ห้องตรวจตา...ชั้น 5 อาคารเฉลิมพระเกียรติ

Blogนี้ผมตั้งใจทำขึ้นเพื่อตอบแทนสดุดีนโยบายบัตรทองประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรคของรัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร
จะรีบไปไหน...จะรีบไปไหน...รอโหลดซักกะเดี๋ยวซิครับ คลิก...นโยบาย"ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ"

* ขอขอบคุณที่ติดตามรับชมและช่วยประชาสัมพันธ์ลิงค์ http://eye009.blogspot.com/ ให้แพร่หลาย *
@ ปู้นนน...!!! คนเมืองใต้เจียงใหม่ของหมู่เฮาลงไปตางปู๊นนน..... * * * * * @ 2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย . . . ร่วมด้วยช่วยกันเผยแพร่สื่อสารถึง"คนเสื้อแดง"ทั่วไทยและทั่วโลก . . . ขอขอบพระคุณเจ้าของclipภาพถ่ายและบทความทุกๆท่านที่กรุณาเอื้อเฟื้อแบ่งปัน . . .น้ำใจซื้อขายไม่ได้ แต่น้ำใจให้กันได้...อิอิ


PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับส่วนต่างๆและระบบการทำงานของดวงตา, โรคตาต่างๆ และวิธีการดูแลรักษาดวงตาอย่างถูกต้องที่สามารถปฏิบัติตามในเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง... ขอขอบคุณ www.knowledge.com

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

82 ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา By: kimeng suk

@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ 027 Pictures...Bangkok Underwater 26 October 2011
@ 029 ชมภาพชุด! นายกฯปูลงเรือเยี่ยมประชาชนเขตดอนเมืองที่ถูกน้ำท่วมขัง...และภาพสวยๆจากสื่อมะกัน
@ 06 ทหารลูกผู้ชายจริง มีหรือไม่? นายกฯปู..จะเรียกตัวมาใช้งานได้ถูก..คน
@ 07 อ.จูงลา จะล่ารายชื่อไล่นายกฯปู ถาม ปชช. 16 ล้านเสียง หรือยัง???
@ ด้วยความเคารพ...ผมรู้สึกว่าพวกกระบวนการโป้งๆชึ่ง มันอยากให้กรุงเทพฯวิบัติจากน้ำท่วม
@ ชมภาพสวยๆทั้ง 3 ชุด บาหลี-ต้อนรับฮิลลารี-บันคีมูนที่ทำเนียบฯ
@ ทำไม? ทำไม?? ทำไม????????????
@ 08 เห็นด้วยไหม ว่าความเป็นจริง ประเทศไทย เกิดปัญหา จากความไม่กล้า และกฎหมายปัญญาอ่อน
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ ชุดที่1
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน เวียดนาม ชุดที่2
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน สิงคโปร์ ชุดที่3
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน อินเดีย ชุดที่4
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ฟิลิปปินส์ ชุดที่5
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ร่วมประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ ชุดที่6
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน มาเลเซีย ชุดที่7
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือนกองทัพไทย
@ ภาพชุดงานสโมสรสันนิบาต วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5ธ.ค.2554
@ "ดร.สุนัย" เอาจริง ยื่นเอกสาร "ศาลอาญาระหว่างประเทศ"
@ แจกปฏิทิน พ.ศ.2555 ครับ เชิญคลิกโหลดที่นี่...
@ "เจ้าอาวาสวัดดอนเมืองจำได้ นายกฯ "ด.ญ.ปู" ทะเลาะกับหมาแมว
@ ชมภาพชุด&Clip...งานแต่งน้องเอม12ธ.ค.54
@ อีกหนึ่งเสียงที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญครับ
@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
@ 52... นี่จึงเป็นนายกรัฐมนตรีที่ผมอยากได้ครับ
@ นายกฯที่ฝ่ายต่อต้านกล่าวหาว่าโง่ในสายตาผม
@ "นายกฯปู"เอาใจคนเมืองคอน ใจป้ำ อนุมัติสร้างทางเชื่อมสะพานทันที 53 ล้าน หลังรัฐบาล"มาร์ค"ไม่ดูแล

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...


ขอขอบคุณและขออนุญาตคุณ kimeng suk นำข้อเขียนของท่านมาลงไว้เว็บนี้นะครับ

ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค (เริ่มตอนแรก 27 ธ.ค.2554)

ตอนที่2 "คนไข้คนแรกของหมอใหม่หมาดๆ"
ตอนที่3 "ผีหลอกหมอ"
ตอนที่4 "อะไรทำให้ รวยและ รวย จากคนจนสุดๆกลายเป็นเศรษฐีใหญ่"
ตอนที่5 "ถูกพ่อดูถูกถึงได้เป็นหมอ"
ตอนที่6 "ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมเป็นหมอทำแท้ง"
ตอนที่7 "ทำไมถึงจนอย่างนี้"
ตอนที่8 "อีแปะมันหด-อัศจรรย์ปาฏิหาริย์-โด่ไม่รู้ล้ม"

พอจบหมอเป็นอินเทอร์นก็แต่งงานกับหมอด้วยกัน วางแผนจะไปเรียนต่อที่อเมริกาทั้งคู่ สมัยนั้นหมอไปได้ง่ายมาก เพื่อนๆก็ไปกันหมด ส่วนมากไม่กลับมา ติดต่อไว้เสร็จ ได้เงินเดือนคนละ 1,000 เหรียญ(สมัยก่อน) ที่พักและอาหาร 3 มื้อ รวยละเราได้เงินได้ความรู้ ไม่ไปก็โง่เต็มที

เตรียมตัวเดินทางไว้เรียบร้อย ก็ไปลาพ่อ ไปบอกว่า เตี่ย หนูจะไปเรียนต่อเมืองนอกแล้วนะ จะไปนานเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้ เตี่ยฟังแล้ว อึ้งไปพักหนึ่ง แล้วน้ำตาไหล แล้วร้อง ฮึ บอกว่าเตี่ยไม่สบาย (เตี่ยป่วยเป็น เบาหวาน โรคเครียด และวัณโรค ต้องเป็นคนดูแลเตี่ยคนเดียว เพราะคนอื่นไม่ได้เรียนหมอ ต้องพาไปหาหมอประจำ) ไอ้เราฟังแล้ว สะดุ้งเล็กน้อย แล้วกลับมานอนคิด ยิ่งคิดยิ่งสงสารเตี่ย เพราะเตี่ยมีลูกคนเดียวที่เป็นหมอ และฝากผีฝากไข้ไว้กับลูกคนนี้ แล้วเราจะมาทิ้งเตี่ยไปได้หรือ คิดถึงน้ำตาเตี่ยแล้ว ไปไม่ได้แน่นอน

คิดใหม่ รอเตี่ยตายแล้วค่อยไปก็ได้ สามีก็ตกลงด้วย เพราะพ่อเขาก็ไม่ค่อยสบายด้วย อีกสองปี เตี่ยก็ป่วยหนัก เราก็เฝ้าดูแล เช็ดขี้เช็ดเหยี่ยว นั่งเฝ้าเตี่ยแทบไม่ได้ไปไหน จะลาออกจากราชการมาเฝ้าเตี่ยแต่เจ้านายไม่ยอมให้ลาออก หาวิธีช่วยเหลือไว้ เตี่ยตาย เราก็คิดว่า ไปได้แล้วคราวนี้ อ้าวยังมีแม่และทางฝ่ายสามีอีก ไปยังไม่ได้อีก รอก่อน รอให้ตายหมดแล้วค่อยไป รอๆๆๆ พอตายกันไปหมดแล้ว เราก็แก่ ทั้งสองคน ทำงานหนักไม่ได้แล้ว เขาไม่รับคนแก่ด้วย ตกลงอยู่เมืองไทย เรียนต่อที่เมืองไทย และก็เป็นหมอบ้านนอกทั้งคู่

เป็นหมอบ้านนอก ทำงานเงินเดือนรับราชการเริ่มต้นที่ 1,300 บาท ไม่มีรายได้พิเศษ ไม่มีค่าอยู่เวร ค่าผ่าตัด ค่าอะไรต่ออะไรเหมือนสมัยนี้ ต้องส่งน้องเรียนหลายคน ไม่พอใช้ ต้องเปิดคลินิก เปิดตั้งแต่ 7 โมงเช้า สายไปทำงานโรงพยาบาล เที่ยงทำคลินิก บ่ายทำโรงพยาบาล เย็นทำคลินิกถึง 2 ทุ่ม ถึงจะหยุดทำงาน กลางคืนก็ถูกตามอีก บางคืนไม่ได้นอน กินข้าวอยู่บางครั้งก็ต้องทิ้งชามข้าว ฉุกเฉินๆๆๆๆ

