย้อยเหมือนหยาดน้ำตาของผู้เป็นแม่ของเรา ในที่สุดเทียนที่จุดขึ้นก็จะเหลือเพียงไส้ดำๆ วาระสุดท้ายของแม่เราก็จะเป็นอย่างนี้ แม่จะเหลือเพียงกระดูกที่เป็นเถ้าถ่าน ให้ลูกน้อยไปรับที่เชิงตะกอน

หากพรุ่งนี้ไม่มี...แม่?

แม่ผู้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่ลูก แม่ผู้ยอมอด เพื่อให้ลูกอิ่ม แม่ผู้ที่ยอมทุกข์เพื่อให้ลูกสุข แม่ผู้ที่ยอมลำบากเพื่อให้ลูกสบาย แม่ผู้ที่ยอมตายเพื่อให้ลูกมีชีวิตอยู่

แม่ผู้ที่รักเป็นห่วงเป็นใยและเฝ้าถามลูกอยู่เสมอ เหนื่อยไหมลูก? หิวไหมลูก? ลูกอยากทานอะไร? ลูกอยากได้อะไรบอกแม่มา...แม่จัดให้? แล้วลูกละ เคยถามแม่บ้างหรือเปล่า?

ลูกบางคน ยามแม่มีชีวิตอยู่ ไม่เคยเลยที่จะรักษาน้ำใจท่าน ไม่เคยเลยที่จะเลี้ยงดูใจท่าน ทำให้ท่านสบายอกสบายใจ ท่านได้เรามาเป็นลูกรู้ไหมท่านดีใจมากขนาดไหน?

ลูกวัวลูกควายซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉาน มีคุณธรรมน้อย เมื่อโตขึ้นเลิกกินนมแม่ วิ่งเล่นไปมาเอาลำตัวถูไถคลอเคลียแม่มันเล่น แล้วก็เดินจากไป เราอาจสรุปว่า ลูกวัวตัวนั้นไม่ดี ไม่มีความกตัญญู สู้ลูกคนไม่ได้

แต่ร้อยทั้งร้อยของเจ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนี้เมื่อมันโตขึ้นและทิ้งแม่ไป มันจะไม่เถียงแม่ ไม่ตวาดแม่ ไม่ตีแม่ ไม่กระทืบเท้าใส่แม่ และที่สำคัญมันจะไม่ขยี้หัวใจแม่ของมัน...

แต่ลูกคนบางคนกลับมีแต่คอยสร้างความทุกข์ใจให้แก่ท่าน มีแม่หลายคนที่ระทมขมขื่นเสียใจเพราะลูก ต้องแอบร้องไห้ประจำ ถึงแม้แม่จะได้รับความทุกข์ทรมานจากลูกเพียงใด แม่ก็ยังรัก แม้บางครั้งมีใครบอกว่า ลูกของแม่ชั่ว ลูกของแม่เลว แม่ก็จะไม่เชื่อ ลูกของฉันไม่เป็นอย่างนั้น ลูกของฉันเป็นคนดี ดีชั่วก็ลูก ผิดถูกก็เลือด จะเฉือนจะเชือดได้อย่างไรกัน

บางคนเอาแต่สนุก เชื่อเพื่อนมากกว่าเชื่อแม่ รักแฟนมากกว่ารักแม่ เคารพเมียมากกว่าเคารพแม่ เลี้ยงเพื่อนฝูงมากกว่าเลี้ยงแม่ โทรหาแฟนมากกว่าโทรหาแม่ คุยกับแฟนทั้งวันทั้งคืน แต่คุยกับแม่แป๊บเดียวตอนขอตังค์ แม่หลายคนช่างโชคร้ายนักเลี้ยงลูกมาตั้งหลายคน แต่ลูกเหล่านั้นไม่สามารถที่จะเลี้ยงพ่อแม่ได้เลย ปล่อยให้แม่ไปอยู่ตามบ้านพักคนชรา สถานสงเคราะห์ผู้สูงอายุ ทิ้งไว้ตามวัดบ้าง ปล่อยแม่ไว้กับหมากับแมว ไม่เคยดูแลไม่เคยสนใจ ขนมซักชิ้นหนึ่ง น้ำสักแก้วหนึ่ง เงินสักบาทไม่เคยเลย ที่จะให้แม่ มีแต่จะเอา ทรัพย์สิน มรดก เงินประกัน บางคนถึงขนาดแช่งให้แม่ตายเร็วๆ เพื่อตัวเองจะได้มรดก

หากพรุ่งนี้ไม่มี...แม่?

ถ้าเย็นนี้คุณแม่ตายไปคุณแม่จะได้อะไร จะได้เพียงแต่ข้าวต้มถ้วยเดียวและน้ำเปล่าครึ่งแก้ว ใส่ถาดเอาไปวางไว้ข้างโลงศพเท่านั้นหรือ แล้วลูกชายลูกหญิงผู้โง่เขลาก็จะไปเคาะข้างโลง พร้อมกับพูดว่า "แม่จ๋าลุกขึ้นมากินข้าวเถอะ... แม่จ๋าลุกขึ้นมากินน้ำเถอะ... แม่จ๋าพระมาแล้วฟังสวดนะแม่นะ..."

แต่ในขณะที่แม่มีชีวิตอยู่ เราจะได้ยินแต่คำว่า "ลูกจ๋าลูกหิวหรือเปล่า?... ลูกต้องการอะไรหรือเปล่า?... ลูกจ๋าลูกไม่สบายหรือเปล่า?..."

จะมีลูกซักกี่คนที่จะถามแม่เช่นนั้น หรือจะรอให้แม่ตายไปซะก่อนแล้วค่อยถามอย่างนั้นหรือ เรารักสิ่งใด เราจะถนอมสิ่งนั้น รักษาสิ่งนั้น แล้วมันจะอยู่กับเรานาน ถ้าเรารักแม่ ต้องถนอมน้ำใจท่าน รักษาใจท่าน ถามท่านต้องการอะไร?... ท่านอยากไปไหน?... ท่านอยากทานอะไร?... ท่านเจ็บตรงไหนปวดที่ใด?... ตอนที่แม่มีชีวิตอยู่ไม่เคยสนใจท่านเลย แต่พอคุณแม่ตายลงนำร่างที่ไร้วิญญาณของแม่ไปใส่โลงทองอย่างดี เอาไปไว้วัดแล้วนิมนต์พระมาสวด 7 วัน 7 คืน หวังว่าดวงวิญญาณของแม่จะไปสู่สุขคติโลกสวรรค์ นี่หรือคือสิ่งที่เรามอบให้แม่

จัดห้องนอนให้แม่ ตอนที่แม่มีชีวิตอยู่แม้ครั้งเดียว ยังดีกว่าจัดงานศพใหญ่โตเมื่อแม่สิ้นชีวิต

มอบดอกไม้สักดอกให้แม่ ตอนมีชีวิตอยู่ มีค่ากว่าพวงหรีดหลายร้อยพวงที่ประดับข้างโลงศพแม่

หาน้ำเย็นๆให้แม่ดื่ม ทำอาหารดีๆให้แม่กิน มีค่ากว่าจัดอาหารอันประณีตไปวางข้างโลงศพท่าน

โทรศัพท์หรือจดหมาย ไปถามไถ่ท่านบ้าง ดีกว่าจัดงานบุญใหญ่โตอุทิศให้ท่าน

ทำความดีมีความกตัญญูต่อแม่ ขณะมีชีวิตอยู่ ประเสริฐกว่าการสำนึกบุญคุณได้เมื่อท่านตายจากแล้ว

หากพรุ่งนี้ไม่มี...แม่?

ใครจะมาดูแลเรา มาสนใจรักเรา มาเป็นห่วงเป็นใยเราเท่ากับคุณพ่อคุณแม่ ไม่มีอีกแล้วในโลกนี้ รักใดไหนเล่าเท่าแม่รัก เป็นรักที่บริสุทธิ์ใจ เป็นรักที่ยิ่งใหญ่ เป็นรักที่แท้จริง

"อันรักใดไหนเล่าเท่ารักลูก... จิตพันผูกสายเลือดสืบเชื่อสาย... เป็นความรักบริสุทธิ์ดุจใจกาย... เป็นเครื่องหมายประจักษ์รักซื่อตรง..."

อ่านบทความนี้จบแล้วเย็นนี้ไปกราบตักท่าน ไปดูดวงตาท่านสิว่าท่านมีความสุขหรือมีความทุกข์ ไม่ต้องอายในการทำความดี มีอะไรช่วยท่านได้ช่วยเลยอย่านิ่งดูดาย ถ้าวันนี้ไม่แสดงความกตัญญูต่อท่าน อาจจะไม่มีโอกาสตอนที่แม่มีชีวิตอยู่ แล้วจะไปอ้อนวอนตอนที่แม่มีแต่ร่างซึ่งไร้วิญญาณแล้วคงไม่มีความหมาย น้ำเย็นๆสักแก้วเอาไปให้ท่านดื่ม เสื้อผ้าดีๆสักชุด เป็นลูกที่ดีสักคน สามารถต่อชีวิตแม่ได้เป็นปีๆ อย่าเอาไปให้ท่านดื่มตอนที่ท่านไม่มีชีวิตแล้ว มันไม่มีประโยชน์อะไร

"ให้ของขวัญแก่แม่นับแต่นี้... ด้วยทำดีต่อพ่อแม่ตอนแก่เฒ่า... ให้ท่านได้ประจักษ์รักของเรา... ดีกว่าเฝ้าทำบุญให้เมื่อวายชนม์..."

อย่าให้ความสำคัญกับแม่ผู้มีพระคุณเฉพาะในวันแม่ 12 สิงหาคม เท่านั้น แต่จงทำทุกวันให้เป็นวันแม่ เหมือนกับความรักที่แม่มีให้ลูกทุกๆวันตั้งเกิดจนตาย หมั่นดูแลรักษาจิตใจของท่านให้ดี เพราะเราสามารถมีแม่ได้เพียงคนเดียวเท่านั้นในโลกนี้

อย่าปล่อยให้หญิงแก่ๆ คนหนึ่งที่รักเรามากที่สุดในโลก ต้องอยู่ในความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาที่โหดร้าย ต้องตรอมใจตายเพราะลูกๆที่เธอรักแต่ไม่รักเธอ...

วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2556

103 เพิ่งเคยเห็นนายกฯคนแรกนี่แหละ ที่สนับสนุนให้เด็กเก่งคณิตศาสตร์

@ เจอของจริงแกล้งเฉไฉ เฮ้อ!! แถแบบนี้...ผมบายดีกว่า กลัวติดเชื้อ"โรคกลัวความจริง"
@ ไม่รีบเค้นออกมาจะเสียใจ...พรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษของเด็กๆ
@ ขอต้อนรับ นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคณะ สู่มหานครนิวยอร์ก คลิกที่นี่...
@ สิ่งที่ควรรู้ ก่อนเรียน Master of Business Administration (MBA)
@ มองโครงการรับจำนำข้าวในสายตาของชาวนาตัวจริง...
@ ภาพชุด..นายกฯปู ร่วมประชุม สุดยอด ACD กรอบความร่วมมือเอเชีย ที่คูเวตซิตี้
@ Obama' ประเด็นที่สื่อไทยเมิน & อัลบั้มโอบามาเยือนไทย 18พ.ย.55
@ แผนชั่วๆ สร้างความรำคาญให้ต่างชาติ เลิกซื้อข้าวไทย!
@ ปลื้มปีตี"ในหลวง"เสด็จออก ณ สีหบัญชร เปล่งเสียง"ทรงพระเจริญ"กึกก้อง
@ 'ประชามติ'เกมวัดใจผู้มีสิทธิ 46 ล้าน ต้องการ รธน.เผด็จการหรือประชาธิปไตย ???
@ อย่า"ฟูมฟาย"ให้เพื่อนๆ"เสียขวัญ" ... อย่า"กดดัน"จนคนทำงานต้อง"เสียกำลังใจ"
@ อ่านบทสัมภาษณ์นี้แล้ว เห็นได้ชัดเลยครับว่า... นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นี่ โง่มาก โง่มากจริงๆ ครับ
@ ภาพชุดพิเศษ...นายกฯปู รณรงค์"ประชามติ"
@ ฮู้ยยยย...สติแตกกันไปหมดแย้วทั้งคนเล่นและกองเชียร์แนวร่วม
@ ผมไม่ได้แหล!!! แต่เรื่องดีๆอย่างนี้..clickดูเองเหอะ
@ ความเป็นมาของ คดีสะเทือนโลก "ที่ดินรัชดา" ที่ทุกๆคนควรรู้!!!
@ เปิดใจ "พงศพัศ พงษ์เจริญ" ว่าที่ผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร (ย่อมรับคนนี้เก่งจริง)
@ ที่ปรึกษาอัคคีภัยเซ็นทรัลฯ ยันจำเลยคดีเผาเซ็นทรัลเวิลด์ ไม่สามารถวางเพลิงได้
@ หึหึ ปวดตับละทีนี้ จะรุกเขมิบม้า เจอสวนรุกฆาต โบราณว่า..เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ!!
@ โถ..โถ..โถ..น่าสมเพชเวทนา เอา"ข้าวนึ่ง"จากไหนไม่รู้ จัดฉากใส่ร้ายเขาเป็นตุเป็นตะ หวัง"ตีกิน"ตามสันดาน!!

