@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
@ เข้าครัว...ทำกับข้าวคลายเครียด!! ผมทำได้ คุณก็ทำได้ครับ
@ 54... "นายกฯปู" สวมชุดนักบินเหินฟ้าชมการใช้กำลังทางอากาศ
@ สถานีรถไฟจีน แล้วลองย้อนมาดูเรา...
@ เรื่อง... ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112
@ "วรเจตน์" ฝ่าศึกสหบาทา: ร้องว่าผมเนรคุณ แต่คุณยืนให้สูงเพื่อบอกว่าจงรักภักดี โดยเหยียบหัวผมขึ้นไป
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ ชุดที่1
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน เวียดนาม ชุดที่2
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน สิงคโปร์ ชุดที่3
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน อินเดีย ชุดที่4
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ฟิลิปปินส์ ชุดที่5
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ร่วมประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ ชุดที่6
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน มาเลเซีย ชุดที่7
@ 81 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือนกองทัพไทย
@ ภาพชุดงานสโมสรสันนิบาต วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5ธ.ค.2554
คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...
ขอขอบคุณและขออนุญาตคุณ kimeng suk นำข้อเขียนของท่านมาลงไว้เว็บนี้นะครับ
ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมเป็นหมอทำแท้ง
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค
ตอนที่1 "ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา"
ตอนที่2 "คนไข้คนแรกของหมอใหม่หมาดๆ"
ตอนที่3 "ผีหลอกหมอ"
ตอนที่4 "อะไรทำให้ รวยและ รวย จากคนจนสุดๆกลายเป็นเศรษฐีใหญ่"
ตอนที่5 "ถูกพ่อดูถูกถึงได้เป็นหมอ"
ตอนที่7 "ทำไมถึงจนอย่างนี้"
ตอนที่8 "อีแปะมันหด-อัศจรรย์ปาฏิหาริย์-โด่ไม่รู้ล้ม"
ต้องขอบอกก่อนว่าเจตนาที่เขียนเรื่องมาลงในประชาทอล์ค ไม่ได้มีเจตนามาโฆษณาเผยแพร่ตัวเอง และมาชักชวนใครเข้าวัดตาม แต่เขียนเพราะชอบเขียนหนังสือ และอยากให้คนรุ่นหลังได้รู้แง่มุมชีวิตที่คนรุ่นหลังไม่มี ใครอ่านแล้ว อาจจะได้คิดบางอย่าง แล้วนำไปปรับปรุงชีวิตตัวเองได้ ก็เป็นกุศลสำหรับเราเองด้วย แต่ถ้าท่านใดเห็นว่า ไม่น่าเอามาลงในประชาทอล์ค ด้วยสาเหตุอะไรก็ได้ก็บอกมาเลยค่ะ จะได้หยุดการเขียน ไปทำอย่างอื่นต่อ ขอบคุณค่ะ