ชีวิตพอมีพอกินไม่ร่ำรวยเหมือนเพื่อนๆที่ไปอยู่อเมริกา เขามีบ้านใหญ่โต มีเงินมากมายทุกคน แต่เราเองไปเล่นหุ้น โดนกินเรียบ มีแต่หนี้สิน เพิ่งปลดจำนองบ้านได้ไม่นาน ตอนนี้ยังมีหนี้เหลืออยู่ ลำบากหน่อย แต่ก็ดีกว่าเก่า คิดๆดูแล้ว เราไม่มีเงิน แต่เรา 2 คน มีสิ่งหนึ่งที่คนไปอเมริกาไม่มี ก็คือความทรงจำที่เมื่อคิดขึ้นมาทีไร ก็มีความสุขทุกครั้ง คือภาพที่เราได้ป้อนข้าวป้อนน้ำ เช็ดขี้เช็ดเยี่ยว เตี่ยกับแม่

By boy: ข้อความข้างบนนี้ ไม่ค่อยตรงกับข้อเท็จจริง เพราะช่วงที่อเมริกาต้อนรับหมอไทย เป็นช่วงสั้นๆไม่กี่ปี ช่วงนั้นอเมริกาส่งหมอของมัน มารักษาทหารที่เวียดนาม ช่วงสงครามเวียดนามทำให้ประเทศของมัน ขาดแคลนหมอ

By kimeng suk: ช่วงนั้นอเมริการับหมอไปทำงานอยู่ประมาณเกือบสิบห้าปี ตอนจบแพทย์ฝึกหัดอายุ 24 ปี รอทุกคนตายหมด อายุเกือบ 37 ปี ถือว่าแก่แล้วที่จะไปเป็นแพทย์ฝึกหัดของอเมริกา แต่ถ้าจะไปก็ไปได้ โดยไปเรียน เป็น Fellow เฉพาะทาง หรือ รับทุนเรียน

แต่ถ้าจะไปทำงานด้วยเรียนด้วยแบบหมอไอ้กัน ซึ่งจะได้เงินมากต้องได้กรีนการ์ด ซึ่งเราสองคนเคยได้รับกรีนการ์ดเพราะพี่สาวทำเรื่องขอให้ (พี่สาวแต่งงานกับหมอไปอยู่อเมริกา ไม่กลับมาอยู่เมืองไทยแล้ว) แต่เราไม่ได้ไปอเมริกาเพื่อต่อทุกปี เพราะต้องอยู่ในประเทศนั้น 6 เดือนต่อเนื่องมันถึงไม่หมดอายุ เพราะแม่ยังไม่ตายไปอยู่ไม่ได้ ไปเที่ยวได้ และต้องได้ใบประกอบโรคศิลป์ของเขาด้วย แต่ลูกชายของเราไปเรียนที่อเมริกา ได้กรีนการ์ดตามพ่อกับแม่พร้อมกัน ซึ่งถ้าเขาขอให้พ่อแม่ใหม่เมื่อบรรลุนิติภาวะ และมีงานทำแล้ว จะใช้เวลาขอแค่ สองปีเท่านั้น

ตอนที่เพื่อนๆไปกันเราก็เศร้านะ เขาเหมาเครื่องบินกันไปเป็นลำๆ เราก็ได้แต่อิจฉาเขา อยากไปมาก ได้เงินได้ความรู้ มีหน้ามีตา มีทุกอย่าง เห็นเขารวยก็อิจฉานะ เขารวยกันจริงๆ ส่วนหมอที่เหลืออยู่เมืองไทย บางคนก็รวยมาก ส่วนมากก็พอมีเงินเก็บเผื่อแก่ แต่เราดันเอาไปเล่นหุ้น เพราะโลภมาก เลยเจ๊งสนิท เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าโลภ และอย่าไปเสี่ยงเล่นหุ้น ถ้าไม่มีความรู้เรื่องหุ้นจริงๆ

By sri123: คุณหมอโชคดีที่ได้ดูแลบุพการี ซึ่งเป็นความทรงจำที่ทำให้คุณหมอมีความสุข สุขกาย สบายใจ มีเงินมากมายก็อาจไม่มีสุขค่ะคุณหมอ....

By akausa: ขอบคุณที่มาเล่าเรื่องให้ทราบ....ไม่ต้องเสียดายเลยครับที่ไม่ได้ไปขุดทองที่อเมริกา ผมว่าคุณหมอทำประโยชน์ให้กับพ่อแม่ญาติพี่น้องและสังคมไทยมาเยอะ มันเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ ชีวิตคนเราจะเป็นคนดีมีความสุขได้ไม่ใช่ว่าต้องร่ำรวยมหาศาล มันอยู่ที่ว่าเมื่อคุณเอาตัวรอดในสังคมได้แล้วคุณได้ช่วยเหลือสังคมมากแต่ไหน....ความสุขมันจะอยู่ตรงนี้ครับ.....ดีละที่ไม่ได้ไปไม่งั้นคุณอาจจะเป็นอย่างหมอหน้าโง่หลายๆคนที่เป็นเหยื่อไอ้ลิ้มมัน....55555

By ศาลเตี้ย: ผมว่าคุณ kimeng suk อย่าไปยึดติดกับอเมริกามากนักครับ เมืองไทยอาชีพ หมอ ไม่อดตายครับ เพราะทุกวันนี้อาชีพนี้รายได้มากที่สุดแล้วในบรรดาข้าราชการ

ค่าเวรก็ได้เวรละ 1,200-2,000 บาท ต่อเวร ถ้าเดือนหนึ่งคุณอยู่เวรสัก 15 เวร รายได้เฉพาะค่าอยู่เวรก็ปาเข้าไป 18,000-30,000 บาทแล้ว เงินเดือนคุณอีกถ้าผมประมาณไม่น่าต่ำกว่า 40,000 บาทต่อเดือน ค่าไม่ทำคลินิกอีก เดือนละ 10,000 บาท ค่าประจำตำแหน่ง ถ้าระดับชำนาญการพิเศษ ก็ 10,200 บาท ต่อเดือน ถ้าคุณอยู่ระดับเชี่ยวชาญ เดือนละ 24,000 บาท รายได้คุณเดือนๆหนึ่งก็ปาเข้าไปเหยียด 100,000 บาทต่อเดือนแล้วครับ น่าจะพอใจนะครับ ยิ่งตอนนี้ได้ค่าตอบแทนพื้นที่พิเศษอีก เดทอนละประมาณ 70,000 บาทสำหรับพื้นที่กันดารระดับ 2 เปรียบเทียบกับวิชาชีพอื่น ผมว่าคุณสบายกว่าเยอะ พอใจในระบบราชการเถอะครับ เค้าให้คุณมากพอกว่าวิชาชีพอื่นเยอะ

By boy: หมอสมัยนี้ เงินเดือนมาก เมื่อ พ.ศ.2528 จบแพทย์ เงินเดือน 3,650 บาท อยู่ชายแดนลาว ทั้งโรงพยาบาล มีหมอ 3 คน อยู่เวร คนละ 10 วัน ได้ค่าอยู่เวรเหมาเป็นเดือนคนละ สองพันบาท ต่อเดือน รายได้ ทั้งสิ้น มีเท่านี้จริงๆ

หมอที่ไม่เปิดคลินิก พอเกษียณ ไม่มีบ้านจะอยู่ ถูกคนนินทาว่า หมอคนนี้ คงขี้เกียจ จึงยากจน เป็นคนดี นี่มันเป็นยากนะ แต่สบายใจ....................

ปัจจุบันนี้ ข้าราชการ ที่รายได้ดีที่สุด คือ ศาล และอัยการ รับราชการ ไม่กี่ปี เงินเดือน+เงินประจำตำแหน่ง เกินแสนบาท ไม่ต้องอดหลับอดนอนด้วย

By kimeng suk: ยังได้มากกว่านะ ตอนจบใหม่เงินเดือน 1,300 บาท เท่านี้เอง ใช้งานทั้งวัน วันหยุดต้องมา round คนไข้แต่เช้า แล้วถึงจะไปไหนต่อไหนได้ ไม่งั้นไม่มีใครดูคนไข้ แถมยังต้องอ่านหนังสือไว้สอนนักศึกษาแพทย์จากเชียงใหม่อีก เล็คเซอร์ทีได้เงิน ครั้งละ 80 บาท แต่อ่านหนังสือมาสอนหลายวัน เดี๋ยวนี้ได้เงินมาก งานน้อย มีหมอเยอะ สบายกว่าหมอรุ่นเก่ามากนัก

By boy: ช่วงที่เงินเดือนหมอ 1,300 นั้น น้ำมันเบนซิน ลิตรละ สอง บาท แต่ช่วงที่เงินเดือนหมอ 3,650 นั้น น้ำมันเบนซิน ลิตรละ 13 บาท ช่วงไหน ดีกว่ากัน?