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ New!! แจกปฏิทินนายกฯปู พ.ศ.2556 คลิกที่นี่...

เปิดใจ "พงศพัศ พงษ์เจริญ" ว่าที่ผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร (ย่อมรับคนนี้เก่งจริง)
@ เปิดใจ "พงศพัศ พงษ์เจริญ" ว่าที่ผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร (ย่อมรับคนนี้เก่งจริง)

...เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้ ชาวกรุงเทพฯ อยากเห็นผู้สมัครที่มีความรู้ความสามารถ ดูแล้วมีความหวัง สามารถเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯ และชีวิตความเป็นอยู่ให้พวกเขา... พล.ต.อ.พงศพัศ กล่าวว่า ถ้าได้รับเลือกตั้งจะเร่งดำเนินการเรื่องขนส่งมวลชน โดยเฉพาะรถเมล์ไม่ปรับอากาศฟรี ส่วนรถปรับอากาศจะคิดราคา 10 บาทตลอดสาย เรือข้ามฟากเรือคลองแสนแสบให้บริการฟรีหมด ส่วนรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ส่วนป้ายรถเมล์หลายพันจุดก็จะจัดระเบียบใหม่ ไม่ให้วิ่งทับซ้อนกัน จะเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุโดย กทม.จ่ายส่วนต่างที่เพิ่มขึ้น


ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศไทยของนายกฯปู

ฟังแล้วหนาวแทนข้าราชการกับท่านผู้ว่าฯ นะตา..

ตอน1

จะสบายๆสักหน่อย ดันมาเจอนายกฯปูให้การบ้านหนักๆทั้งนั้นล่ะยายเอ้ย..

ตอน2

นายกฯปู เช้า บรรยาย บ่าย work shop.. แน่นอนต้องมีการติดตามผลงานอีก

ตอน3

เฮ้อ.. นี่มัน ทักษิณ2 นี่หว่า


@ ทักษิณแถลงนโยบาย "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ" ที่ศูนย์ธรรมศาสตร์ รังสิต 23เม.ย.54

ฮ่า ฮ่า ฮ่า... ฟังอีหนูปู..มีความสุขจุงเบย..



เรื่องเล่าเกี่ยวกับ นายกฯทักษิณ.. เพิ่งเคยเห็นนายกฯคนแรกนี่แหละ ที่สนับสนุนให้เด็กเก่งคณิตศาสตร์
By: Gretchen เว็บpantip

รู้มั้ย??? ทำไมเราถึงไม่เคยเชื่อพันธมิตรเสื้อเหลืองเลย ว่านายกฯทักษิณขายชาติ

วันนี้อ่านกระทู้ คุณสมบัติของผู้บริหารประเทศ ก็เลยพลอยทำให้นึกถึงเรื่องนี้

เมื่อ 17 ปีที่แล้ว (นานมาก --')

ตอนนั้นเราอยู่ ป.4 โรงเรียนเทศบาลบ้านโนนหนองวัด จ.ขอนแก่น

เรากำลังนั่งเรียนหนังสืออยู่ในห้องเรียน เราไม่รู้เรื่องการเมืองอะไรเลย ^^ เราก็เป็นแค่เด็ก ป.4 ที่ชอบเล่นกับเพื่อนๆในห้อง ตามประสาเด็ก

วันหนึ่ง คุณครูที่กำลังสอนอยู่ ก็บอกพวกเราว่า "วันนี้จะมี ผู้สมัคร สส. มาคุยด้วยนะนักเรียน" ^^

เราก็ไม่รู้เรื่องอะไร เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า สส. คืออะไร --'รู้จักแต่ นายชวนหลีกภัย นายกรัฐมนตรี (ท่องทุกวัน --' มีติดที่บอร์ดหน้าห้องเรียนด้วย)

แล้วสักพัก ก็มีผู้ชายวัยกลางคน เดินเข้ามา

แนะนำตัวเองว่า เขาชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร"

ตอนนั้น ลุงทักษิณ แกพูดอะไรของแกก็ไม่รู้นะ --' (หาเสียงกับเด็ก ป.4)

เราจำไม่ได้เลยว่าลุงทักษิณพูดอะไรบ้าง --' เพราะเราไม่รู้เรื่องการเมือง

แต่ก่อนที่ลุงทักษิณจะจากไป เราจำประโยคสุดท้ายได้ว่า

พรรคของลุงทักษิณ ไม่มีการซื้อเสียง เป็นพรรคที่สุจริตแน่นอน

เสร็จแล้ว ลุงทักษิณ ก็แจกการ์ดแข็งๆ ใบเล็กๆ ให้เด็กๆคนละ 1 ใบ

เลิกเรียนวันนั้น เราถือการ์ดแข็งๆใบนั้นแหละ กลับบ้าน กลับไปบอกแม่ว่า "แม่ๆ กาเบอร์นี้นะ วันนี้มีคนมาหาเสียง เขาบอกว่า พรรคเขาสุจริต ไม่มีการซื้อเสียง"

แล้วเชื่อไหม??? วันเวลาผ่านไปหลายๆปี เราจำชื่อพรรคไม่ได้นะ เราจำเบอร์ไม่ได้ แต่เราจำชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" ได้ เพราะลุงทักษิณ เป็นนักการเมืองคนแรก ที่เราเคยเห็นแบบตัวเป็นๆในชีวิต แล้วก็เป็นนักการเมืองคนแรกที่เราได้ยินเขาพูดกับหูตัวเองว่า เขาเป็นคนซื่อสัตย์ สุจริต ไม่ซื้อเสียง

ที่เหลือ เราไม่รู้จักใครเลย รู้จักแต่นายกรัฐมนตรี นายชวน หลีกภัย

---

จนกระทั่ง เราขึ้น ม.1

ก็เป็นเหมือนเดิม เราเป็นเด็กสายวิทย์ ไม่ค่อยรู้เรื่องการเมือง แต่เราจำได้ว่า มันมีอยู่วันหนึ่ง คุณครูประจำวิชาสังคมศึกษานี่แหละ เขามาพูดกับนักเรียนในห้องเรียนว่า

"รู้มั้ย ว่าตอนนี้ ประเทศไทยเราติดหนี้ IMF ตอนนี้พวกเธอทุกคนที่นั่งเรียนอยู่ ก็ติดหนี้อยู่นะ คนละ.... บาท" (จำไม่ได้ว่า กี่บาท แต่จำได้ว่า พากันร้อง "โห....O.O" ทุกคนเลย --')

ตอนนั้น เราก็คิดนะว่า ประเทศเรามันยากจนขนาดนั้นเลยหรอฟระ ??? O.O

จนกระทั่งเราขึ้น ม.ไหน เราก็จำไม่ได้ ประมาณ ม.3 หรือ ม.4 นี่แหละ ประเทศไทยก็มีนายกรัฐมนตรีชื่อว่า "ทักษิณ ชินวัตร"

ด้วยความที่เรา ไม่ค่อยสนใจการเมือง ไม่รู้เรื่องเลย --' สนใจแต่ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ แล้วก็บ้าดาราไปวันๆ

แต่เราก็ได้ยินมาคร่าวๆนะว่า.. ประมาณเราอยู่ ม.4 คุณครูเขาก็มาบอกว่า ตอนนี้ ประเทศไทยใช้หนี้ IMF หมดแล้ว!

แล้วสักพัก ก็มีการออกข่าว ออกทีวี มีการชูธงชาติไทย เหนือยาเสพติด มีการประกาศชัยชนะ ว่าประเทศเรา ไม่มียาเสพติดแล้ว!! (คนแถวบ้านเราคนหนึ่ง โดนจับด้วย เพราะขายยาเสพติด ตอนนี้โดนปล่อยแล้ว)

แล้วสักพัก เราก็ได้ดูข่าว นายกฯทักษิณ ออกทัวร์สอนคณิตศาสตร์ตามโรงเรียนมัธยมต่างๆ (เราชอบมาก^^ เพิ่งเคยเห็นนายกฯคนแรกนี่แหละ ที่สนับสนุนให้เด็กเก่งคณิตศาสตร์) แล้วก็มีการมอบเครื่องคอมพิวเตอร์ให้โรงเรียนหลายๆแห่ง


แล้วเราก็เห็นภาพ นายกฯทักษิณ ไปคลุกคลีกับชาวบ้าน นุ่งผ้าขาวม้า ไปพูดคุยกับชาวบ้าน

ตอนนั้น เราก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องการเมือง รู้แต่ว่า.. "มีความรู้สึกดีๆกับนายกฯคนนี้มาก!"

จนมาถึง ตอนที่เราประทับใจที่สุด ตอนนั้นเราน่าจะอยู่ ม.5 หรือ ม.6 นี่แหละ เราก็จำไม่ได้

เราเห็นโฆษณา ของรัฐบาลนี่แหละ ผ่านหน้าจอ TV บอกว่า.. "หากพบเห็น การทุจริต คอรัปชั่น การรับเงินใต้โต๊ะ ของข้าราชการ หรือหน่วยงานราชการ โปรดแจ้งสายด่วน 16xx" (จำเบอร์ไม่ได้)

สักพัก เราก็เห็นโฆษณาของรัฐบาลอีกนี่แหละ บอกว่า "หากท่านพบเห็น การกระทำของผู้มีอิทธิพลที่ผิดกฎหมาย โปรดแจ้งสายด่วน 16xx" (จำเบอร์ไม่ได้ มันนานแล้ว)

ตอนนั้น ในบรรดาสิ่งที่นายกฯทักษิณทำทั้งหมด เราประทับใจไอ่ สายด่วนโทรแจ้งคนขี้โกงนี่ ที่สุดเลย!!

เราเคยโทรไปด้วยนะ เรื่องตำรวจที่ขอนแก่น ทำผิดกฎหมายซะเอง (แล้วเราก็เคยเขียนจดหมายไปขอการช่วยเหลือเรื่องที่ดินบ้านกับนายกฯด้วย ได้รับตอบกลับมาด้วย ^^ เร็วมาก ^O^)

ตอนนั้น เราคิดในใจเลยนะว่า.. "เอาแล้ว!! ^O^ ประเทศเรา กำลังจะเจริญแล้ว!! ข้าราชการ หน่วยงาน ที่ทำผิดกฎหมาย เราจะโทรแจ้งสายด่วนให้หมดเลย!!! ยังไงเราก็มีนายกฯทักษิณหนุนหลังอยู่ >< เราไม่ต้องกลัวอิทธิพลอะไรทั้งสิ้น! พบเห็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เราโทรแจ้งได้เลย ^O^ "

นายกฯทักษิณ ประกาศเป็นศัตรูกับ การทุจริตคอรัปชั่น และการทำผิดกฎหมายของผู้มีอิทธิพลทั้งหมด

เรารู้สึกได้เลยว่า ประเทศเรากำลังจะ เจริญ และ เจริญ มากขึ้น มากขึ้น ทุกวัน ทุกวัน

แต่เชื่อไหม??? เราเพิ่งโทรแจ้งเรื่องที่ข้าราชการคอรัปชั่นไปเรื่องเดียว! ยังโทรแจ้งไม่ครบเลย

ไม่นานต่อมา (เราอยู่มหาลัย ปี 1) ทีวีทุกช่องก็ดับ แล้วตามมาด้วย การรัฐประหาร ล้มรัฐบาลของนายกฯทักษิณ (พิมพ์ไปยังขนลุกไปเลย!)