เราและสามีเป็นแฟนกันตั้งแต่ยังเรียนแพทย์อยู่ พอจบแพทย์ฝึกหัดก็แต่งงานกัน หลังแต่งงานก็พากันไปเช่าห้องแถวเปิดคลินิก โดยอาศัยอยู่ชั้นบน เปิดคลินิกตอนเย็น และเสาร์อาทิตย์ โดยมีน้องๆสามีที่มาเรียนในกรุงเทพ 2-3 คนอาศัยและช่วยทำงานอยู่ด้วย สามีมีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 13 คน เขาเป็นพี่คนโต เรามี 12 คนเราเป็นคนกลาง เดี๋ยวนี้ถ้าใครมีลูกเป็นโหลๆแบบนี้ พ่อแม่ต้องมีหุ่นที่ผอมมาก ผอมแบบคนยิวที่ถูกฮิตเล่อร์จับขังสมัยสงครามโลกครั้งที่สองแน่นอน เพราะลูกมันช่วยกันแดกหมด
ตอนกลางวันเราทั้งสองไปทำงานและเรียนต่อ โดยเราเรียนทางกุมารเวชศาสตร์ หรือหมอเด็ก ส่วนสามีเรียนทางสูตินรีเวชศาสตร์ หรือหมอทำคลอด ตอนนั้นได้รับเงินเดือน 1,300 บาทถ้วน ไม่มีค่าอยู่เวร ค่าอะไรต่ออะไรแบบสมัยนี้ เงินไม่พอใช้ ต้องผ่อนรถ ผ่อนตู้เย็น ค่าโน่นค่านี่ และส่งน้องเรียนหลายคน ถ้าไม่มีรายได้จากการเปิดคลินิกมาช่วยก็คงจะลำบากบ้างเพราะตั้งครอบครัวใหม่ ไอ้นั่นก็ไม่มีไอ้นี่ก็ขาด ก็ต้องชื้อ ไม่มีเงินแล้วทำยังไง ก็ต้องผ่อนๆๆๆๆๆๆๆ
ตอนที่เรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นแพทย์ประจำบ้าน งานหนัก อยู่เวรบ่อยๆ แต่ก็พอทนได้ มีอาจารย์ รุ่นพี่ รุ่นน้อง ช่วยกันทำงาน มีเพื่อนมีฝูง ทำให้สนุกสนานกันมากกว่าเครียด หรือหนัก พอเรียนจบ เราก็ได้รับวุฒิบัตรเป็นผู้ชำนาญทั้งคู่ และก็ย้ายไปอยู่ที่โรงพยาบาลใหญ่ในต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง เงินเดือนเพิ่มเป็น 3,000 บาท
เราเปิดคลินิกขึ้นในเมือง เรารักษาเด็ก สามีรักษาผ่าตัดโรคสตรีและรับฝากครรภ์ โดยตกลงกันว่าไม่รับทำแท้งเด็ดขาด ถึงจะจนไม่รวยอย่างหมอคนอื่นที่เขาทำเขา มีเงินฝากเป็นร้อยๆล้าน เราทั้งสองก็จะไม่ยอมทำ จะจนก๋อกก๋อย ขี่รถเก่าๆโทรมๆ ถึงจะไม่มีเงินไม่มีบ้านของตัวเอง ก็จะไม่ทำแท้ง ชีวิตนี้จะจนเพราะไม่ทำแท้งก็ให้มันรู้ไปแหละ พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายของเราก็สั่งห้ามทำแท้งไว้เด็ดขาด
เชื่อไหม แต่ละวันมีคนเดินเข้ามาขอทำแท้ง ไม่ต่ำกว่าวันละ 10 บางวันถึง 20 คนเพราะสามีเป็นแพทย์ทางนี้ รายหนึ่งคิดอย่างต่ำ 5,000 บาท วันละ 50,000 บาท ปีละเกือบ 20 ล้าน 30 ปีก็เกือบ 600 ล้าน โอ๋ย ช่างเป็นตัวเลขที่น่ารักมากๆนี่ขนาดคิดต่ำสุดแล้วนา แต่ไม่เอาไม่ทำ มากแค่ไหนก็ไม่ทำ ต้องทำใจแข็งมากต่อความอยากได้ เพราะเราก็ยังจน เงินไม่ค่อยจะพอใช้ส่งน้องเรียนทีเดียว 10 คน
ทำแท้งก็ง่ายนิดเดียว สิบนาทีก็เสร็จง่ายจะตาย สิบนาทีได้ 5,000 น่าคิดนะ ตรวจคนไข้คนหนึ่งคุยเป็นชั่วโมง ได้กำไรร้อยกว่าบาท แต่เราไม่เอา เรากลัวบาป กลัวไปตกนรก กลัวใจตัวเองจะเศร้าหมอง ไม่มีความสุข เมื่อคิดขึ้นเรื่องนี้ขึ้นมาครั้งใด เลยตกลงกันว่าเราจะทำมากินสุจริต รักษาได้ก็บอกได้ รักษาไม่ได้ก็บอกไม่ได้ ใครชอบเราก็มาไม่ชอบเราก็ไม่ต้องมา ได้เท่าไหร่เอาเท่านั้นพอ