By kimeng suk: เกษียนนานแล้วค่ะ ทำแค่คลินิกเล็กๆน้อยๆ วันละ 2 ชั่วโมงเท่านั้น แก่แล้วค่ะ มีโรค ประจำตัวด้วย

By KMD: กิมเอง นี่ชื่อไหหลำหรือเปล่าครับ เรียกเตี่ยตามแต้จิ๋วหรือเปล่า

By kimeng suk: เป็นลูกครึ่งไหหลำ แต่เรียกเตี่ยเพราะบ้านติดกันกับแต้จิ๋ว เลยเรียกตามเขา เตี่ยก็ไม่ห้าม เพราะเตี่ยพูดแต้จิ๋วเก่ง แต่คนแต้จิ๋ว เขาไม่อยากได้สะใภ้ไหหลำหรอกนะ เขาว่าผู้หญิงไหหลำดุ ไม่ยอมลงให้แม่ผัว แต่งตัวเก่ง ด่าเก่ง เลยมาเป็นลูกสะใภ้ไหหลำด้วยกัน

By Prin: ไปอเมริกาก็ดีนะ ได้ประสบการณ์ รู้วิธีบริหารและระบบการทำงานของคนอเมริกัน ที่ทำให้การแพทย์ของเขาก้าวหน้ากว่าเราแยะมาก มีเพื่อนต่างชาติหลากหลาย รู้นิสัยใจคอของคนชาติต่างๆ เป็นการเปิดโลกทรรศน์ มีโอกาสท่องเที่ยวไปทั่ว ภาษาดีขึ้นมาก สามารถใช้งานได้อย่างดี เพราะต้องทำงานหนัก และใช้ภาษาอังกฤษตลอดเวลา หลังจากนั้นกลับเมืองไทยก็ได้ แต่เสียอายุราชการมาก เพราะเขาไม่คิดให้เท่ากับเวลาที่เสียไป

ความร่ำรวยที่แสวงหาขึ้นกับความต้องการส่วนบุคคล ที่จะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร มีความพอแค่ไหน หมอไทยแยะไปที่ไม่เคยไปนอก เพราะมัวแต่เพลิดเพลินกับเงินทอง ร่ำรวยจากเวชพาณิชมหาศาล

ส่วนแพทย์ที่ไปอยู่ต่างประเทศไม่กลับ ก็เป็นสิทธิของเขา เพราะโลกไร้พรมแดน การมาทำงานรับราชการเมืองไทยอย่างซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพไม่ใช่เรื่องง่าย ดูการต้อนรับบัตรทองของวงการแพทย์ และแพทย์หัวเหลือง ก็น่าจะพอเข้าใจ

By finally: คุณหมอทำถูกต้องที่สุดแล้วค่ะ ประเทศไทยสูญเสียมากมายมหาศาลกับสมองล่อง ลอยไปรับใช้ต่างชาติ แม้แต่ครอบครัวตัวเองก็ไม่ได้ดูแลเขา เฉพาะที่อเมริกาก็ 200 คนได้มั๊ง (ประเทศเราสูญเสียมากใช่ไหมคะ?) ยังที่ประเทศอื่นอีกล่ะ

อยากให้รัฐบาล

1. เพิ่มจำนวนนักเรียนแพทย์ให้มากขึ้น finally มีญาติๆ ที่เรียนเก่ง ฉลาด เขาเรียนหมอกันได้หลายคน แต่สอบเข้าไม่ได้ รัฐต้องเพิ่มจำนวนนักเรียนให้มากกว่าเดิมอย่างน้อยหนึ่งเท่าตัว จะได้มีแพทย์ในประเทศมากๆ

2. เพิ่มเงินเดือนให้สูง เพื่อป้องกันสมองล่อง

3. กำหนดจำนวนปีที่จะทำงานใช้ทุนให้ยาวขึ้น ไม่รับการใช้ทุนเป็นเงิน

4. สอนเรื่องอุดมการณ์ของมนุษย์ โดยเฉพาะปีสุดท้าย ให้รับใช้ประชาชน รับใช้บ้านเกิดเมืองนอน เพราะค่านิยมหรือความคิดของนักเรียนแพทย์หรือครอบครัวที่เข้าใจหรือมองเห็นเป็นเป้าหมายคือ เงิน เงิน เงิน (ไม่ทราบว่าเข้าใจถูกหรือเปล่าค่ะสำหรับความคิดของแพทย์ส่วนใหญ่)

By kimeng suk: คนที่จะเรียนหมอได้ ต้องมีความจำที่ดี ไม่ใช่เก่งเรื่องคณิต ฟิสิกส์ เคมี เท่านั้น เพราะจะเรียนวิชาพวกนี้แค่ปีที่หนึ่ง

ต่อไปเป็นวิชาท่องจำ ยิ่งสมัยนี้ยิ่งเรียนมากกว่าสมัยก่อน ลูกสาวกำลังเรียนอยู่ อ่านหนังสือหนักมาก สอบทุกสองอาทิตย์

สอบที่มี sheet เป็นตั้งๆ อ่านหนังสือทั้งวัน และอ่านได้รอบเดียวจบ ก็สอบเลย ไม่มีการทบทวนเพราะอ่านไม่ทัน

ตอนสอบเข้าต้องเก่งจริง ต้องแข่งกันกับคนเป็นหมื่นๆคนเพื่อจะเอาไม่กี่ร้อยคน พวกเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯเสียเปรียบพวกต่างจังหวัด ซึ่งเขามีโควต้าให้ ในจังหวัดใกล้เคียง สอบทีไม่กี่จังหวัด คนเข้าแข่งก็น้อย จะเข้าได้ง่ายกว่ามาเรียนใน กทม.

สอบเข้าได้แล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะเรียนได้ง่ายๆนะ เห็นสอบตกซ้ำชั้นกันปีละหลายคน บางคนถูกไล่ออกด้วย สมัยก่อนที่สอบเข้าเรียน ปีนั้นมีการชื้อขายข้อสอบ มีคนไปชื้อมา สอบเข้ามาเรียนได้ 120 คน เรียนแค่ปีหนึ่ง ถูกไล่ออกไป 40 คน เรียนไม่ได้จริงๆ คะแนน 100 สอบได้ 20 ที่เหลือ 80 คนคือคนที่เรียนดีสอบได้เองจริงๆ

การเรียนแพทย์ ต้องมีการลงทุนมากกว่าคณะอื่นๆ มี lab ต้องใช้มาก และสำคัญครูผู้สอนต้องมีมากพอ เพราะ ต้องใกล้ชิด ควบคุมตัวต่อตัว ต้องสอนเทคนิค ทักษะต่างๆ ต้องใช้ห้องผ่าตัด เครื่องมือมากมายให้เพียงพอกับจำนวนนักศึกษา ไม่ใช่การเรียนการสอนแบบนั่งฟังหรือจดเลคเชอร์ แบบนี้จะเปิดสอนเท่าไหร่ก็ได้ แต่แพทย์ต้องลงมือฝึกทำจริงๆ เพราะจะต้องไปทำกับคนไข้จริงๆเมื่อจบออกไป ถ้าไม่ได้รับการฝึกการสอนมาก่อน ชีวิตคนไข้อาจถึงตายได้

การเพิ่มจำนวนนักศึกษาโดยไม่ได้สัดส่วนกันเครื่องมือ ครูผู้สอนย่อมทำไม่ได้แน่นอน แล้วถามว่าทำไมไม่เพิ่มขึ้นมาละ ไอ้เครื่องมือนะพอเพิ่มได้ แต่ครูที่สอนนิซิ แพทย์ทั้งหลายเขาไม่ชอบเป็นครู มันต้องอ่านหนังสือ ตลอดปีตลอดชาติ ต้องให้ทันโลกทันเทคโนโลยี ไม่งั้นนักศึกษารู้มากกว่าครู รายได้ก็น้อยกว่าออกไปเป็นแพทย์ เปิดคลินิกมากนัก งานหนักกว่า แต่สบายใจ ไม่ต้องใส่หัวโขนเตะท่าเป็นอาจารย์

ไม่ว่าจะเรียนวิชาไหน ทุกคนก็คิดถึงแต่ว่า หางานได้ง่ายไหม เงินดีไหม งานมั่นคงไหม สบายใจไหม มีกี่คนที่คิดว่าจะเรียนมาเพื่อช่วยคนอื่น ถึงจะเป็นคุณเอง ถ้าเลือกแพทย์ รายได้ขั้นต่ำเดือนแรก ก็ หกหมื่น ราชการนะ แต่ถ้าเลือกวิชาอื่นแทนทั้งๆที่เข้าแพทย์ได้ เช่นวิศวกร รายได้ในบริษัทเอกชนดีๆ ก็ ไม่เกินสามหมื่น ราชการก็หมื่นสอง แล้วคุณจะเลือกเรียนอะไร ไอ้คนที่บอกว่าจะทำเพื่อประชาชนนะคงมี แต่ต้องงมเอาในมหาสมุทร นี่พูดแบบไม่ดัดจริตนะ จริงๆแล้วขอให้เขาทำงานรับผิดชอบเต็มที่ มีเมตตาต่อคนไข้ แล้วเขาจะไปทำมาหากินอย่างไรก็แล้วแต่ ขออย่าให้งานที่ต้องทำเสียก็น่าจะพอแล้ว

By KMD: ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยรั่วนี้ น่าจะเป็นรุ่นพี่ผม เพราะรุ่นผมสอบแยก เนื่องจากมีข่าวว่า รุ่นก่อนข้อสอบรั่วมีครั้งเดียวครับ ที่มหาวิทยาลัยต่างๆ ทำการสอบเข้าเอง แยกกันแต่ละมหาวิทยาลัย ผลคือความวุ่นวาย เข็ดขยาดไปตามๆกัน เพราะนักเรียนเกือบทั้งหมดเข้าสอบคนละหลายๆแห่ง คนเก่งก็ติดหลายแห่ง แต่เลือกเรียนที่เดียว ทำให้มหาวิทยาลัยต้องเรียกคนเข้าเพิ่มภายหลังหลายรอบ สมัยนั้นสื่อสารเร็วสุดก็โทรเลข กว่าจะได้นิสิตนักศึกษาเพียงพอ(เกือบ)เต็มจำนวน