แล้วตั้งแต่นั้น ประเทศเราก็เริ่ม ถอยหลัง ยาเสพติดกลับคืนมา การทุจริตคอรัปชั่นกลับคืนมา (รวมไปถึงนายกฯทักษิณเองก็โดนกล่าวหาว่าขายชาติด้วย) แล้วพวกผู้มีอิทธิพลที่ชอบทำผิดกฎหมาย ก็กลับคืนมา

เรามองเห็น ประเทศถอยหลังลงคลอง มีคนใส่เสื้อเหลืองที่อ้างว่ามีการศึกษา พากันตะโกนด่านายกฯทักษิณว่า ขายชาติ!

เราไม่มีทางเชื่อเลย ว่านายกฯทักษิณจะขายชาติ เอาอะไรมาพูดเราก็ไม่เชื่อ

เราไปตามอ่านข่าวของทุกสำนัก อ่านสำนวนคดี เราอยากรู้ว่า นายกฯทักษิณ ขายชาติจริงๆไหม???

เราตามอ่านทุกสำนวนคดี ทุกข้อกล่าวหาที่พันธมิตรกล่าวหานายกฯทักษิณ

แล้วผลที่ได้คือ "ทุกข้อกล่าวหา ล้วนคลุมเครือ ไม่มีข้อกล่าวหาไหนที่ชัดเจนเลยว่า นายกฯทักษิณขายชาติ!"

นายกฯทักษิณเป็นคนไทยแท้ๆ มีพ่อแม่อยู่เชียงใหม่ โตมาแบบเด็กยากจน เรียนหนังสือผ่านแสงเทียนและหลอดไฟของวัด

มันเป็นไปไม่ได้เลย ที่คนที่คิดจะขายชาติ จะสร้างอะไรดีๆทิ้งไว้มากมายขนาดนี้

เขาบอกว่า นายกฯยิ่งลักษณ์ นิสัยเหมือนนายกฯทักษิณ

เราเห็นแล้วว่า เหมือนจริงๆ นายกฯยิ่งลักษณ์เป็นคนดี บอกตรงๆว่าเรื่องการบริหารอาจไม่เก่งเท่านายกฯทักษิณ แต่นายกฯยิ่งลักษณ์ท่านเป็นคนอ่อนโยน ไม่ค่อยตอบโต้ใคร รู้จักกาละเทศะ เหมาะที่จะเป็นนายกฯในช่วงที่การเมืองครุกรุ่นที่สุด!

ป้าดดด!! กระทู้นี้ อวยกันเต็มๆ 5555+

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

102 แด่..มนุษย์เงินเดือน "อันความรู้ รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล"

@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00... ตอนที่ 8...กลับไปทำงาน 2 job ใหม่ กลับเมืองไทยครั้งแรกหลังจากที่จากมาแล้วเกือบสิบปี เริ่มค้าขาย ชีวิตหักเหอีกครั้ง
@ ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา By: kimeng suk
@ เจอของจริงแกล้งเฉไฉ เฮ้อ!! แถแบบนี้...ผมบายดีกว่า กลัวติดเชื้อ"โรคกลัวความจริง"
@ ไม่รีบเค้นออกมาจะเสียใจ...พรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษของเด็กๆ
@ ขอต้อนรับ นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคณะ สู่มหานครนิวยอร์ก คลิกที่นี่...
@ สิ่งที่ควรรู้ ก่อนเรียน Master of Business Administration (MBA)
@ มองโครงการรับจำนำข้าวในสายตาของชาวนาตัวจริง...
@ ภาพชุด..นายกฯปู ร่วมประชุม สุดยอด ACD กรอบความร่วมมือเอเชีย ที่คูเวตซิตี้
@ Obama' ประเด็นที่สื่อไทยเมิน & อัลบั้มโอบามาเยือนไทย 18พ.ย.55
@ แผนชั่วๆ สร้างความรำคาญให้ต่างชาติ เลิกซื้อข้าวไทย!
@ ปลื้มปีตี"ในหลวง"เสด็จออก ณ สีหบัญชร เปล่งเสียง"ทรงพระเจริญ"กึกก้อง
@ 'ประชามติ'เกมวัดใจผู้มีสิทธิ 46 ล้าน ต้องการ รธน.เผด็จการหรือประชาธิปไตย ???
@ อย่า"ฟูมฟาย"ให้เพื่อนๆ"เสียขวัญ" ... อย่า"กดดัน"จนคนทำงานต้อง"เสียกำลังใจ"
@ อ่านบทสัมภาษณ์นี้แล้ว เห็นได้ชัดเลยครับว่า... นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นี่ โง่มาก โง่มากจริงๆ ครับ
@ ภาพชุดพิเศษ...นายกฯปู รณรงค์"ประชามติ"
@ ฮู้ยยยย...สติแตกกันไปหมดแย้วทั้งคนเล่นและกองเชียร์แนวร่วม
@ ผมไม่ได้แหล!!! แต่เรื่องดีๆอย่างนี้..clickดูเองเหอะ
@ ความเป็นมาของ คดีสะเทือนโลก "ที่ดินรัชดา" ที่ทุกๆคนควรรู้!!!
@ เปิดใจ "พงศพัศ พงษ์เจริญ" ว่าที่ผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร (ย่อมรับคนนี้เก่งจริง)

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ New!! แจกปฏิทินนายกฯปู พ.ศ.2556 คลิกที่นี่...


เปิดใจ "พงศพัศ พงษ์เจริญ" ว่าที่ผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร (ย่อมรับคนนี้เก่งจริง)

...เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้ ชาวกรุงเทพฯ อยากเห็นผู้สมัครที่มีความรู้ความสามารถ ดูแล้วมีความหวัง สามารถเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯ และชีวิตความเป็นอยู่ให้พวกเขา... พล.ต.อ.พงศพัศ กล่าวว่า ถ้าได้รับเลือกตั้งจะเร่งดำเนินการเรื่องขนส่งมวลชน โดยเฉพาะรถเมล์ไม่ปรับอากาศฟรี ส่วนรถปรับอากาศจะคิดราคา 10 บาทตลอดสาย เรือข้ามฟากเรือคลองแสนแสบให้บริการฟรีหมด ส่วนรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ส่วนป้ายรถเมล์หลายพันจุดก็จะจัดระเบียบใหม่ ไม่ให้วิ่งทับซ้อนกัน จะเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุโดย กทม.จ่ายส่วนต่างที่เพิ่มขึ้น

@ เปิดใจ "พงศพัศ พงษ์เจริญ" ว่าที่ผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร (ย่อมรับคนนี้เก่งจริง)


ถามอะไรแบบเด็กๆหน่อยได้มั้ยคะ - เราสงสัยว่าคนรุ่นใหม่ต่อไปจะตั้งตัวได้ยังไงเพราะเงินเดือนต่ำ อัตราการแข่งขันสูงแบบนี้
ที่มา: http://2g.pantip.com/cafe/silom/topic/

By SICKHEART : เราอายุประมาณ 24 ปีค่ะ ทำงานมาประมาณปีนิดๆ เป็นฟรีแล้น เงินเดือนประมาณ 2 หมื่น (บางเดือน 1 หมื่น บางเดือน 3 หมื่น) แต่ก็ถือว่าค่าใช้จ่ายไม่เยอะ เพราะอยู่บ้านน่ะค่ะ ไม่มีค่าเดินทาง

พ.ศ. 2535 แม่เราซื้อบ้านแถวปิ่นเกล้า 16 ตร.ว. ราคา 6 แสน

พ.ศ. 2545 พี่ชายเราเพิ่งจบ ทำงานเป็นสถาปนิก เงินเดือน 12 k (ทำงาน 6 วัน)

พ.ศ. 2554 เพื่อนเราสายสถาปัตย์เรียนจบ เงินเดือน 12k-15k (เท่ากับพี่เราเมื่อ สิบปีก่อนเลย o_o)

พ.ศ. 2555 บ้านหลังปัจจุบันเรากำลังจะขาย ที่ราคา 1.9 ล้าน (บ้านโทรมมากอยู่มา 20ปี...)

คือรู้สึกว่า ตัวเลขมันสวนทางกันจังเลยค่ะ รุ่นเราเพื่อนๆรอบตัว (หรือตัวรุ่นพี่ที่อายุราวๆ เลข สาม ) ทำงานออฟฟิศได้เงินเดือนราวๆ 12k - 15k สายบัญชี หรือ AE ก็ได้ราวๆ 20k-25k ยังไม่มีเพื่อนหรือรุ่นพี่ที่เงินเดือนเกินสามหมื่นเลยค่ะ (เพื่อนเราที่เราถามคุยมาก็มีหลายๆสายนะคะ อาร์ตได กราฟฟิก ครู ผู้ช่วยแพทย์ นักบัญชี) อันนี้ยังไม่รวม หมอ กับ ทนายนะคะ เพราะ เพื่อนกลุ่มนั้นยังเรียนไม่จบ (ฮา) และก็ยังไม่รวมพวกที่เปิดกิจการเอง เช่น พวกร้านเสื้อผ้า กระเป๋าตาม jj นะคะ

มีรุ่นใหญ่ที่รู้จักกัน (อายุประมาณ 35-40) เงินเดือน หลักแสน แต่ร่างกายพังไปหมดเพราะทำงานหนักมาตลอด เราทำฟรีแล้นก็พออยู่ได้ค่ะ มีเงินเก็บเพราะว่าอยู่บ้านกับแม่ ให้ค่าใช้จ่ายที่บ้านเดือนละ 2-3 พัน (ยังไม่ต้องจ่ายทั้งหมดของที่บ้าน) พาแม่ไปกินข้าวบ้าง ส่วนพวกของฟุ่มเฟือยเราไม่ค่อยมี มือถือใช้แบบจอขาวดำ/เสื้อผ้าไม่ซื้อใหม่ใส่เสื้อยืดเกงเลอยู่บ้าน / เครื่องสำอางไม่ใช้ สมัยเรียนมีงานประกวดพอสมควร ตอนนี้จบมาเกือบสองปี มีเงินเก็บ แสนห้า

เราคุยกับเพื่อนที่ทำงานประจำ เพื่อนบอกว่า เก็บเงินไม่ได้ ใช้เดือนชนเดือน ส่วนมากหมดไปกับ ค่าเดินทาง และ ค่ากิน บางคนก็ต้องอยู่หอ เพราะทำงานไกลบ้าน แม้แต่คนที่ประหยัดๆ ได้เงินเดือน สองหมื่นนิดๆ เก็บได้ 2-3 พันบาทต่อเดือนถ้าให้พ่อแม่คือหมดพอดี

ขณะที่เราหันไปดูราคาพวก บ้าน รถ อสังหาริมทรัพย์ต่างๆ มันแพงจนน่าตกใจ บ้านทั่วๆไปก็ 3-4 ล้านแล้ว คอนโด 30 ตร.ม.ราคาเริ่มต้นก็ ล้านนึง...ราคาแบบนี้ นึกไม่ออกเลยว่าจะผ่อนยังไงได้ ในเมื่อเงินเดือนคนทั่วไปก็ไม่ได้มากมายอะไร คอนโด+โครงการบ้านขึ้นใหม่เยอะมาก แต่ดูราคาแล้วเหมือนไม่ได้มีไว้ให้คนรุ่นใหม่อยู่เลยอะค่ะ

- คนส่วนมากของประเทศนี้ (หรือไม่ก็กรุงเทพฯ) จริงๆมีรายได้เฉลี่ยเท่าไรคะเนี่ย ทำไมราคาที่อยู่อาศัยมันสูงจัง

- คนรุ่น Gen X เป็นต้นไป ในเมื่อเงินเดือนได้กันเท่านี้ อัตราการแข่งขันก็สูง ต่อไปจะตั้งตัวยังไงคะ หรือต้องกิจการส่วนตัวอย่างเดียว

อย่างที่บอกอะค่ะ ถ้าไม่นับญาติผู้ใหญ่ที่เป็นระดับ ผู้บริหาร / เจ้าของกิจการ เองแล้ว เงินเดือนหลักแสน เราก็มองไม่เห็นเลยว่า คนรุ่นใหม่ หนุ่มๆสาวๆนี่จะทำไงถึงจะไต่ไปได้ในระดับนั้น โดยที่ไม่แก่ไปเสียก่อน (บางสายอาชีพนี่ ต่อให้ทำงานจนแก่แล้วก็คงยังไม่สามารถแตะเงินแสนได้เลยด้วยซ้ำมั้ง?)

หรือจริงๆแล้วเรา+คนรอบตัวเรา เป็นพวกรายได้ต่ำเองกันแน่หว่า = ='' คนอื่นที่เงินเดือนสูงๆ(กว่านี้)ทั้งๆที่ยังหนุ่มยังสาวกันอยู่ เขาเรียนอะไร ทำงานอะไรกันบ้างเหรอคะ


แด่..มนุษย์เงินเดือน "อันความรู้ รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล"

By basicball : เงินเดือนระหว่างเด็กจบใหม่กับคนที่มีประสบการณ์มันต่างกันเยอะครับ ในทุกสายอาชีพ

ตอนจบใหม่นี่ผมจบช้านะครับ เรียนไป 8 ปี จบเกรด 2.02 F ไม่ต้องนับ 2มือก็นับไม่หมด กว่าจะจบก็อายุ 27-28 ไปแล้ว เงินเดือนผมก็สตาร์ทมากกว่าคุณหน่อยแหล่ะ ที่ 17-18 K เอง

ตอนนี้ผม 30 ครับ ทำงานมาประมาณ 3 ปี เงินเดือนผมเกิน 50K ไปแล้ว

"อันความรู้ รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล" เป็นความจริงแท้ในสังคมการทำงานเลยครับ ที่จะช่วยให้เงินเดือนคุณก้าวกระโดดได้

ถ้าสนใจอยากรู้... ผมจะเล่าให้ฟังครับ

เกริ่นเรื่องสักนิดหนึ่งนะครับ เพื่อความเข้าใจ ผมเป็นเด็กบ้านนอกครับ เรียนอนุบาล-ประถมที่โรงเรียนประจำจังหวัดเล็กๆ อาจจะเป็นการชมตัวเองนะครับ แต่จริงๆแล้วผมเป็นคนหัวดีพอสมควร ตั้งแต่เด็กมา สมัยประถม ผมไม่เคยเข้าใจเลยว่าผมจะทำข้อสอบยังไงให้ได้คะแนนน้อยๆ คนอื่นเค้าสอบกัน 3 ช.ม. ผมทำ 20 นาทีออก เกรดผม 4.00 ตลอด เคยทำคะแนนคณิตศาสตร์ได้ 100 เต็ม 100 ด้วย เรียกว่าแข่งกับเพื่อนเป็นอันดับ 1 ของสายชั้นทั้งๆที่ผมไม่เคยอ่านหนังสือไปสอบเลย

พอมามัธยมที่บ้านก็ส่งมาเรียน กทม. เพราะคิดว่าหัวไปไหว ผมได้เข้าในโรงเรียนที่ว่ากันว่าเป็น 1 ใน 4 โรงเรียนที่ดีที่สุดในโรงเรียนรัฐสมัยนั้น ระบบการเรียนการสอนเป็นแบบยัดให้นักเรียนจำสูตร แล้วทำโจทย์ โดยไม่สอนความเข้าใจว่าไอ้สูตรทั้งหลายนั่น เอาไปใช้อะไรได้กับในชีวิตจริง ตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าการ อินทิเกรตและดิฟ มันจะเอาไปใช้อะไรได้ในชีวิต ผมไม่ได้ซื้อส้มดิฟ 3ส่วน4ลูก ผมก็เลยไม่เรียน ฟิสิกส์คำนวณแรง F=ma คำนวณไปทำไม เอะอะก็ให้ท่องสูตร ก็เลยไม่เรียน เคมีจะรู้ไปทำไม ตัวอักษรสูตรอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะ ไม่เห็นมีประโยชน์เลย ก็เลยไม่เรียน วันๆเอาแต่เล่นบาสฯ เกรดก็เลยตกต่ำลงเรื่อยๆ จนเทอมสุดท้าย ได้เกรด 1 กว่าๆ แต่ก็ยังเอาตัวรอดจบมาได้ด้วยวิชาภาษาไทยและสังคม ซึ่งสมัยนั้น เด็ก ตจว.จะแข็งมาก และประกอบกับระบบการศึกษาไทย ตกแล้วซ่อม ซ่อมแล้วตก แล้วซ่อมแล้วตก แล้วก็ดันให้ผ่านมาได้

ด้วยธุรกิจทางบ้าน ผมจึงจำเป็นต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในคณะที่ทางบ้าน(กึ่งๆ)บังคับให้เรียน สมัยก่อนโน้นเป็นระบบเอ็น(สะ)ทรานซ์ เกรดตอนมัธยมเลยไม่ค่อยมีผลเท่าไร ใช้ระบบสอบวัดคะแนนอย่างเดียว ด้วยความเป็นคนหัวดี (อยู่ลึกๆ มากถึงมากที่สุด) ผมเลยจับผลัดจับผลูได้เรียนในคณะที่ทางบ้านต้องการ สำหรับตัวผมเองแล้ว ผมไม่ชอบคณะวิชาสายที่ตัวเองเรียนมาเลยครับ ตอนนั้นผมคิดแบบเด็กๆว่า ผมไม่ได้จะเอาวิชาที่ผมเรียนไปใช้เลย ผมมาเรียนเพราะโดนที่บ้านบังคับให้มาเอากระดาษรับรองใบหนึ่ง ที่ระบุไว้ว่าผมสามารถประกอบอาชีพทางนี้ได้ โดยที่อาชีพทางนี้ผมช่วยงานที่บ้านมาตั้งแต่เด็ก ผมไม่เคยใช้ความรู้แบบที่เรียนกันในมหาวิทยาลัยเลย ธุรกิจทางบ้านผมก็ดำเนินไปได้สบายๆไม่เดือดร้อน ตอนนั้นผมเลยไม่สนใจเรียน ไปโรงเรียนก็ไม่ไป ไปทีไรก็ไปสายยยยยยย ทำตัวเหมือนเพลงของอนันอันวาก็ไม่ปาน ผลเป็นอย่างไรหรือครับ ก็เป็นอย่างที่ผมจั่วหัวไว้นั่นแหล่ะ F 2มือก็นับไม่หมด ประกอบกับเป็นคนทำกิจกรรมหนักกด้วย เวลาเรียนมันเลยยืด ยืด ยืด แล้วก็ยืด ไปจน 8 ปีนั่นล่ะครับ แต่ผมก็ถูลู่ถูกังจบมาได้ด้วยเกรด 2.02 ตามที่จั่วหัวไว้นั่นแหล่ะครับ

และแล้วก็มาถึงเวลาช่วงหางาน ทางบ้านก็อยากให้ผมกลับไปช่วยกิจการที่บ้านครับ แต่ผมเองที่ดื้อ เพราะเห็นว่าพ่อแม่ก็ยังทำกันไหว เลยขอเวลาออกมาหาประสบการณ์ข้างนอกก่อน ด้วยความที่ออกมาอยู่หอตั้งแต่ ม.1 แล้วเพราะที่บ้านดันให้มาเรียน กทม. เลยเป็นการฝึกให้ผมหาทางเอาตัวให้รอดได้ครับ ตอนนั้นเลยคิดหนักเลย เพราะเพื่อนที่จบไปแล้วก็ได้งานทำเป็นหลักเป็นแหล่งกันแล้ว รุ่นน้องบางคนกลับมาเป็นอาจารย์สอนผมด้วยซ้ำไป เดินเข้าห้องมาสอนน้องแกยังยกมือไหว้ผมอยู่เลย - -* ผมเลยต้องคิดให้หนักครับ ว่าผมจะเอายังไงกับชีวิตตัวเองดี

ตอนนั้นถามตัวเองทุกวันว่าจะเอาอะไรไปสู้กับคนหางานคนอื่น(วะ) จบก็ช้า แก่กว่า เกรดเน่า แล้วใครเค้าจะเอาเราไปทำงานด้วย ตอนนั้นเท่าที่คิดได้คือส่ง resume ให้เยอะที่สุดครับ เพราะถึงจะเกรดเน่า แต่ผมก็อยากเป็นฝ่ายเลือกบริษัทที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง เลยเริ่มจาก บริษัทไหนที่มีงานที่เกี่ยวข้องผมส่ง resume ไปก่อน บริษัทสมัยนี้ส่วนมากรับสมัครทางอินเตอร์เน็ทเกือบหมดแล้วครับ รวมกับตอนนั้นหมดหนทางแล้ว เผอิญเหลือบไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ได้มาตอนเรียนแล้วเค้ามาเปิดบูทแจก ข้างหลังมีรายชื่อบริษัทที่อยู่ในวงการที่เกี่ยวข้อง ผมโทรไปเรียงบริษัทเลยครับ ค่าโทรครั้งละ 3 บาท จะไปกลัวอะไร ตอนนั้นคิดว่าถ้าผมโทรไป 100 บริษัท ผมเสียเงินแค่ 300 บาทเอง มันต้องมีที่ไหนสักที่ที่รับผมเข้าทำงานบ้างล่ะน่า เวลาโทรไป ผมถามเลยว่ารับสมัครงานตำแหน่งนี้ไหม ถ้ารับอยู่ ผมส่ง resume ไปทุกที่เลยครับ เล็กใหญ่ส่งไปหมด ตอนนั้นถ้ารวม resume ที่ผมส่งไปทั้งหมดแล้ว น่าจะเกือบๆ 100 ที่ได้ จากบริษัทในวงการนี้ที่มีไม่ถึง 200 แห่งได้ครับ ช่วงนั้นผมไม่คิดว่าจะมีที่เรียกสัมภาษณ์เยอะหรอกครับ เพราะอย่างที่บอก เกรดเน่า จบช้า อายุเยอะ มีที่เรียกสัมภาษณ์ซัก 5-6 ที่ก็หรูแล้วครับ ช่วงนั้นเลยถือโอกาสบวชทดแทนคุณพ่อแม่พร้อมกับน้องชายอีก 2 คนครับ

จุดเปลี่ยนมันอยู่ตรงนี้ครับ วันที่บวช ตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดนาคไปห่มผ้าเหลือง วันนั้นเป็นวันที่ผมไม่เคยลืม วันนั้นผมได้เห็นน้ำตาแม่ครับ แม่ผมมีความสามารถพิเศษ ในขณะที่ปากยิ้มจนปากแทบจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว แม้ว่าแม่ผมจะก้มหน้าหลบแล้ว แต่ผมก็ยังเห็นว่าแม่ผมก้มหน้าแอบไปเช็ดน้ำตาครับ พ่อผมก็ไม่ต่างกันเล๊ยยยย ปกติพ่อผมเป็นคนดุครับ เสียงดังด้วย แต่วันนั้นเสียงสั่นตั้งแต่ตอนโกนผมนาคตอนเช้า ไม่ยอมพูดอะไรกับใครเลย หน้าเบะแต่ยังฟอร์มเก๊กไว้ แต่ก็ไม่พ้นสายตาผมไปได้หรอกครับ อิอิ

มันแบบ...พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ในอกเหมือนมีก้อนอะไรเหนียวๆดันขึ้นมาจนหายใจไม่ออกครับ ปากแห้งคอแห้ง ตาพร่าใจสั่น น้ำตารื้นๆจะไหลมิไหลแหล่ ตอบ อามะพันเต แบบเสียงสั่นๆเลยครับวันนั้น แบบว่า คนตัวเล็กๆอย่างเรา ก็ทำให้คนแก่ 2 คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเราภูมิใจได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย มันเหมือนเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งน่ะครับ

ระหว่างที่บวชอยู่ก็มีเวลาว่างเยอะครับ หลังจากบิณฑบาตเช้า และทำวัดเช้าเสร็จแล้วหลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านก็จะจำวัด แล้วบ่ายๆท่านก็จะตื่นมาส่องพระกับญาติโยมไปตามเรื่อง ทำให้พวกพระใหม่มีเวลาว่างเยอะครับ ก็คิดนะครับ ว่ามีอะไรอีกไหม ที่เราจะทำให้พ่อแม่ภูมิใจได้ อย่างแรกเลยคือเราต้องมีงานทำก่อน เลยตัดสินใจว่าที่ไหนเรียกที่แรก เราจะเลือกที่นั่นครับ และไม่รู้เพราะผลบุญจากการบวชนี่หรือเปล่า ทำให้มีโทรศัพท์จากบริษัทเข้ามาเยอะมาก แทบจะทุกวันที่บวชเลยครับที่เรียกไปสัมภาษณ์ ผมก็ต้องปัดวันนัดไปรวมกันหลังสึก ตอนนั้นจำได้ว่ามีมาเกือบ 20 ที่ครับ ที่เรียกไปสัมภาษณ์ เรียกว่าพอสึกปุ๊บก็เข้า กทม.มาเดินสายสัมภาษณ์งานเลยครับ วันหนึ่งไม่ต่ำกว่า 2-3 ที่ เป็นอาทิตย์แหล่ะครับ ว่าจะสัมภาษณ์หมด