By ysostupid: หากไม่คิดอยู่โรงพยาบาลเอกชนหรือเป็นอาจารย์โรงพยาบาลแพทย์ ไม่จำเป็นต้องไปเรียนต่อที่อเมริกาหรือประเทศไหนในโลกนี้ครับ เป็นหมอจบเฉพาะโรค (Fellow) ในเมืองไทย ไม่ขี้เหร่เลยครับ ยิ่งพอใจกับการใช้ชีวิตต่างจังหวัด แค่นี้เหลือเฟือแล้วครับ

คุณภาพชีวิตแพทย์ชนบทเหนื่อยแค่ไหนก็ดีกว่าแพทย์กรุงเทพฯอย่างเทียบกันไม่ได้ครับ คุณหมอตอนเรียน Fellow อยู่กรุงเทพฯเทียบกับทำงานอยู่ต่างจังหวัดก็ทราบดีนะครับ

ชื่นชมแพทย์กตัญญูอย่างคุณหมอครับ

By boy: หมอจบเฉพาะโรค (Fellow) ไม่มีนะ Fellow คือฝึกอบรม แต่ไม่ได้วุฒิบัตร เหมือนกับเป็น เด็กฝึกงาน ตามอู่ซ่อมรถ (ได้ความรู้ แต่ไม่ได้ ประกาศนียบัตร)

คำว่า fellow แปลว่าเพื่อน, เพื่อนร่วมงาน ทางแพทย์ คำนี้ หมายถึง ฝึกอบรม แบบไปเป็นผู้ช่วยเขา ช่วยเขาทำงานไป ก็เรียนรู้ไป ไม่จำกัดว่า ต้องเฉพาะโรค หรือ เฉพาะทาง เช่น จะฝึกอบรม เป็นศัลยแพทย์ แต่ตำแหน่งเต็ม ก็ฝีกอบรมแบบ fellow ก็ได้ แต่จะไม่ได้วุฒิบัตร

By ysostupid: Fellow ทางการแพทย์คือแพทย์ที่จบเฉพาะโรค คือหากจบเฉพาะทางอย่างเช่นเป็นอายุรแพทย์หรือศัลยแพทย์หรือสูติ-นารีเวช เขาเรียกแพทย์เฉพาะทาง (Specialty) แต่หากจะเรียนสูงกว่านั้นก็ต้องเรียนเป็นเฉพาะโรค (Subspecialty) จบแล้วก็จะได้เป็นแพทย์เฉพาะโรคอย่างเช่น อายุรแพทย์โรคหัวใจ อายุรแพทย์โรคทางเดินอาหาร อายุรแพทย์โรคไต เขาเรียก Fellow ครับ แต่หากไม่ได้จบเฉพาะโรคเขาก็เรียกอายุรแพทย์โรคทั่วไป หรือศัลยแพทย์ทั่วไป ต่างจากศัลยแพทย์หัวใจ หรือศัลยแพทย์สมองซึ่งเป็น Subspecialty ลิงค์นี้น่าจะพอไขคำว่า Fellow ได้นะครับ

By แดงเข้ากระดูก: ชื่นชม นานๆจะได้อ่านเรื่องเล่าของหมอจากชีวิตจริง ส่วนใหญ่แล้วหมอจะไม่ยอมมาเสียเวลาแชร์ความคิดเห็นส่วนตัวให้เพื่อนๆในเว็บ บางครั้งดูเหมือนว่าหมอส่วนใหญ่จะเห็นแก่ตัวเห็นแก่เงิน อะไรไม่ได้ประโยชน์จะไม่เสียเวลา หมอก็คือคนคนหนึ่งดีเลวคละกันไปอ่ะนะ หรือบางครั้งการแสดงความคิดเห็นของหมอก็ออกจะแนวยกตนข่มท่าน ยอมรับว่าหมอคือคนเก่งเรียนเก่งที่สุด แต่จะหาทั้งเก่งทั้งดี ยากมาก

By boachan manarat: หมอสมัยก่อน ยังมีการอบรมทางศีลธรรม พาไปวัดฟังเทศน์กันบ้าง แต่สมัยนี้แทบไม่มีเลย อย่างมากก็วันเผาศพอาจารย์ใหญ่เท่านั้น

หมอ เรียนมาก ใช้เวลานาน เลยคิดว่าตัวเองรู้มาก เก่ง กว่าคนอื่น และสำคัญที่สุดคือเชื่อมั่นในตัวเองสูง เวลาเชื่ออะไรแล้วไม่ยอมเปลี่ยน จึงทำให้เป็นคนฉลาด แต่ไม่เฉลียว โดยเฉพาะหมอสมัยนี้ กูเก่งลูกเดียว ไม่เอาอะไรทั้งนั้น เรื่องพระเรื่องเจ้า ไปเลย ไปไกลๆ เรื่องเงินกูชอบมาก หมอรุ่นเก่าๆงงว่า บางอย่าง หมอสมัยนี้ทำได้อย่างไร

หมอดีๆก็มีเยอะ ไม่ขูดรีด เข้าวัดเข้าวาก็มาก แต่มักไม่ค่อยดังเพราะไม่ค่อยเอาใจ ค่ะขากับคนไข้ คนไข้ไม่ค่อยชอบหมอที่ทำอะไรตรงๆ พูดตรงๆ รักษาได้ก็บอกได้ ไม่ได้ก็บอกไม่ได้ มีคลินิกไม่หรูหรา

By mario: คุณหมอ จขกท. ต้องถือว่าพูดตรงยอมรับในเรื่อง ความโลภ และศีลธรรม และคุณหมอคือคนที่โชคดี..โชคดีกว่าคนอีกหลายๆๆๆคน..ที่ต้องไปทำงานต่างประเทศ ไม่มีโอกาสได้ดูแล พ่อแม่ ไม่มีโอกาส ได้เห็นใจและบอกลากันในวินาทีสุดท้าย...อย่างคุณหมอ

ภูมิใจเถอะครับ....ความร่ำรวยเงินทองไม่ได้ให้ความสุขทุกสิ่งในชีวิต....บางครั้งความร่ำรวยมันกลับสร้างบาป สร้างทุกข์ให้คุณและครอบครัวได้..มากอย่างที่คุณคิดไม่ถึงทีเดียว

By kimeng suk: จริงๆค่ะ ความรวยไม่ได้ทำให้มีความสุข มันเป็นแค่อุปกรณ์ที่เราจะทำให้เราซื้อสิ่งที่ซื้อได้และอยากซื้อเท่านั้น

แต่บางอย่างที่เราอยากจะได้ก็ชื้อไม่ได้ ทั้งที่มีเงินล้นฟ้า ตัวอย่างเช่น ลูกเกเร ก่อแต่ความทุกข์ให้พ่อแม่ ทุกข์ใจเหลือล้น อยากให้ลูกเป็นคนดี ตั้งใจเรียน ไม่เกเร รักพ่อแม่ ใส่ใจในพ่อแม่บ้าง แค่ลูกเข้ามากอด มาหอม โทรถามพ่ออยู่ไหน แม่อยู่ไหน แค่นี้เราก็เป็นปลื้ม ยิ้มได้ทั้งวัน

แต่เมื่อเขาไม่ทำไม่เป็นอย่างที่เราหวัง นำแต่เรื่องทุกข์ใจมาหา เราจะให้เงินจ้างเขาๆก็ไม่เอา เงินไม่มีความหมายเลย สู้มีพอใช้อยู่ได้ แต่มีลูกดี มีครอบครัวดี ถึงไม่มีเงินก็ไม่เป็นไร นั่นก็เป็นความสุขใจที่สุดแล้ว


สามคนสามวิถีชีวิตในอเมริกา
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค

เราเองมีญาติหลายคนที่ไปเป็นหมออยู่ในอเมริกา บางคนก็เรียนจบเป็นหมอจากเมืองไทย รุ่นหลานจะเรียนที่อเมริกา ทุกคนประสพความสำเร็จในอาชีพการงาน ร่ำรวย มีบ้าน มีรถคนละหลายคัน และมีความสุขในครอบครัวกันจริงๆ ลูกของแต่ละคนเจริญก้าวหน้ากว่าพวกญาติพี่น้องที่อยู่เมืองไทย มีงานทำเป็นหลักเป็นฐาน และไม่มีใครเกเรติดเหล้าติดยาซักคน ไม่เจ้าชู้ ไม่เล่นการพนัน รักครอบครัวให้เวลากับครอบครัวกันเต็มที่

อยากจะเล่าถึงหลานชาย สาม คนให้ฟัง เป็นชีวิตที่น่าคิดมาก น่าศึกษามากๆ

พี่ของเราเองที่เป็นภริยาหมอในอเมริกา เป็นคนใจดีมาก รักพี่น้อง จึงยอมรับหลานๆไปอยู่และเรียนที่อเมริกาหลายคน ซึ่งตัวเองมีลูกชาย 3 คน และรับหลานชายไปเลี้ยงอีก 3 คน หลานสาว 3 คน เรียกว่าเต็มบ้านเลยละ และ ยังไปรับรองโรงเรียนว่าเป็นผู้ปกครอง ทำให้หลานๆไม่ต้องเสียค่าเทอม