บริษัทที่แรกที่เลือกจะเริ่มงานเป็นบริษัทเล็กๆครับ เจ้าของเป็นคนจีนครับ เป็น MD เองด้วย ที่เลือกก็เพราะเป็นที่แรกที่เรียกไปสัมภาษณ์ และคนสัมภาษณ์ก็เป็นรุ่นน้องที่เรียนมาด้วยกันครับ แถมรุ่นน้องคนนี้ก็ไปช่วยโน้มน้าว MD ให้รับผมเข้าทำงานด้วย ตอนนั้นก็เลยเลยตามเลยครับ เริ่มงานที่นี่ก็ได้ จัดการเช่าห้องพักเรียบร้อย ทำงานได้ 3 เดือนน้องลาออกครับ จะหาผมมาเป็นตัวแทนนั่นเอง

อีก 2 เดือนต่อมาผมก็ลาออกตามครับ เพราะโดน MD ผิดสัญญา ไม่ยอมจ่ายค่าจ้างใบรับรอง ตามที่ตกลงกันไว้ตอนสัมภาษณ์ ตอนนั้นผมก็ยังประสบการณ์น้อยครับ สัญญาที่ตกลงกันไว้ตอนสัมภาษณ์ก็ไม่ได้ระบุเรื่องค่าจ้างในส่วนนี้ เป็นแค่เพียงสัญญาปากเปล่าว่าถ้าผมไม่ได้ใบรับรองนี้ในเวลา 3 เดือน เค้าจะไล่ผมออก แต่ถ้าผมได้ใบรับรองนี้ เค้าจะต้องจ่ายค่าใบรับรองให้ผมเพิ่ม ซึ่งใบรับรองนี้บางคนจบมาหลายปียังสอบไม่ได้ก็มีครับ แต่ผมก็สอบใบรับรองนี้ได้ในครั้งแรกครับ พอผมทวงสัญญาไปแกก็บอกว่าไม่ได้ตกลง ไม่มีสัญญา ผมเลยบ๊ายบาย ยื่นใบลาออกแล้วทำงานอีก 1 เดือนตามกฎหมายแล้วก็ออกครับ รวมอายุงานที่แรก 5 เดือนเงินเดือนที่ได้ที่นี่คือ 17,000 ครับ ระหว่างนี้ MD ยังมาเดินมาพูดเย้ยอีกนะว่าเกรดแบบนี้ที่ไหนเค้าจะรับ เค้าจะให้โอกาสผมทำงานที่นี่ต่อไปนะ แต่ค่าจ้างก็เท่าเดิมนี่แหล่ะ เลยเป็นแรงผักดันให้ผมต้องหางานใหม่ให้ได้ดีกว่าเดิม

ตอนนั้นผมสมัครงานไปอีกหลายที่ครับ บริษัทเดิมที่เคยโทรมาเรียกไปสัมภาษณ์ผมก็โทรกลับไปหมด ว่ายังรับตำแหน่งผมอยู่หรือเปล่า เลยได้บริษัทที่ตกลงรับผมมา 3 ที่ ในเวลาไม่ถึง 10 วันครับ

ตอนนั้นยอมรับว่าทำไปเพราะโมโหครับ บริษัทเก่าอยู่กลางซอยครับ เลยเลือกบริษัทใหม่ที่อยู่หน้าปากซอยที่ที่ทำงานแรกอยู่ เงินเดือนเพิ่มเพราะใบรับรอง จาก 17,000 เป็น 18,000 + ใบรับรอง 5,000 ครับ

กำลังจะเข้าไคลแมกซ์แล้วครับ แต่เดี๋ยวมาต่อที่เหลือนะครับ พอดีงานด่วนเข้า ยังไม่ออกจากที่ทำงานเลย T_T

มาต่อกันครับ...

ที่ทำงานที่2 เริ่มต้นด้วยเงินเดือน 18,000+5,000 เป็นค่าใบรับรองครับ

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะคิดว่า ที่ทำงานที่2 ของผมนี่จะเป็นที่ทำงานที่ดีเลิศ เป็นสถานที่สอนให้ผมทำงานได้เก่งฉกาจ มีรุ่นพี่ดีคอยสอนงาน เงินเดือนผมถึงก้าวกระโดดได้............ ผิดครับ ลืมไปได้เลยกับความคิดในนิยายพวกนั้น ความจริงโหดร้ายเสมอครับ ที่ทำงานที่2 ของผมเป็นโรงงานครับ เจ้าของเป็นคนจีนเช่นเดิม คนทำงานที่นั่นส่วนมากก็เป็นคนจีน ไม่ได้บอกว่าคนจีนไม่ดีนะครับ เพราะผมก็จีนแท้ 100% เลย แม่ผมกวางตุ้ง พ่อผมแต้จิ๋ว อากง อาม่า ผมเดิน(ย้ำว่า"เดิน"นะครับ ไม่ใช่"เดินทาง") มาจากเมืองจีนแท้ๆเลยครับ

ปัญหาเริ่มจากตามกฎหมาย โรงงานที่ผมทำนี่ ต้องมีใบรับรองที่ผมสอบได้อยู่ หากไม่มีโรงงานนั้นๆจะดำเนินกิจการต่อไม่ได้ครับ พอจะคิดออกไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม............. ใช่ครับ ผมถูกจ้างมานั่งเฉยๆในตำแหน่ง Production supervisor เพราะเค้าต้องการเอาใบรับรองผมเข้ามาแขวนไว้ที่โรงงานเค้า กิจวัตรประจำวันของผมก็คือ เช้ามาตอกบัตรก่อน 8 โมงเช้า เที่ยงกินข้าว เย็นตอกบัตรออก ปลายเดือนรับเงิน ตอนผมเข้าไปทำงานใหม่ๆก็ไม่มีคนสอนงานผมครับ เนื่องจากผู้จัดการคนเก่าที่เป็นคนร่วมหัวจมท้าย ช่วยเจ้าของก่อตั้งโรงงานนี้มาตั้งแต่เปิดใหม่ๆซึ่งอายุเยอะแล้วหวงงาน กลัวว่าผมจะทำงานแทนแกได้ แกจะหมดความสำคัญ แล้วแกจะถูกเอาออก แกเลยพลอยแบนผมไม่ให้ใครคุยกับผมเลย พนักงานทุกคนรู้ว่าผมเข้ามาทำงานตำแหน่งนี้ ก็ไม่ได้ปิดถ้าผมจะเข้าไปดูการทำงาน เพราะเจ้าของเค้าให้ผมเข้ามา แต่ก็ไม่มีใครสอน ไม่มีใครบอกอะไรเลย เวลาเค้าจะทำอะไรกันเค้าก็จะงุบงิบทำกันเงียบๆ มีเพียงเอกสารการผลิตหลักเท่านั้นที่ผมพอจะหาได้ ส่วนใบสั่งงานเล็กใบน้อยผมถูกกันให้อยู่ห่างจากตรงนั้นครับ ไม่มีสิทธิ์แม้จะได้สัมผัสเลย

แรกๆก็รู้สึกดีหรอกนะครับ เพราะไม่ต้องทำอะไรเลย ปลายเดือนก็มีเงินใช้ วันๆพกโน๊ตบุ๊คมาที่ทำงานก็มานั่งเล่น CM01-02 บ้าง Winning บ้าง Fifa บ้าง ไปตามเรื่องตามราว เที่ยงกินข้าว บ่ายอัพเฟสบุ๊ค/อ่านพันทิพ แล้วเย็นก็ตอกบัตรออก กับเงินเดือน+ใบรับรองแล้วก็สองหมื่นกว่า ก็น่าจะเป็นงานที่ใฝ่ฝันของใครหลายคนในห้องนี้เลยนี่ครับ แล้วมันมีปัญหาตรงไหน?

ปัญหามันอยู่ตรงนี้ครับ ด้วยความที่ว่างจัด ผมเลยพอจะมีโอกาสได้ไปอบรมตามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เค้าจัดขึ้นมาบ้างนานๆครั้ง ครั้งหนึ่งที่ผมไปอบรม ผู้เชี่ยวชาญคนที่พูดอยู่บนเวทีคือเพื่อนผมครับ กับคนนั่งฟังเกือบ 50 คนที่นั่น ภาพสมัยเรียนมันวิ่งวนขึ้นมาเหมือนในหนังเลยครับ สมัยเรียนไอ้คนที่บรรยายอยู่บนเวทีนั่นน่ะ นั่งทำแลปกับผมเป็นคู่แลปกันเลย แต่วันนี้ผ่านไป 5 ปี เค้าได้ไปนั่งอยู่บนเวที เป็นผู้เชี่ยวชาญ มีความรู้ลึกในเรื่องที่ทำ เต็มเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ ในตอนนั้นภาพที่ผมเห็นคือ เพื่อนผมเหมือนลูกโป่งที่ถูกอัดแน่นไปด้วยความรู้ ประสบการณ์ ความสามารถ ในขณะที่ผมตัวเล็กๆเป็นลูกโป่งแฟ่บๆ แถมยังมีรูรั่วอีกเพราะไม่ได้ใช้งานความรู้ ความรู้เลยค่อยๆลดลงไปทุกวัน และแน่นอน รายได้ต่างกันราวฟ้ากับเหว มองไปก็สมเพชตัวเองครับ แล้วก็ถามตัวเองว่า ตอนนี้ผมกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย? แล้วพรุ่งนี้ผมกำลังจะเดินไปที่ไหน นี่แค่ 5 ปีสถานภาพยังห่างกันขนาดนี้ แล้วถ้าอีก 10 ปีล่ะ? แล้วถ้าอีก 20 ปีล่ะ? แล้วถ้าต้องออกจากที่ทำงานปัจจุบันตอนนี้ ใครจะจ้างคนอายุเกือบ 30 ที่ทำอะไรไม่เป็นไปทำงาน แล้วถ้าอายุ 40 แล้วยังทำงานไม่เป็นแบบนี้ต่อไป จะไปทำอะไรกิน ผู้หญิงที่ไหนเค้าจะสนคนไม่มีอะไรเลย ทำมาหากินไม่เป็น ตอนแก่จะต้องไปออกวงเวียนชีวิตให้คนมาบริจาคเงินไหม(เว่อร์ไป) ความคิดพวกนี้มันวิ่งเข้าชนผมด้วยความเร็ว 100 กว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง รุมกันเข้ามาชนตัวผมจนผมกลัว(จริงๆนะ)

เย็นวันนั้น ผมกลับมาใช้เวลาอยู่กับตัวเองคนเดียวเงียบๆในอพาร์ทเม้นท์ที่เช่าอยู่ครับ ให้เวลากับเรื่องที่เราไม่เคยคิดถึงมันเลย เช่นเรื่องอนาคต เรื่องอนาคต และเรื่องอนาคต (ก็เรื่องเดียวนี่หว่า?) ว่าเราจะเอายังไงกับอนาคตของเราต่อไปดี จะยอมอยู่ในสภาพนี้รอให้ตอนแก่ไปออกวงเวียนชีวิตอย่างนั้นหรือ?