พี่สาวคนนี้ไป อยู่อเมริกานานหลายสิบปี เป็นอเมริกันไปแล้ว จึงเลี้ยงลูกหลานแบบอเมริกัน ให้ช่วยตัวเองทุกอย่าง ต้องทำงาน ต้องเก็บขี้หมา ตัดหญ้า และต้องอ่านหนังสือ ใครสอบได้ดีก็มีรางวัลให้ ยกย่องชมเชยไม่ขาดปาก ใครไม่ถูกใจรสชาดอาหาร บ่นมากก็ไม่ต้องกินมื้อนั้น ให้อดถึงเช้า เช้าไปโรงเรียนด้วยรถโรงเรียน ป้าห่อข้าวให้ไปกิน มีเค็ก 1 ก้อน กล้วยหอมหนึ่งใบ แบบนี้ทุกมื้อ

หลานคนแรก ลูกพี่สาวอยู่เมืองไทย ไปเรียนตอนอายุ 12 ปี เรียนจบไฮสคูล เกรดดีมาก จึงไปเรียนหมอที่ South Alabama University จบแล้วไปเรียนต่อที่ Utah University ระหว่างเรียนก็ไปรับจ๊อบทำงานที่คลินิก ฉุกเฉินซึ่งเปิดตลอด 24 ช.ม. ได้เงินชั่วโมงละ 80-100 เหรียญ หลานคนนี้ฉลาดมาก เฝ้าสังเกตการณ์บริหารงานและทุกอย่าง

พอเรียนจบ ออกมาทำเองเลย เปิดคลินิกฉุกเฉิน เริ่มต้นก็ตรวจเอง มีหมอมาช่วย 3-4 คน ต่อมาเปิดใหม่อีก ๆๆๆๆๆๆๆไปเรื่อย ระหว่างนี้ก็กลับมาแต่งงานกับคนไทย เป็นชาวบ้านๆจนๆ แต่จบปริญญาตรี ไปช่วยเก็บเงิน จนตอนนี้มีหมอในสังกัด เกือบ 150 คน มี CEO คอยบริหารงานแทน ตัวเองคุมข้างบนผ่านคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องตรวจ เที่ยวอย่างเดียว จะสร้างอาณาจักรนี้ให้ครบสิบคลินิก และจะขายให้ได้ไม่ต่ำกว่า 600 ล้านเหรียญ แล้วจะกลับมาอยู่เมืองไทย ขณะนี้อายุ 39ปี

หลานคนที่สอง ลูกพี่สาวที่ให้ที่พักแก่หลานๆ ลูกคนสุดท้อง จบจาก UCLA ทางด้านการจัดสรรที่ดิน จบแล้วมาอยู่เมืองไทย ได้ทำงานกับบริษัทการเงินยักษ์ใหญ่ของอเมริกาในเมืองไทย เงินเดือนเกือบสามแสน โบนัสปีละหกเดือนแต่งงานกับคนไทย และได้ย้ายไปทำงานที่ นิวยอร์ก มี apartment ที่บริษัทเช่าให้สุดหรู เงินเดือนเกือบห้าแสน พวกเราก็ดีใจ ฮาๆๆ หลานเราได้ดีสบายแล้ว ยิ่งจะไปบริหารทางเรื่องหุ้นยิ่งชอบใจมากๆๆ

แต่อนิจจาอะไรมันก็บ่แน่หรอกนาย วิกฤตเศรษฐกิจของอเมริกาเมื่อสัก 7-8 ก่อน ทำให้หลานสุดที่รัก ถูกให้ออก ตกงานกะทันหัน ความหวังพังทลาย (เป็นเศรษฐีหุ้นของอเมริกาไม่ได้แล้ว ยังไม่เข็ด) ทำไงละ ก็กลับมาอยู่บ้านกับพ่อและแม่

อยู่ไปอยู่มาเบื่อ เห็นพี่ชายเปิดคลินิกแล้วรวยเอาๆ ก็เลยคิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นหมอ แต่พ่อเป็นนี่หวา ต้องใช้พ่อให้เป็นประโยชน์ ว่าแล้วก็จัดการเอาชื่อพ่อขออนุญาต เปิดคลินิก เริ่มแรกพ่อเป็นคนตรวจ ลูกเป็นผู้จัดการ ต้อนรับขับสู้คนไข้ ขับรถไปส่งคนไข้ที่บ้าน จ่ายเงินเดือนให้พ่อ เดือนละหมื่นเหรียญ ทำไปทำมาคนไข้เยอะมาก ต้องเปิดใหม่อีกแห่ง คนก็เต็มอีกแน่นมาก ต้องเปิดอีก และจะเปิดอีกๆๆๆๆๆๆ ตอนนี้ให้พ่อหยุด ไม่ต้องตรวจ จ่ายเงินเดือนให้เท่าเดิม ให้แม่ด้วยเท่ากัน พ่อแม่เหงา ให้เงินพ่อแม่ไปช็อปปิ้ง ไปเที่ยวทั่วโลก ขณะนี้อายุ 36 ปี ไม่กลับมาอยู่เมืองไทยแน่นอน

หลานคนที่สาม จบมัธยมต้นจาก มงฟอร์ต ไปเรียนต่อ มัธยมปลายที่อเมริกา จบแล้วไปต่อที่ University Of Illinios at Chicago ทางเศรษฐศาสตร์ ระหว่างเรียนก็ทำงานไปด้วย เป็นยาม คนส่งหนังสือพิมพ์ เสมียน คนเสิร์ฟอาหาร หาเงินเรียนเอง และขณะเดียวกันก็ชอบไปวัด ไปช่วยวัด เสาร์อาทิตย์ไปทำงานเสร็จก็กลับไปช่วยวัด เป็นเด็กวัด กินอาหารของวัดสามมื้อ ไม่ต้องชื้ออาหาร

ระหว่างปิดเทอมก็ไปบวช โดยไปเป็นลูกให้คนที่เขาไม่มีลูก และต้องการบวชพระให้ จนเรียนจบบวชไปถึงหกครั้ง พอเรียนจบพ่อไม่ยอมให้บวช ต้องทำงานหาเงินให้รู้ว่าเงินหายากอย่างไร ต้องใช้อย่างไรถึงจะดี จะได้ไปเทศน์ได้ถูกต้อง ทำงานเสิร์ฟอาหาร ต้องใส่สเก็ต วิ่งเสิร์ฟอาหารด้วยนะ ทำอยู่ 2 ปี ได้เงินมา ทำบุญหมด ทำไปล้านกว่าบาท แล้วก็กลับมาบวช ขณะนี้ อายุ 34 ปี บวชมาได้ย่างเข้าพรรษาที่ 9 จะขอบวชไปเรื่อยๆไม่สึกแล้ว

ในจำนวนสามคนนี้ คนเป็นพระจนที่สุด มีแต่จีวรสามผืน ไม่มีเงินฝาก วันๆเอาแต่เทศน์สอนพวกฝรั่งบ้างคนไทยบ้าง นั่งสมาธิ มีเงินก็ทำบุญหมดไม่เก็บ สมถะตามสภาพ แต่หน้าตาใสมากๆ หล่อกว่าเพื่อน

ส่วนอีกสองคน ร่ำรวย มีเงินชื้อทุกอย่าง อยากไปเที่ยวที่ไหนก็ไป ทุกๆคนต่างยกย่องชมเชย ส่วนคนเป็นพระ มีแต่คนบอกว่า เสียดายเรียนมาสูงๆเมืองนอกเมืองนา ไม่ได้ประโยชน์ เสียเวลาไปเปล่าๆ พี่สาวคนที่เอาไปอยู่ด้วย โมโหมาก ต่อว่ายังไม่ยอมหยุดเลย

และสำคัญที่สุด คนเป็นพระคือลูกชายคนเดียวของเราเอง

By riddler: วิถีชีวิตของแต่ละท่าน ก็ต้องปล่อยให้แต่ละท่านไปเลือกเดินเอง หน้าที่ของ บิดามารดา คือ เปิดทาง เมื่อลูกๆไม่เห็น เก็บกวาด ขวากหนาม เมื่อลูกๆต้องไปฝ่า สนับสนุน หนุนส่ง เมื่อลูกๆต้องการกำลังใจ

การวัดความสำเร็จ ด้วยเงิน ผมว่า คิดสั้นไปนิดครับ....ผมว่าลูกชายท่าน ยอดเยี่ยมครับ....ดังนั้น ขออนุโมทนาด้วยนะครับ ถ้าเป็นลูกชายผม เลือกทางนี้ ผมจะมีความสุขที่สุด....