ตอนนั้นคำตอบในหัวมีอยู่ 2 ทางครับ ทางแรกคือลาออก แล้วไปหาที่ทำงานใหม่ กับทางที่ 2 คือพลิกกระดานแล้วลองสู้ดูกับที่นี่อีกสักพัก ลองชั่งน้ำหนักกันในหัวดูแล้ว คำตอบที่ออกมามันไม่ยาก (แต่ทำยากมาก) คือทางเลือกที่ 2 เพราะเอาจริงๆคือไม่มีปัญญาไปหาที่ทำงานใหม่นั่นแหล่ะ - -* เกรดแบบนี้ ทำงานก็ไม่เป็น อายุก็พอสมควรแล้ว แล้วยังต้องไปเสี่ยงกับที่ทำงานใหม่ว่าจะดีหรือไม่ดีอีก ตอนนี้สิ่งที่ผมมีอยู่กับตัวคือ

1. โอกาสในการทำงาน พร้อมเงินเดือน

2. สิทธิ์ในการเข้าไปดูการทำงานในไลน์การผลิต

3. ผมมีเวลาให้ผมทำอะไรก็ได้ที่ผมอยากทำเหลือเฟือ

สิ่งที่ผมเริ่มทำคือสิ่งที่ตอนนี้ผมมีครับ คือการเข้าไปเดินไลน์การผลิต 3 เดือนแรกหลังจากคิดได้ผมอยู่ในไลน์ตลอด ทำงานเหมือนพนักงานรายวันเลยครับ เค้ายกถังสารขึ้นมาเทผมก็ช่วยยก รถเข็นรถลากนี่ผมลากได้เข็นได้หมด ตอนเที่ยงผมก็เอาคอมฯมานั่งทำงาน (ที่ทำงานไม่มีคอมให้ใช้) ตรงที่ที่เดิมที่ผมนั่งเล่น CM01-02 นั่นแหล่ะครับ บันทึกทุกอย่างที่ผมเห็น ที่สัมผัสได้ทั้งหมด เขียนแบบลูกทุ่งๆแบบที่ผมพิมพ์ให้อ่านกันอยู่เนี่ยแหล่ะครับ ว่าวันนี้ผมทำอะไรบ้าง เจอปัญหาอะไรบ้าง แล้วผมคิดอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นบ้าง สิ่งที่ผมได้เห็นจากการไปทำงานส่วนนี้คือภาพรวมของโรงงานนี้ว่าเป็นอย่างไร โรงงานกำลังทำอะไรอยู่ แล้วทิศทางของโรงงานมันกำลังจะไปทางไหน ปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขคืออะไร ปัญหาที่มีแต่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นว่าเป็นปัญหาคืออะไร ทางไหนที่เราจะแก้ไขได้บ้าง แล้วผมก็เอาข้อมูลพวกนี้แหล่ะมาเขียนเป็นแผนว่าเราจะทำอย่างไรงานที่ทำถึงจะน้อยลง ทำอย่างไรต้นทุนถึงจะถูกลง ทำอย่างไรงานถึงจะทำได้เร็วขึ้น เขียนมาเป็นข้อๆเลย แล้วเก็บรวบรวมไว้

สิ่งที่ได้อีกอย่างหนึ่งคือความสัมพันธ์กับพนักงานคนอื่น (ลูกน้อง ตามตำแหน่ง) เริ่มมีคนยอมคุยกับผม เวลาผมถามอะไรเริ่มแอบตอบตอนผู้จัดการไม่เห็นบ้าง เริ่มคุยเล่นกันได้บ้าง ไปจนถึงเริ่มมีพาไปกินข้าวด้วยกันบ้าง ในช่วงนี้การแต่งตัวของผมเริ่มพัฒนาแบบก้าวกระโดด จากเสื้อเชิ้ต+กางเกงสแลก เริ่มเป็นเสื้อโปโล+กางเกงยีนส์ บางทีก็เสื้อยืด หลายๆทีมีใส่เสื้อแลกฝากระทิงแดงไปทำงานด้วย เรียกว่าเดินมากับพนักงานในไลน์นี่แทบแยกไม่ออกเลยทีเดียวว่าใครหัวหน้า ใครลูกน้อง

ผมค่อยๆลดระดับของตัวเองลง จากตอนเข้ามาทำงานใหม่ๆเหมือนคนทำงานออฟฟิสทั่วไป แต่งตัวดี เรียบร้อย ลอยเด่นโดดออกมาจากพนักงานคนอื่น ค่อยๆกลายเป็นคนงานหาเช้ากินค่ำ แต่งตัวปอนๆไปทำงาน ผมตัดสั้น ไม่ค่อยได้หวี ขี่มอเตอร์ไซค์มือ2 (ที่น้องๆในไลน์ผลิตไปช่วยดูให้) ไปทำงาน ไม่กี่เดือนผ่านไป พอรู้ตัวอีกที ผมกลายเป็นคนที่คุยได้กับทุกคนในโรงงาน พนักงานตั้งแต่เด็กยันแก่รักใคร่เอ็นดูเหมือนลูกหลาน มีเรื่องอะไรก็มีคนคอยให้คำปรึกษา หรือเป็นที่ปรึกษาให้คนอื่น ขนาดคนที่ไม่คุยกันมาเป็น 10ๆปีก็ยังให้ผมเป็นตัวกลางเจรจากันให้ อาจจะเพราะด้วยความเป็นเด็กบ้านนอกด้วยมั้ง เลยไม่เคยถือตัวอะไรกับใคร เลยทำให้พนักงานส่วนหนึ่งก็แอบๆสอนงานให้ บางคนก็มาปรึกษาเรื่องงาน คุณป้าบางคนก็มาบ่นเรื่องลูกให้ฟัง มีการแอบเอาเศษกระดาษที่ผู้จัดการสั่งงานมาให้ดูว่ามีอะไรยังไงบ้าง เวลาเกิดปัญหาขึ้นมา ผู้จัดการเข้ามาแก้ปัญหาอะไร อย่างไร ตอนนี้ผมเลยเริ่มได้เรียนรู้การทำงานบ้าง

และแล้วโอกาสของผมก็มาถึง ตอนผมทำงานด้วยวิธีนี้ไปได้เกือบปี เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโรงงาน คือเจ้าของโรงงานทำต่อไม่ไหว ให้ลูกชายขึ้นมาทำงานแทนเลยเกิดการประชุมครั้งใหญ่ขึ้น ผมเลยได้โอกาสเสนอแผนต่างๆที่ผมได้เก็บรวบรวมไว้แล้วดันถูกใจผู้บริหารใหม่ เลยได้รับโอกาสให้ทำการปรับปรุงครั้งใหญ่ สถานะตอนนี้คือ ผมไม่ได้สั่งงานจากบนยอดหอคอยลงมาข้างล่าง ผมสั่งงานจากระดับเดียวกับพนักงาน วิธีการในแผนของผมปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาตามสิ่งที่เห็นว่าดีที่สุดในขณะนั้น โดยรับฟังปัญหาที่เกิดขึ้นจริงทั้งจากปากพนักงานคนอื่น และจากการที่ผมได้ลงไปทำหน้างานจริงๆ โดยยึดเอาเป้าหมายเป็นหลัก ยิ่งเป็นโรงงานที่นี่ ที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาจะ 40 ปีแล้ว ผลงานมันเลยเกิดเป็น impact สะเทือนไปทั่วโรงงาน เวลาการทำงานลดลงแบบก้าวกระโดด ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นแบบคนทั่วไปก็รู้สึกได้ โดยแทบไม่ได้ลงทุนเป็นเงินเลย เงินเดือนเพิ่มขึ้นจาก 23K (รวมใบรับรองแล้ว) เพิ่มปีแรก 20% เป็นประมาณ 27K พอปีถัดไปด้วยภาระงานเอกสารที่เพิ่มขึ้น ผมลดการเข้าไปทำงานในไลน์การผลิตลง จากเดิมทำทั้งวัน ลดเหลือแค่ไปเดินตรวจงานเป็นช่วงๆ ทำให้ผมพอจะมีเวลาว่างมากขึ้น ระหว่างนี้เลยเริ่มไปช่วยงานในสาย QC, R&D และฝ่ายประสานกับหน่วยราชการ

สิ่งที่ผมได้จากการไปช่วยงานในแผนกอื่นก็คือ ได้ความรู้ ความเข้าใจในเนื้องานตัวเองเพิ่มมากขึ้น ผมเริ่มตอบปัญหาที่คาใจผมมานานได้บ้าง ว่าทำไมงานนี้ต้องรอกระบวนการนี้ ทำไมทำต่อไม่ได้ ผลงานผมเลยเริ่มดีขึ้นตามลำดับ กับความสัมพันธ์กับพนักงานส่วนผลิตที่ดีอยู่แล้วก็ยังรักษาไว้ กับผู้จัดการคนเก่า เจอทีไรผมก็ยกมือไหว้ ในการทำงานผมดึงแกมาเป็นคณะกรรมการช่วยตัดสินใจเลย สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ ธรรมชาติของคนครับ เมื่อไรก็ตามที่เราแสดงตัวว่าเรามาอย่างเป็นมิตรนะ เราจะช่วยให้คุณทำงานได้ดีขึ้นนะ เราเป็นพวกเดียวกันนะ พร้อมทั้งให้ความเคารพในตัวเค้าและหน้าที่การงานเค้ามากเพียงพอ เมื่อนั้นกำแพงมันจะค่อยๆลดระดับลงครับ แล้วสุดท้ายป้อมในกำแพงมันจะเป็นของเรา ในปีที่ 2 นี้เงินเดือนผมเพิ่มขึ้นเป็น 32K ครับ บวกกับเจ้าของเค้าให้พิเศษส่วนตัวผมอีก 5K ต่อเดือนนอกสลิป รายรับผมขึ้นไปที่ 37K เมื่อจบปีที่ 2 ที่ทำงาน

พอขึ้นปีที่ 3 ผมกำลังจะอายุ 30 ปีในไม่ช้า เมื่อเทียบกับเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน หรือแม้แต่ในพันทิพ ห้องสีลม (ที่เงินเดือนแพงที่สุดในประเทศ) ก็ตาม เงินเดือนผมเรียกว่าไม่เยอะเลย แม้จะรู้สึกว่าไม่น้อยแล้วก็ตาม ผมเลยเริ่มมองหาหนทางที่จะเปลี่ยนงาน เพื่ออนาคตที่ดีขึ้น ไปทำงานในบริษัทใหญ่ขึ้น แม้ว่าที่ทำงานในตอนนั้น จะมีเพื่อนร่วมงานที่ดี เจ้านาย(ของ)ที่เอ็นดูเรา เรียกเราว่าลูกทุกคำ ก็ตาม ความคิดในตอนนั้นคือ ความรู้ที่ได้จากที่นี่มันแทบจะหมดแล้ว สิ่งที่เราต้องการคือประสบการณ์ที่หลากหลายยิ่งกว่านี้ เลยอยากลองของ หาปัญหาใส่หัว ซึ่งในขณะนั้น ผมเรียนปริญญาโทไปด้วยในวันเสาร์-อาทิตย์ เนื่องจากอย่างที่บอกไปตอนแรกนั่นแหล่ะ ครับ ช่วงแรกว่างจัด - -*

ตอนนั้นเริ่มจะมีความรู้จากการเรียนปริญญาโทมาบ้างแล้ว เลยเริ่มจากการวิเคราะห์ตัวเอง ซุนวูว่าไว้ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เลยเริ่มจากการ SWOT ตัวเอง เพื่อให้รู้เราก่อน พบว่า เราเป็นพนักงานระดับกลาง ทำงานในบริษัทเล็ก ผลงานพอมี แต่ยังไม่ได้พิสูจน์ ข้อดีของผมคือการรู้จักพนักงานในทุกระดับ สามารถเข้ากับคนอื่นได้ง่ายมากถึงมากที่สุด ผลงานเด่นของผมคือการรับมือกับปัญหาเรื่องคน เหมือนกับนักเตะดาวรุ่งในแชมป์เปี้ยนชิพ ที่ยังไม่เคยลงสัมผัสกับพรีเมียร์ลีคเลย แต่ด้วยความมั่นใจว่าเราก็มีของดี แต่ป้ายโฆษณาไม่ชวนเชื่อให้คนมาซื้อเลย (อย่างที่บอก เกรด 2.02 จบ 8 ปี F เยอะจนนับไม่ถูก) เราเลยต้องหาวิธีที่ลูกค้า (บริษัท) จะได้ทดลองชิมฟรีกับเราก่อน หรือก็ต้องเอาสินค้าเราไปยัดปากลูกค้าที่อยากกินให้ได้