ทำไม? จึงคิดแบบนี้ จะมีอะรัยดีไปกว่า....การใช้ชีวิต ในสิ่งที่ตนเองได้เลือกเอง และสิ่งที่เขาเลือกนั้น เป็นสถานะหรือสิ่งแวดล้อม ที่มีแต่ความสุขรอบตัว ที่สำคัญได้ทำหน้าที่กล่อมเกลาผู้คนให้ทำความดี....เป็นบุญอันยิ่งใหญ่ทั้งของตัวเขาเอง ตัวเรา และ ทุกผู้คน

By Ruammit: มาช่วยปลื้มใจในพระลูกชายกับโยมแม่ ตัวเองไม่มีลูกชายจะบวชให้ ก็ขออนุโมทนาบุญกับ จขกท.ไปด้วย

By Arsenal: ในแง่ทางโลก เค้าอาจจะไม่ได้ดั่งใจหลายคนที่ต้องการ แต่ในทางธรรมผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับ คนที่เป็นบุพการีแล้วครับ ตัวผมเองยังอยากจะบวชให้พ่อให้แม่เลย แต่ด้วยกิเลส ตัณหา ความอยากทั้งหลายที่สุมแน่นอยู่ในใจ จึงยังไม่สามารถทำอย่างที่คิดได้ (ไม่รู้จะตัดใจได้เมื่อไหร่) ผมจึงเชื่อว่า คุณหมอเป็นครอบครัวที่โชคดีที่สุด ครอบครัวหนึ่ง

By แดง ลาดพร้าว: ลูกชายคุณหมอ น่าจะเห็นและรู้ในสิ่งที่คนธรรมดาอย่างเราๆ เข้าไม่ถึงนะครับ

By kimeng suk: ไม่ทราบค่ะ เคยถามเขาๆบอกว่าอย่ารู้เลยโยมแม่ ถ้าอยากรู้ก็นั่งเอง ถ้าไปได้ฟังก่อนแล้ว เวลานั่งใจมันจะฟุ้งไปคิดล่วงหน้า ถึงตรงนี้แล้วจะต้องมีแบบนี้เกิดขึ้น ใจมีกิเลสดักรอ จึงจะตั้งใจมากไป ถามว่าทำไมไม่สึก เขาบอกว่า เขาอยู่อย่างนี้สบายใจ ไม่อยากมีภาระมีลูกมีเมีย เขาเอาสบายใจดีกว่า

By ป้าแพงดา: ขออนุโมทนาบุญด้วยนะคะ คุณโชคดีมากที่มีลูกแบบนี้ ถ้าเชื่อเรื่องภพชาติ คิดว่าท่านคงตั้งจิตมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว พอมาชาตินี้จึงได้สัมฤทธิผล อย่าคิดถึงความรวย ความจนเลยค่ะ ตายแล้วหอบเงินไปไม่ได้กันสักคน

By kimeng suk: อยู่ที่คุณพ่อของเขาดูแลค่ะ พ่อจะให้ลูกทุกอย่าง แต่ถ้าเกินไปจะบอกให้หยุด ใช้เหตุผลกับลูก ไม่มีด่า หรือตี แค่สีหน้าแววตาลูกก็กลัว ไม่กล้าทำแล้ว สำคัญสุดคือ ให้เพื่อนมาบ้าน ไม่ให้ไปบ้านเพื่อน บริการให้ทุกอย่าง อาหารขนม เพียบ แล้วพ่อจะคอยดูว่าคนไหนเป็นอย่างไร แล้วก็จะบอกว่าคนนี้น่าคบไม่น่าคบอย่างไร

เวลาลูกไปอยู่ไกล โทรหาทุกวัน เพื่อจะให้ลูกไม่เหงาหรือรู้สึกโดดเดี่ยว และพาลูกไปวัดตั้งแต่เล็กๆค่ะ เพื่อให้ลูกได้เห็นคนดีๆ กิริยามารยาทที่ดีๆ เขาอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างไรกัน ส่วนแม่ก็ทะเลาะกับลูกตามประสาค่ะ

By ลุงพร: ประทับใจ ในชีวิตครอบครัวครับ เขียนต่อเลยครับ เพื่อน สมช. อ่านแล้ว ได้แง่คิด ได้ประโยชน์เนื้อๆ ทั้งนั้น ดีจริงๆ

By kimeng suk: คืออยากเขียนอยากเล่าประสบการณ์ชีวิต ที่ผ่านมาให้คนอื่นได้ทราบ บางอย่างมีข้อคิดดีๆ เพราะตัวเองเคยทำพลาดมาบ้าง เห็นเขาพลาดมาบ้าง แต่หลายครั้งที่ท้อเพราะบางคนหาว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้นมา โกหกหลอกลวง จริงๆไม่มีเจตนาเช่นนั้นเลย และไม่มีความจำเป็นต้องมาโกหก เราก็แก่แล้ว จะมาโกหกเอาอะไรกัน บางคนก็ไม่พอใจเรื่องของความศรัทธาของเรา ซึ่งมันเป็นเรื่องส่วนตัว

By tongdang: สวัสดีครับคุณหมอ เขียนต่อเถอะครับ เพราะเขียนได้ดีและเป็นเรื่องที่ดีมาก พี่น้องเราส่วนใหญ่ชอบอ่าน... ส่วนคนที่เขามีอคติอย่าเอามาเป็นอารมณ์เลยครับ


สะใภ้สามคน สามชาติ สามนิสัย ในอเมริกา
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค

พี่สาวแต่งงานกับหมอ และย้ายไปอยู่อเมริกา มีลูกชาย 3 คน แต่ละคนหล่อและนิสัยดี มีนิสัยเหมือนคนไทย พูดไทยเก่ง รักพ่อรักแม่กันทุกคน มาเมืองไทยกันสองสามปีครั้ง

คนที่หนึ่งจบการศึกษาปริญญาตรีทางคอมพิวเตอร์ เก่งมากทางนี้ ทำงานธนาคารใหญ่ในอเมริกา ได้เงินเดือนและโบนัสมากโขอยู่ แต่งงานกับสาวชาวอินโดเนเซีย จบปริญญาตรี ทำงานก็ได้เงินเดือนสูง แต่พอแต่งงานมีลูก สามีก็ให้ลาออกมาเลี้ยงลูกทำงานบ้านอย่างเดียว

เธอคนนี้ ไม่ค่อยเรียบร้อยนัก บ้านค่อนข้างรกรุงรัง แต่เธอดูแลลูกดี มีลูกสามคน เธอสอนลูกเก่ง ให้ช่วยตัวเอง ให้ตั้งใจเรียน ลูกๆของเธอไม่เกเร ตั้งใจเรียนกันทุกคน ตัวเธอก็เข้ากับพ่อแม่สามีได้ดีแบบทั่วไป เคารพพ่อแม่ของสามี ไม่แข็งกระด้าง แต่เงินในครอบครัวไม่ค่อยพอใช้ทั้งๆที่สามีมีเงินเดือนก็สูง พ่อแม่สามีต้องชื้อบ้านให้ และให้เงินบ่อยๆ เวลาแม่สามีมาต้องช่วยเก็บกวาดบ้าน ทำงานบ้านให้ด้วย เพราะทนความรุงรังไม่ไหว

คนที่สองจบแพทย์ ไม่ชอบทำคลินิก ชอบออกเล็คเซอร์ต่างประเทศ สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยแพทย์ ตั้งใจจะเป็นศาสตราจารย์ และแต่งงานกับ สาวฝรั่งอเมริกันซึ่งเป็นเทคนิคการแพทย์ สาวฝรั่งคนนี้ก็เป็นแบบฝรั่ง คือเวลาแม่ผัวจะไปหาลูกชาย ไปค้างด้วย ก็ต้องโทรไปบอกว่าแม่จะไปหานะ ว่างไหม แม่ไปค้างด้วยได้ไหม ถ้าเธออนุญาตก็ไปได้

และการเลี้ยงดูลูกๆของเธอ ปู่และย่า ห้ามมาเกี่ยวข้อง ห้ามมาวิจารณ์อะไร ส่วนลูกชาย พอแต่งงานนานๆเข้าก็ค่อยๆห่างจากพ่อแม่ อาจเพราะเธอไม่ชอบให้สามีใกล้ชิดกับครอบครัวเดิม หรืออะไรก็ไม่ทราบได้ ลูกๆของสะใภ้คนนี้ ห่างเหินปู่และย่า นานๆจะเจอกันครั้งหนึ่งแต่ พ่อแม่สามีไม่ต้องมาช่วยเหลือทางด้านการเงิน และสามีก็ไม่เคยให้เงินพ่อแม่ใช้ เธอก็ไม่เคยบอกให้เขาให้พ่อแม่

เคยคุยกับหลานสะใภ้ฝรั่ง เรื่องที่เขาไม่มีลูกตอนแต่งงานใหม่ๆ บอกให้เขารีบไปตรวจเพราะอายุมากแล้ว เท่านั้นแหละ เขาร้องไห้วิ่งไปฟ้องสามีว่า มายุ่งกับเรื่องส่วนตัวของเขา ไอ้เราเลยโดนพี่สาวเล่นงาน เข็ดไปอีกนาน จึงจำใส่กะโหลกไว้เลยว่า ฝรั่งมันไม่ใช่คนไทย อย่าได้ ส ใส่เกือกไปแนะนำอะไรเขา เด็ดขาด