เลยเริ่มวางแผนตั้งแต่ต้นปี เราจะเริ่มหางานหลังเดือนเมษา โดยการอัพเดทประวัติไว้ในเว็บ เพราะเดือนเมษา นักศึกษาใหม่จะได้งานกันเกือบหมดแล้ว คู่แข่งของเราก็จะลดลงไป งานที่เหลืออยู่ จะเป็นงานประเภทที่ว่า ขาดแคลนกะทันหัน งานเผือกร้อน หรือนักศึกษาที่เข้าไปตอนต้นปีทำงานไม่ดี หรือทำงานดีแต่ไปได้งานที่ดีกว่า เรียกว่าบริษัทตกรถนั่นแหล่ะ เริ่มหาคนทำงานในช่วงที่ 2 ของปี ช่วงนี้อำนาจการต่อรองของคนหางานจะค่อนข้างสูง เพราะช่วงกลางปีคนไม่ค่อยอยากออก เพราะบางบริษัทมีออกโบนัสกลางปี บางคนก็กลัวอดโบนัสปลายปี เลยไม่ค่อยมีคนย้ายงาน หน้าที่ของผมก็คือ ค้นหาบริษัทที่ต้องการความสามารถด้านที่ผมมี คือด้านการจัดการปัญหาเรื่องคน มีทั้งบริษัทตกรถ และ บริษัทเผือกร้อนโทรมาเรียกสัมภาษณ์หลายที่ ผมก็เดินสายสัมภาษณ์เรื่อยๆ ตั้งแต่เมษา พฤษภา มิถุนา กรกฏา หาบริษัทที่เหมาะสมกับตัวเอง ความกดดันแทบไม่มี เพราะมีงานประจำทำอยู่แล้ว เงินเดือนผมตั้งไว้ในใจว่าต้องไม่น้อยกว่า 40K ไม่งั้นไม่ย้าย ด้วยความที่ประสบการณ์ยังน้อย และเกรดเน่าหนอนด้วย ทำให้ส่วนใหญ่ไม่สู้เงินเดือน

เหมือนบุญพาหรือวาสนาส่งไม่รู้ ทำให้มีบริษัทเผือกร้อนหัวแถวขนาดกลางในธุรกิจอุตสาหกรรมที่ผมทำงานอยู่เรียกไปสัมภาษณ์ ผลออกมาว่าผมได้งาน แต่เงินเดือนจะลดไปอยู่ที่ ราวๆ 32K + OTเฉลี่ยราว 3K-4K ตอนนั้นผมชั่งใจอยู่นานมาก เพราะว่าโอกาสจะทำงานในบริษัทขนาดนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆแน่ๆ ถึงเงินเดือนจะลด แต่ก็แลกมาด้วยโอกาส และ ความสามารถในการย้ายงานในอนาคตที่ดีกว่าตอนนี้แน่ๆ สุดท้ายผมเลยตอบตกลงไปกับที่นี่ ตกลงเซ็นสัญญาเริ่มงานกันเรียบร้อย

เดือนสุดท้ายที่ทำงานที่เก่า ในขณะที่ผมลางานไปหาเช่าที่พักใหม่ ที่ใกล้ที่ทำงานใหม่นั่นเอง บริษัทระดับกลางอีกที่ก็ได้โทรมา พอดีว่าอพาร์ตเม้นท์ที่ผมดูอยู่ อยู่ห่างจากบริษัทหลังนี่ไม่ถึง 15 นาที ผมเลยตอบตกลงตัดสินใจไปสัมภาษณ์งานกับที่หลังนี่ตอน 6 โมงเย็นของวันนั้นเลย ผลปรากฏว่า ที่หลังนี่ตอบโจทย์ผมได้มากกว่า ปัญหาที่เค้ากำลังเผชิญอยู่และแก้ไขไม่ได้คือเรื่องคน ซึ่งผมบอกเลยว่าเบากว่าที่เก่าที่ผมทำงานมาก ผมเสนอทางออกให้เค้าหลายๆทาง ผู้จัดการโรงงานเค้า OK ทันทีกับเงินเดือน 40K ที่ผมเสนอไปโดยไม่ต่อรองซักคำ แต่เค้ามีข้อแม้ว่า 3 เดือนแรก เค้าจะให้ 35K (ไม่รวมโอทีอีกราวๆ 10K-15K) ก่อน (รวมใบรับรอง) ถ้าผ่านโปร 3 เดือนแรกจะขึ้นเงินให้เป็น 40K ตามที่ขอ โดยเค้าจะไปเป็นคนต่อรองกับ HR ให้เอง สรุปผมเลือกที่นี่อย่างไม่ต้องลังเล งานท้าทาย และอยู่ในวิสัยที่จะทำได้ เงินเดือนโอเค เลยโทรไปบอกบริษัทเผือกร้อนหัวแถวเลยว่าผมขอยกเลิกไม่ไปทำงาน ด้วยเหตุผลว่ามีบริษัทที่ต้องการตัวผมจริงๆและสามารถสู้เงินเดือนผมได้ HR ที่นั่นก็น่ารัก และเข้าใจครับ เลยจากกันด้วยดีครับ

หลังจากยื่นใบลาออก เจ้าของบริษัทเก่าเค้าก็เรียกผมไปคุยนะครับ แล้วก็ถามถึงสาเหตุที่ออก เพราะเค้าไม่อยากให้ผมออก เค้าเสนอจะเพิ่มเงินเดือนให้ มีห้องแยกให้ทำงาน อนาคตให้ช่วยเค้าบริหาร แต่จุดหมายผมไม่ได้อยู่ที่เงินเดือนเพียงอย่างเดียวแล้วครับในตอนนั้น ใจผมมันบินลอยไปไกลกว่านั้นแล้ว ผมอยากได้ประสบการณ์ใหม่ อยากรู้อยากลองอะไรใหม่ๆ เลยพูดคุยกับเจ้าของ (เค้าเรียกผมว่าลูก ผมเรียกเค้าว่าป๊า) จนเข้าใจ ก็ตกลงกันว่า ซักวันหนึ่งที่ผมปีกกล้าขาแข็งพอแล้ว ผมจะกลับไปทดแทนบุญคุณป๊า ช่วยป๊าบริหารงานบริษัทนะครับ

พอเริ่มงานที่บริษัทใหม่ (บริษัทปัจจุบันนี้) 3 เดือนที่ผมทดลองงาน ผลงานถูกใจผู้บริหารมาก เพราะปัญหาที่เคยแก้ไม่ได้อย่างเรื่องคนเก่าแก่นี่ ผมเข้ามา 3 เดือนผมสั่งซ้ายหันขวาหันได้เลย ปัญหาที่เคยถูกซุกไว้ใต้พรมอยู่ผมไปแงะออกมาได้หมด HR manager ถึงกับเคยเรียกผมเข้าไปคุยในห้องเลย ว่าผมไปทำอะไรอีท่าไหน ทำไมปัญหาที่เค้าเจอมาเป็น 10 ปี ผมแก้ให้เค้าได้กว่า 60% ใน 3 เดือน สรุป หลังพ้นทดลองงาน 3 เดือน เงินเดือนผมกระโดดไปที่ 42K (รวมใบรับรอง) มากกว่าที่ได้ตกลงกันไว้ แถมค่าใบรับรองจากปกติให้ 5K ก็เพิ่มให้เป็น 10K ทำให้เงินเดือนผมวิ่งไปที่ 50K+ เมื่อรวมสวัสดิการอื่นๆเช่นค่าอาหาร เบี้ยขยัน และอื่นๆแล้ว นอกจากนี้ผมยังมีโอทีให้ทำอีก เดือนละไม่ต่ำกว่า 10K (ถ้าเลือกที่จะทำ)

ตอนนี้ที่ผมมีเวลาว่างมาพิมพ์ให้อ่านได้นี่ผมก็ยังทำงานอยู่ นานๆทีจะมีปัญหาเข้ามาให้แก้ซักที ปกติงานว่าง ตรวจเอกสาร อ่านเอกสารอะไรไปเรื่อยเปื่อย ประสาคนทำงานออฟฟิสทั่วๆไป แต่ถ้างานเข้า ผมก็ยุ่งเหมือนกัน เช่นเมื่อคืน กว่าจะกลับบ้านได้ กดไปเที่ยงคืนกว่า อดดูน้องมุนินท์แรงเงาเลย T_T ฉะนั้นที่บางคนบอกว่าคนเงินเดือนสูงต้องทำงานหนัก ไถนาเป็นวัวเป็นควาย ผมนอนยันให้เลยว่าไม่จริงทุกคนหรอก เพื่อนรุ่นพี่ผมเป็นระดับกรรมการบริษัท แมร่มเที่ยวทุกวันเลย เช้านั่งดูกาแฟ จิบหนังสือพิมพ์ก่อนไปทำงาน เอ๊ย! นั่งอ่านกาแฟ เอ๊ย! นั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์ เอ๊ย! ถูกแล้ว!! ก่อนไปทำงานยังได้เลย แต่เวลาทำงานพี่แกก็ทำงานจริงจัง บางทีตี1 ตี2 ยังไม่ได้กลับบ้านก็มี งานส่วนใหญ่ก็เป็น Mission impossible นั่นแหล่ะ เช่น ต้องหาทางปิดถนนอโศก-เพชรบุรี ในช่วงเวลา 15.00-20.00 ให้ได้ เพื่อไปซ่อมท่อสายเคเบิ้ล ซึ่งผมเองยังนึกไม่ออกเลยว่าจะทำได้ยังไง(วะ)

ก็ไม่รู้ว่าประสบการณ์ของมนุษย์เงินเดือนแบบผมจะพอเป็นประโยชน์กับใครบ้างหรือเปล่า เพราะถามว่าประสบความสำเร็จหรือยัง ผมก็ตอบว่ายังแน่นอน คนที่อายุเท่ากันแต่เงินเดือนสูงกว่าผมก็มี (แถมมาอยู่ในสีลมเยอะด้วย) เจ้าของกิจการเงินล้านก็เยอะ ประวัติน่าสนใจกว่าผมตั้งเยอะ แต่ก็หวังว่าน้องๆที่เริ่มทำงานใหม่พอจะได้แนวทางในการปีนป่ายกำแพงเงินเดือนกันบ้างไม่มากก็น้อย

* * * * *

มีคำถามมาทางหลังไมค์ครับ เกี่ยวกับการซื้อใจคน ว่าจะทำอย่างไรหากต้องซื้อใจลูกน้อง ขออนุญาตตอบรวมเลยนะครับ ไม่ว่าเพื่อนร่วมงานจะอายุเท่าไร

ทำเหมือนตอนจีบสาวครับ

น่าน................ งง งง งงล่ะสิ สำหรับสาวๆ อย่าเพิ่งงงครับ หลักการมันง่ายมาก คนเค้าชอบอะไรก็เอาไปให้เค้าสิครับ เหมือนเวลาคุณชอบสาวอยู่คนหนึ่ง สาวเจ้าชอบดูซีรี่เกาหลีมาก หากคุณอยากพิชิตใจสาวเจ้าคุณจะทำอย่างไร ระหว่าง

1. เอาซีรี่คอฟฟี่ปริ๊นซ์ครบชุด บรรจุในกล่องดีวีดีพิเศษ Limited edition มีเพียง 8 ชุดในโลก พร้อมผ้าคันคอ เอ๊ยผ้าพันคอเหมือนที่กงยู พระเอกใส่พร้อมลายเซ็น

กับ

2. เอาซีรี่แหล่พระรถเมรีย์ของทศพล หิมพานไปให้ทั้งชุด บรรจุในกล่องลงรักปิดทองสวยหรู พร้อมพระหลวงพ่อแช่ม วัดท่าฉลองภูเก็ต ให้เอาไปบูชาที่บ้าน

คำตอบมันก็เห็นกันอยู่หลัดๆ เอ๊ย ชัดๆ (ตึ่งโป๊ะ! หลายมุกแล้วนะเม้นนี้) ฟังดูเหมือนจะทำง่ายนะครับ แต่ตอนทำจริงๆมันไม่ง่ายหรอก ตั้งแต่กระบวนการแรกแล้วว่าจะหาได้อย่างไรว่าเค้าชอบอะไรกัน แค่เข้าใกล้เค้าก็ตั้งกำแพงสูงเด่นเป็นสง่า ราวกับป้อมไอเซนต์การ์ดในลอร์ดออฟเดอะริงที่ไม่มีวันตีแตกได้ ถ้าไม่เอาทัพเอนท์มารุมตีเหมือนในเรื่อง (เริ่มไปไกลล่ะ กลับมาเข้าเรื่องก่อนวุ้ย -*-) แล้วไหนจะต้องเข้าไปคุยแบบเนียนๆไม่ให้สาวเจ้ารู้ตัวอีก ว่าเรากำลังเข้ามาสืบความลับ แล้วไหนลูกน้องยังมีตั้งหลายคนอีก จะเอาใจคนโน้น คนนี้ก็ไม่ชอบ เอาใจคนนี้มากไป คนโน้นก็มาเขม่นอีก