คนที่สามเรียนจบทางด้านการจัดสรรที่ดิน จาก UCLA บอกแม่ว่าจะหาลูกสะใภ้คนไทยให้ จึงมาอยู่เมืองไทย หางานทำ ได้งานทำกับบริษัทยักษ์ใหญ่ทางการเงินของอเมริกาในไทย เงินเดือนๆละเป็นแสนอยู่

เขา แต่งงานกับสาวไทยสมใจหวัง เธอเรียน จบปริญญาตรี ทางบัญชี ทำงานได้เงินเดือนสามหมื่น ลาออก แต่งงานเสร็จก็ย้ายไปอยู่นิวยอร์ก เพราะสามีถูกย้ายไปทำงานที่นั่น แต่พอไม่นานบริษัทนี้เจ๊ง สามีตกงาน เลยย้ายไปอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านเดิม และไปเปิดคลินิก โดยเอาพ่อมาเป็นหมอตรวจโรค ตัวเองเป็นผู้บริหารกิจการเจริญมาก คนไข้แน่นคลินิก ขณะนี้ เปิด สองคลินิกแล้ว

เธอคนนี้มีลูกชายหนึ่งคน และไม่ได้ทำงานนอกบ้าน อยู่บ้านก็ทำงานบ้านทุกอย่าง กวาดบ้าน ถูบ้านซักผ้ารีดผ้า ทำอาหารสารพัดที่จะทำ แม่สามีไม่ต้องทำอะไรเลย เธอทำให้หมด พูดจาอ่อนหวาน คุณแม่ค่ะ คุณแม่ขา รู้จักประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย ดูแลสามีและลูกอย่างดี อ่อนน้อมถ่อมตนสม่ำเสมอ

ส่วนสามีเมื่อมีรายได้ดีก็ให้พ่อหยุดเป็นหมอ จ่ายเงินเดือนให้เดือนละหนึ่งหมื่นเหรียญ และให้แม่อีกต่างหาก ให้พ่อแม่ออกเที่ยวทัวร์ ตามใจชอบ ตัวเธอเองก็ไม่ขัดขวางกับการที่สามีจะให้เงินพ่อแม่ใช้

แต่สะใภ้คนนี้รักและตามใจลูกมาก เลี้ยงลูกแบบคนไทย ตามใจทุกอย่าง ไม่ค่อยสอนให้ลูกช่วยเหลือตัวเอง ลูกติดแม่มาก งอแงทั้งๆที่โตแล้ว กินข้าวยังต้องให้แม่ป้อนให้

อ่านแล้ว คิดว่าเราน่าจะเลือกลูกสะใภ้ในฝันแบบไหนดี คนไทย หรือคนต่างชาติ

?????

By หงส์แดง1970: ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ ที่นำมาแบ่งปันให้อ่านครับ

สะใภ้ทั้งสามชาติ ต่างก็มีจุดดี และจุดบกพร่องที่แตกต่างกันไปครับ โดยส่วนตัวชอบสะใภ้ฝรั่งนะ ถึงแม้ว่าความผูกพันกันภายในครอบครัวแบบสังคมของชาวเอเชียจะน้อยที่สุด เพราะถือว่าแต่งงานออกไปแล้วก็เท่ากับไปสร้างครอบครัวใหม่ของตัวเอง ชอบการสอนลูกของเขาที่สอนให้ช่วยตัวเองทุกอย่าง

ส่วนสะใภ้อินโดนีเซีย โดยรวมถือว่าดีมากนะครับ บกพร่องแค่เรื่องของการชอบปล่อยให้บ้านรกเท่านั้น และการดูแลลูกถือว่าดีมาก

สำหรับสะใภ้ชาวไทย คนนี้เกือบเพอร์เฟค เสียดายที่ยังติดในเรื่องของการเลี้ยงลูกที่ตามใจไปหน่อย ถ้าได้ส่วนดีของ สะใภ้ฝรั่ง กับ สะใภ้อินโด มาปรับใช้ในเรื่องของการดูแลลูกแล้วละก็ น่าจะเป็นสะใภ้ที่สมบูรณ์แบบเลยครับ

By p.nan: เมื่อวัยเยาว์สอนเขา เลี้ยงเขา เมื่อโตแล้วปล่อยเขาตัดสินใจเดินทางชีวิตของเขาเอง เมื่อร้องไห้มาหา..กอดและปลอบ เป็นที่พึ่งของลูกเสมอ..อย่าหวังพึงลูก..

By kimeng suk: หมอไทยคนหนึ่ง ในอเมริกา แต่งกับฝรั่งอเมริกาหญิง เขาไม่ยอมให้หมอนั้นติดต่อกับทางบ้านมาก ไม่ให้ส่งเงิน ไม่ให้อะไรทั้งนั้น หมอก็เป็นตามไปด้วย พ่อแม่ช้ำใจมาก เพราะมีลูกคนเดียว ขายทรัพย์ส่งเรียนจนได้เป็นหมอ พ่อแม่ยอมอดทนลำบากให้ลูกได้เรียน แต่ลูกกลับไม่ดุดำดูดี

เราอาจจะบอกว่าเลี้ยงลูกมา ไม่หวังพึ่งลูกมาเลี้ยงดู แต่พ่อแม่แก่แล้ว จะปล่อยให้พ่อแม่นอนแช่ขี้แช่เยี่ยวหรือ ถ้าลูกไม่ดูแล ใครจะมาดูแล

ตอนที่เรายังไม่แก่ มีลูกสะใภ้ฝรั่งดูดีนะ ต่างคนต่างอยู่ไม่เกี่ยวข้องกันมาก แต่เมื่อเราแก่ตัวลง ช่วยตัวเองไม่ได้ ถึงเราจะมีเงินมากพอ แต่สุขภาพของเราละ จะลุกจะนั่งก็ลำบากเหมือนเราเองตอนนี้ ไม่คล่องตัวเหมือนสมัยสาวๆ หรือถ้าเป็นอัมพาต ใครจะดูเรา จะหวังพึ่งลูกสะใภ้ฝรั่งหรือ ฝันไปละมั้ง

ลูกสะใภ้คนไทยอย่างน้อยก็ยังไม่ดึงลูกเราออกไปห่างๆ สะใภ้ไม่ดู ลูกเราก็คงจะดูบ้าง คงไม่ปล่อยให้เราต้องไปอยู่บ้านคนชรา

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็อยู่ที่เราเลี้ยงดูเขามา เราทำตัวอย่างดูแลพ่อแม่ให้เขาเห็นมาก่อนไหม เราเคยอบรมสั่งสอนเขาให้มีความกตัญญูรู้คุณไหม หรือเอาแต่รักตามใจตะพึดตะพือ จะดุจะสอนเขาก็กลัวลูกจะเสียใจ รักลูกมากเกินไป


ใช้อารมณ์ได้แต่ความสะใจ ใช้ปัญญาได้แต่งงานกับเศรษฐี
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค

ตอนนี้มีอารมณ์เขียนหนังสือ ก็เลยเขียนมาให้อ่านบ่อยหน่อย ถ้าเบื่อก็ไม่ต้องอ่านนะ มันเป็นเรื่องกระจุกกระจิกของครอบครัว ที่อาจจะมีข้อคิดเล็กๆ ถ้าหมดอารมณ์ก็เขียนไม่ออก หรือถ้าหมดกำลังใจเขียนก็เซย์บ้ายบาย รู้ว่าเขียนก็ไม่ได้ดีเด่อะไร แต่มันอยากเขียนนะ(ตะก่อนนี้ ไม่รู้ตัวเลยว่าเขียนหนังสือได้ เพิ่งมารู้ตัวได้ไม่นาน) ไม่มีใครอ่านก็ไม่เป็นไรขอให้ได้เขียนตอนที่อยากจะเขียนก็แล้วกัน

จริงๆแล้วอยากจะเล่าเรื่อง สิ่งอัศจรรย์ที่ได้พบด้วยตัวเอง มีหลายเรื่องที่คนอื่นไม่ได้พบเห็น แต่เราได้เห็นด้วยตาสองข้างของเราเอง และ เพราะอะไรก็ไม่รู้ได้ จึงได้เห็นบ่อยๆ เชื่อไหมเคยเห็นกระทั่งฝนตกลงมาเป็นสายสีทอง (มีพยานเห็นพร้อมกันด้วย) แต่ไม่กล้าเขียนเล่า เพราะไม่อยากถูกหาว่า ขี้จุ๊ ขี้จุ๊ ขี้จุ๊

เข้าเรื่องของกระทู้เลยนะ

อันตัวเรานี้มีหลานชายคนหนึ่ง ซึ่งเกิดที่เมืองไทย เป็นลูกพี่สาว พ่อกับแม่ส่งไปเรียนที่อเมริกาตั้งแต่อายุ 12 ปี เรียนเก่งมาก เรียนจบเป็นแพทย์ พอจบแพทย์ได้ไม่นานก็เปิดคลินิก ที่รัฐๆหนึ่ง และเจริญรุ่งเรือง มีคนไข้มาก จึงเปิดสาขา เปิดเอาๆ ได้รวมถึง 7 หรือ 8 สาขา มีแพทย์ทำงานเป็นลูกน้องเป็นร้อยๆคน นับว่าเป็นเศรษฐีคนหนึ่ง เพราะมีรายได้ต่อวันหลายกะตังค์ (เคยเล่าให้ฟังมาก่อนแล้ว)

หลานคนนี้มัวแต่ทำงานอายุสามสิบกว่าแล้วก็ยังไม่แต่งงาน อยู่มาวันหนึ่ง ก็ไปตกหลุมรักคนไข้เด็กสาวอเมริกัน อายุเพิ่งไม่ถึง 20 ปี หน้าแหลมเหมือนจิ้งหรีด แต่หลานเราบอกว่าสวยมาก จะแต่งงานด้วยให้ได้ เด็กฝรั่งก็ขนของไปอยู่ที่บ้าน และเที่ยวบอกใครต่อใครว่าจะแต่งงานกับหมอ ฝันหวานว่าจะซื้อรถเบนซ์ ชื้อโน่นชื้อนี่ รวยแน่ๆเรา

ทางพี่สาวและพี่เขยก็ไม่อยากให้แต่ง เพราะไม่อยากได้สะใภ้ฝรั่ง กลัวหลานๆจะไม่ดูแลพ่อของเขาเมื่อแก่ตัวแบบคนฝรั่ง แต่ถ้าขัดลูกชายไม่ได้ก็ต้องจำยอมให้แต่ง จึงบอกให้ลูกชายพาผู้หญิงมารู้จักครอบครัวที่เมืองไทย เพื่อศึกษาซึ่งกันและกัน โดยออกค่าเดินทางให้หมดทุกอย่าง

แต่วาสนาเด็กคนนี้ไม่มี จึงทำให้เกิดเรื่องขึ้นมา วันหนึ่งหลานชายคนนี้คุยกับน้องสาว เป็นภาษาไทย ต่อหน้าเด็กฝรั่ง เธอก็บอกว่าให้พูดภาษาอังกฤษ จะได้รู้เรื่องด้วย หลานสาวก็ตอบว่า นี่เป็นเรื่องของพี่น้องเขาจะคุยกัน เธอไม่เกี่ยว เท่านั้นแหละฝรั่งโกรธมาก วิ่งขึ้นไปตบประตูห้องที่พี่สาวกำลังนอนพักอยู่ แบบไม่เกรงใจเลย ให้ออกมาคุย แล้วก็ฟ้องพี่สาวฉอดๆ ใส่ไม่ยั้ง และบอกว่าจะฆ่าลูกสาวของพี่สาวให้ตาย จะแทงให้ตาย มาดูถูกเธอแบบนี้ได้อย่างไร ด้วยท่าทีที่โมโหดุเดือดเลือดพล่าน ไม่มีการระงับอารมณ์เลยแม้แต่น้อย เอาสะใจ ขอให้ได้แสดงออกว่า กูโกรธแล้วนะ

พี่สาวฟังแล้วก็ตกใจมาก เรื่องแค่นี้ก็จะฆ่ากันตาย นี่ถ้าแต่งงานไป โมโหขึ้นมา มิฆ่าลูกชายของเธอตายหรือไง เธอเป็นกังวลมาก เพราะเห็นชัดๆว่าเด็กไม่มีวุฒิภาวะ ไม่ฉลาด ใช้แต่อารมณ์และควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ถ้าปล่อยให้แต่งงาน ลูกเธออาจจะถูกฆ่าตายได้ถ้าเกิดโมโหสุดขีด แต่ก็ห้ามลูกชายไม่ได้ จึงมาขอร้องตัวเราให้ไปพูดกับหลาน

ไอ้ตัวเรามันพูดไม่เก่ง ด่าเก่ง จึงไปขอร้องสามี ซึ่งเป็นคนมีเหตุมีผล พูดได้น่าฟังให้ไปพูดแทน สามีเราก็อุตส่าห์ขึ้นเครื่องบินไปพูดให้ เขาก็ยกเหตุผล เรื่องนิสัยของฝรั่งมาพูดว่ามันจะต้องเกิดปัญหาแน่ๆถ้าแต่งงานกันไป คนเจ้าอารมณ์ขนาดนี้ ต้องก่อเรื่องขึ้นในอนาคต ยิ่งเป็นฝรั่งยิ่งชัวร์ว่ามีเรื่องแน่

แต่หลานชายตอบว่าเขาแก้ไขได้ ค่อยๆดัดสันดานๆไป ก็คงจะดีขึ้น สามีก็เลยบอกว่า กลับไปคิดให้ดีนะว่า เรามีอะไรดีถึงจะไปแก้ไขเขาได้ สันดอนมันขุดได้ แต่สันดานมันขุดไม่ได้ เพราะมันฝังรากลึกอยู่ในใจจนเป็นนิสัย เราแก้ไขเขาไม่ได้แน่ เป็นหมอก็ย่อมรู้ดี ต้องตัดไฟต้นลม ดีกว่าปล่อยให้ไฟลาม ถ้ามีลูกยิ่งตัดใจลำบากมาก

คำตอบแค่นี้แหละ ทำให้หลานชายกลับไปนอนคิด และก็คิดๆๆหนัก ด้วยความเป็นหมอ เขาเข้าใจและกระจ่างแจ้ง ดังนั้นพอกลับไปอเมริกา ก็ขอเลิกกับฝรั่งเด็ดขาด เด็กฝรั่งก็ฝันค้าง หวืดไป

ทางเมืองไทยก็รีบจัดการแนะนำผู้หญิงไทยให้หลานชาย ครั้งหนึ่ง มีการแนะนำให้รู้จักกินข้าวพร้อมกันสองคน คนหนึ่งจบปริญญาโท สวย แต่ขี้เต๊ะ วางท่ามากเกินไป ส่วนอีกคน จบการศึกษาแค่ปริญญาตรี ทำงานเป็นพนักงานธนาคาร ไม่สวยมาก แต่อ่อนน้อมถ่อมตน พ่อแม่ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร เป็นคนบ้านนอกๆ แต่เธอฉลาดมาก เมื่อเจอกับหลานชายซึ่งก็มีท่าทีชอบๆเธอบ้าง เธอก็รู้ว่าชีวิตของเธอไปได้ดีแน่ถ้าได้แต่งงานคราวนี้ เธอจึงใช้ปัญญาที่มี นำตัวเองเข้าไปใกล้ชิดพ่อแม่ของฝ่ายชาย พูดจาอ่อนหวานเอาอกเอาใจ ไปที่บ้านเขาบ่อยๆ ช่วยงานทุกอย่างด้วยท่าทีที่เต็มใจทำ ดูแลเฝ้าไข้เมื่อแม่ของเขาป่วย เรียกว่าทำดีด้วยทุกอย่าง ทำให้เขาและครอบครัวของเขาเห็นคุณค่าของตัวเธอ

ในที่สุด หลานชายก็ตัดสินใจเลือกผู้หญิงคนนี้ มีการสู่ขอแต่งงานใหญ่โตที่บ้านเจ้าสาว เป็นหน้าเป็นตาของฝ่ายหญิง และเธอก็ได้ตามไปอยู่ที่อเมริกา ช่วยงานหลานชาย โดยควบคุมบัญชีและการเงินให้ ผ่อนภาระของหลานชายไปได้มาก

ทุกวันนี้หลานสะใภ้คนนี้ happy สุดๆ เพราะชีวิตครอบครัวที่ดี เนื่องจากหลานชายเป็นคนดีมาก มีลูกชายสองคน ใช้จ่ายเงินสบาย shopping ตามใจที่อยากจะชื้อ ได้ไปเที่ยวเกือบทั่วโลก แต่เธอก็เป็นคนมีน้ำใจ เป็นที่รักของฝ่ายครอบครัวสามีของเธอด้วย และแน่นอนถ้าอยู่กันจนแก่เฒ่า เธอผู้นี้ และลูกๆของเธอ ต้องดูแลหลานชายของเราจนตายจากกัน

เรื่องนี้บอกให้รู้ว่า การใช้อารมณ์ ได้แสดงออก ให้แต่ความสะใจ ก่อความเสียหาย แต่การใช้ปัญญาทำให้สำเร็จทุกอย่าง และให้ข้อคิดในการเลือกคู่ให้คิดไกลไปถึงอนาคต

ลองคิดดูว่าถ้าเลือกผู้หญิงฝรั่งตามที่ตัวเองชอบ ไม่คิดถึงอนาคตเอาสนุกสมหวังตามใจที่ตัวเองต้องการ อะไรจะเกิดขึ้น อาจจะมีลูก แล้วก็หย่า ลูกก็ขาดพ่อหรือขาดแม่ มีปัญหาที่ลูกแน่ๆ

หรือถ้าอยู่กันได้ ก็มีหวังทะเลาะกันตลอด อาจถึงขั้นลงไม้ลงมือ ฆ่ากันตาย และคนที่จะถูกฆ่าคือฝ่ายชายแน่นอน เพราะมีเหตุผลกว่าฝ่ายหญิง

หรือโชคดีอยู่กันยืดจนแก่เฒ่า ใครจะมาดูแลพ่อหรือแม่ เมื่อตายจากกันเหลือเพียงคนเดียว ลูกฝรั่งหรือ ฝันกลางวันไปละมั้ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น