วิธีการแบบบ้านๆวิธีการแรกคือ พยายามเข้าไปคลุกคลีกับพนักงานครับ หากเค้าตั้งกลุ่มก๊กกันก็ไม่เป็นไร เข้าก๊กไหนก่อนก็ได้ที่คิดว่าคุณพอจะเนียนๆเข้าไปคุยด้วยได้ คุยบ้าง หยอดบ้าง แหย่บ้าง อย่าให้เหยื่อรู้ตัว ทำตัวขำๆไปก่อนอย่าเพิ่งถามเรื่องงาน ทำแบบนี้ไปซักพัก 1-2 สัปดาห์ แล้วค่อยๆขยับไปแหย่คนอื่นต่อครับ ค่อยๆขยับเข้าหาตัวเป้าหมายของเราเรื่อยๆนะครับ เป้าหมายของเราจะได้ไม่รู้สึกแปลกแยก เหมือนตอนจีบสาว ค่อยๆเข้าทางเพื่อนครับ เพื่อนนี่แหล่ะตัวดีเลย ตั้งน้ำมันร้อนๆ ใส่ฟืน ช่วยให้สาวเจ้าทอดสะพานมาให้เรานักต่อนักแล้ว ที่สำคัญต้องเน้นในที่นี่คือ อย่าทำตัวให้เหนือกว่าคนอื่นครับ เค้ากินข้าวกับแกงถุงเราก็กินแบบเค้า เค้ากินกาแฟชงใส่ถุง ถุงละ 12 บาทมัดเชือกเสียบหลอด เราก็ต้องกินได้ ไม่ใช่ถือสตาร์บั๊กร่อนไปร่อนมาให้เค้าหมั่นไส้เอา ตอนเที่ยงเค้าสั่งข้าวกล่องกัน เราก็สั่งด้วย กินได้ก็กิน กินไม่ได้ค่อยแอบไปซื้อข้าวมากินเองเงียบๆทีหลัง ประมาณนั้น แล้วมันจะเนียนครับ คนกินข้าวหม้อเดียวกัน ส่วนมากมักช่วยเหลือกันก่อนอยู่แล้วด้วยความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันครับ

พยายามแสดงตัวว่าเรามาอย่างเป็นมิตร ตั้งแต่แรกครับ ตอนผมเข้าทำงาน ผมเรียกหัวหน้าไลน์แต่ละไลน์มาคุยเลย แยกหน้าที่กันให้ชัดเจน ว่า "ผมมีหน้าที่มาช่วยให้คุณทำงานได้ง่ายขึ้นนะ บอกตรงๆประสบการณ์การทำงานผมสู้คุณไม่ได้หรอก (เริ่มยอให้ตรงจุด โดยการพูดความจริงที่ใครๆก็รู้ ที่เค้าอยากฟังเพื่อเป็นการทำลายกำแพงด่านแรกก่อน) แต่ในส่วนการประสานงานกับฝ่ายบริหารเนี่ย เค้าน่าจะฟังผมบ้างแหล่ะ (ยกข้อดีที่เป็นความจริงตามต่อมา ทำลายกำแพงด่านที่2) ถ้างานตรงไหนที่ติดขัดให้มาบอกเลย ผมพร้อมช่วยเต็มที่ (เสนอตัวทำงาน ประกาศพื้นที่งานของตัวเองให้ชัดเจน) หรืออะไรก็ตามที่แสดงให้เห็นว่า เราไมได้ไปแย่งความสำคัญของเค้ามานะ เรามาช่วยให้เค้ายิ่งเด่นขึ้นมาต่างหาก ยิ่งเราทำงานได้ งานเข้ายิ่งมีคุณค่า ตบท้ายด้วยการอ้อนเล็กๆแบบพองาม "ผมยังต้องพึ่งลุงแช่มอีกหลายอย่าง ลุงแช่มอยู่ที่นี่มานานกว่าผมมาก ถ้าอันไหนผมทำไม่ถูกลุงแช่มช่วยเตือนผมด้วยนะครับ"

ต่อไปเป็นศิลปะการสื่อสารครับ หลายๆท่านตอนเรียนน่าจะได้เรียนวิชานี้ วิชา การสื่อสารในชีวิตประจำวัน กส.1870 จำนวน 2 หน่วยกิต........เฮ้ย ไม่ใช่แล้ว เข้าเรื่องๆ เวลาทำงานใช้คำพูดให้ softๆ นิดหนึ่งครับ แต่ก็อย่าทำตัวอ่อนจนโดนดูถูกได้ เช่น เราอยากให้พนักงานทำงานให้เราสักชิ้นหนึ่งนอกแผน อย่าเข้าไปสั่งตรงๆว่า "ลุง ทำไอ้พรรณนี้ให้ชิ้นนึง! เอาด่วนๆนะ จะรีบใช้" ไม่เอา ไม่พูดนะครับแบบนี้ ถึงเราจะเป็นหัวหน้า มีสิทธิ์ในการสั่งงานลุงคนนี้อย่างเต็มเปี่ยมก็ตาม ถามว่าพอเราสั่งไปลุงแกทำให้ไม๊ ด้วยตำแหน่งแกก็จะทำให้นะครับ แต่พูดไปแบบนี้ก็จะกินแหนงแคลงใจกันเปล่าๆแน่นอน ปรับคำพูดคำจาซะใหม่ หัดอ้อม+ใส่ประโยคคำถามลงไปบ้าง เช่น "ลุง(ชื่อ สมมุติชื่อแช่ม)แช่ม(การเรียกชื่อสำคัญมากนะครับ ขอเน้น)ครับ พอดีมันมีงานงอกมานอกแผนชิ้นหนึ่ง ที่ผมต้องรีบใช้ ลุงพอมีเวลาช่วยทำให้ผมหน่อยได้ไหมครับ" เท่านี้คนพูดก็ได้งาน คนทำก็แฮปปี้ และแล้วพระเอกกับนางเอกก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขสืบไป.......................เฮ้ย ยังไม่จบ - -* กลับไปเปรียบเทียบกับการจีบสาว ถ้าเดินเข้าไปหาสาวเจ้าโต้งๆเลยแล้วบอกว่า "เป็นเมียผมเถอะ" 100ทั้ง100ครับ ไม่โดนเพื่อนสาวเจ้าถีบยอดหน้าออกมาก็แปลกแล้ว

ใช้เงินและผลประโยชน์ซื้อครับ ไม่ได้ฟังผิดหรอกครับ ผมไม่ได้โลกสวย เอาทฤษฏีเลอเลิศมาขายฝัน ในการทำงานต้องใช้เงินซื้อใจคนจริงๆ แต่ไม่ใช่ว่าอยู่ๆคุณจะเอาเงินไปฟาดหัวคนมานะครับ แบบเอาเงินไปแสนนึง แล้วทำงานตามอั๊วสั่ง อันนั้นพอเงินหมด คนก็ไป ศิลปะการใช้เงินมันมีครับ เช่น ช่วงหนึ่งที่ไลน์ต้องหยุด เพราะเครื่องจักร break down ช่างกำลังระดมซ่อมกันอย่างเต็มที่ มีงานทำความสะอาดตึกภายนอกโรงงานที่ต้องการคนไปช่วยทำ ได้ขอคนว่างงานไปช่วยพอดี ผมก็โยกคนที่ว่างอยู่เพราะเครื่องจักร break down ไปช่วยทำ พอทำไปสักพัก ต้องมีการให้รางวัล ผมก็ให้เงินเด็กคนหนึ่งที่มาช่วยนี่แหล่ะ ไปซื้อน้ำอัดลมเย็นๆ 2 ลังมาเลี้ยงกัน 2 ลังไม่ถึง 500 แต่เราได้งาน ได้ใจเด็ก แถมได้หน้า ในฐานะที่คุมพนักงานลูกน้องของตัวเองได้

อีกอย่างหนึ่งที่อยากจะเสริมก็คือ เวลาเราทำดีแล้วต้องบอกนะครับ อย่าทำดีแล้วเงียบๆ มันไม่เกิดประโยชน์ อย่างในกรณีข้างต้น ผมใช้วิธีการบอกแบบปากต่อปาก โดยการใช้เด็กที่ทำงานอยู่เนี่ยแหล่ะเป็นคนไปซื้อ และเป็นคนแจกโดยให้เป็นจุดกระจายข่าวไปด้วยในตัว คนที่มาเอาน้ำก็อยากรู้แหล่ะว่าเอาของมาจากไหน ต้องถามแน่นอน การสื่อสารแบบปากต่อปากมักจะให้ผลมากกว่าการสื่อสารทางกว้างวิธีอื่นครับ เพราะความน่าเชื่อถือจะสูง และอารมณ์ร่วมจะสูงด้วย นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะซื้อใจคนด้วยเงินที่คุ้มค่า

บางคนอาจถามนะครับว่า มันคุ้มเหรอ กับการเอาเงินเดือนเราไปทำอะไรแบบนี้ อย่างการพาลูกน้องไปเลี้ยง พาหัวหน้าไลน์ไปเลี้ยง ผมเคยพาหัวหน้าไลน์ไปเลี้ยง กินซีฟู๊ดริมทะเล เหล้าไม่อั้น แบบไม่อ้วกนอนเหมือนหมาไม่ต้องกลับบ้านมาแล้ว หมดไปหลายหมื่นนะครับ ผมก็พาไปมาแล้ว ผมคิดแบบนี้ครับ เงินเดือนที่เราได้มาจากบริษัท เป็นเงินที่บริษัทจ้างให้เราทำงาน หากเราเอาเงินนั้นไปจ้างคนอื่นให้ทำงานแทนเราได้ โดยเราได้หัวคิว ทำไมเราถึงจะไม่ทำ อันนี้โดยส่วนตัวผมเรียกว่าเป็นการใช้เงินทำงานเหมือนกันครับ ถ้าทำดีๆ เดือนๆหนึ่งคุณแทบไม่ต้องทำงาน เพราะมีคนทำแทนหมด แต่คุณได้ผลงาน แถมได้ใจลูกน้องอีก ครบสูตร แก่ ใจดี สปอร์ต กทม. กันเลยทีเดียว - -*

อีกวิธีหนึ่งคือการสัญญาครับ อันนี้ส่วนมากใช้เฉพาะกับบุคคล ไม่ใช้กับคนหมู่มาก และวิธีนี้ค่อนข้างจะต้องเป็นความลับ ไม่ให้ใครรู้ เช่น ตอนเรียกหัวหน้าไลน์มาคุย ผมบอกเลยว่า ถ้าคุณช่วยงานผมได้ผลงานที่ดี ปีนี้ผมประเมินผลงาน(ให้ผลประโยชน์)ให้คุณเต็มที่ พอปลายปี แม้ว่าผลงานอาจไม่ดีเท่าที่คิด ผมใช้วิธีเอาใบประเมินให้พนักงานคนนั้นเขียนเองเลย แล้วมานั่งคุยกัน ว่าในแต่ละช่องเค้าควรจะได้คะแนนเท่าไร แต่วิธีนี้จะใช้ได้เฉพาะกับคนที่เราประเมินแล้วนะครับว่าเป็นคนที่กระหายความก้าวหน้า นิสัยค่อนข้างตรงๆหน่อย ส่วนมากเป็นผู้ชาย วัยกลางคนซัก 40 กว่าๆจะได้ผลดีครับ

ทั้งหลายทั้งปวง ในความเป็นจริง มันมีเทคนิคมากกว่านี้อีกเยอะครับ จะนำมาเขียนเล่าตรงนี้ก็คงไม่หมดดี เพราะการใช้คนมันเป็นศิลปะครับ ทฤษฏีมีนิดเดียว ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากกว่า ต้องฝึก ต้องลงมือทำครับ ถึงจะใช้เป็น หากมีข้อสงสัยก็ถามกันเข้ามาได้ครับ ตอบได้จะตอบ ตอบไม่ได้ก็สารรูป.........ภาพ!!! ตามตรงว่าไม่รู้ครับ หวังว่าประสบการณ์ที่เอามาแชร์ตรงนี้คงพอเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นบ้างครับ

@ สิ่งที่ควรรู้ ก่อนเรียน Master of Business Administration (MBA)