แต่เชื่อไหม ยังมีคนไข้มาหลอกให้สามีทำแท้งให้โดยไม่เจตนา คนไข้เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง มาตรวจบอกว่าประจำเดือนมาปรกติดีเหมือนทุกๆครั้ง เพิ่งหมด 3 วัน จะมาใส่ห่วง สามีก็เชื่อว่าประจำเดือนเพิ่งหมด ก็ยังไม่ท้องแน่ๆ คลำหน้าท้องมดลูกก็ไม่โต ก็เลยใช้ห่วงให้
ก็เรียบร้อยโรงเรียนจีน อีกวันก็ตกเลือด ต้องขูดมดลูกให้ เขาขาดประจำเดือน ท้องมาได้เดือนกว่า ตรวจปัสสาวะรู้ว่าท้อง เธอพอมีความรู้ เลยมาโกหกหมอ หลอกให้ทำแท้งให้ สามีโกรธมากตั้งแต่นั้นมา ต้องตรวจปัสสาวะทุกรายที่จะใส่ห่วง และก็เลิกรับใส่ห่วงในที่สุด กลัวถูกหลอกวิธีอื่นอีก ได้ไม่คุ้มเสีย บางครั้งก็มีหมอด้วยกัน มาขอให้ทำแท้งคนรู้จักกับเขามาขอร้องแกมบังคับให้ทำแท้ง เสนอเงินเป็นหมื่นๆให้ สามีก็ปฏิเสธ ไม่ยอมทำ
สามีรับทำคลอด รับฝากและตรวจการตั้งครรภ์ที่คลินิก เวลาคลอดคนไข้ก็ไปคลอดที่โรงพยาบาล พยาบาลก็จะรายงานและตามหมอเมื่อคนไข้มีปัญหาหรือใกล้คลอด (ธรรมดาพยาบาลมีหน้าที่ทำคลอดในรายที่คลอดปรกติ ไม่ใช่หน้าที่ของหมอ ถ้าผิดปรกติถึงจะรายงานแพทย์) สามีเป็นคนนอนขี้เซา ตื่นแล้วจะงัวเงียอยู่พักหนึ่ง ดูแล้วเขาทรมานมากถ้าถูกปลุกตอนดึกๆ
ครั้งหนึ่งถูกตามกลางดึก เขาก็ลุกขึ้น ล้างหน้าล้างตา แต่งตัวออกไปทำคลอด เราก็หลับต่อ ซักพักเสียงโทรศัพท์ดังอีกบอกว่าหมอไปไหน คนไข้จะคลอดแล้ว หัวเด็กจะออกมาแล้ว เราก็บอกว่าเขาไปแล้วนี่ แต่ได้ยินเสียงเบาๆดังมาจากชั้นล่างว่าอยู่นี่ เราก็รีบออกมาดู ปรากฏว่า นอนแอ้งแม้งอยู่ที่เชิงกะได ตกกะไดลงมาสิบขั้น ลุกไม่ขึ้น เจ็บมาก กลายเป็นหมอขาเป๋ไปหลายวัน ดีว่าขาไม่หัก
ค่ารับทำคลอด เขาก็คิดแค่ 500 บาท ไม่เก็บเงินก่อน คลอดแล้วค่อยใส่ซองมาให้ ซึ่งที่อื่นเขาต้องใส่ซองให้ไว้ก่อนจะคลอด ปรากฏว่าถูกชักดาบเกินครึ่ง บางคนก็จ่ายค่าทำคลอด ด้วยทุเรียน ครึ่งลูก คือจะให้ทั้งลูก ตัวเองก็อยากกินเลยแบ่งกินเสียก่อนครึ่งลูกจะให้หมอหมดก็เสียดาย บางคนก็จ่ายด้วยฟักทองสองลูก บางคนชักดาบคนแรก คนที่สองก็ทำหน้าตายมาอีก แล้วก็ชักดาบอีก สามีก็รู้แต่ก็ทำให้ บางคนชักดาบค่าทำคลอดไปแล้ว ก็ไม่ทักไม่ทายหมอ และไม่มารักษาที่คลินิกต่อไป
สามีบอกว่าไม่สบายใจที่เวลาไปดูคนไข้ของตัวเองแล้วไม่ได้ดูคนไข้ของหมออื่นด้วย เพราะเวลาเราไปดูคนไข้ของเรา คนไข้เตียงอื่นๆก็อยากจะให้หมอดูด้วย แต่เราไปยุ่งเกี่ยวกับคนไข้ของหมออื่นไม่ได้ เท่ากับไปก้าวล่วงการรักษาของเขา จะทะเลาะกัน อย่างมากก็แค่ทักทายคนไข้ได้เท่านั้น ยกเว้นกรณีฉุกเฉิน
เราก็เลยตกลงกันว่าไม่รับฝากทำคลอดพิเศษส่วนตัว ตรวจแต่คนไข้ทั่วไป คนไข้เด็ก และผ่าตัดทางนรีเวชก็พอ ได้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น ชีวิตสามีก็เลยสบายขึ้น ไม่ต้องถูกปลุกกลางคืนบ่อยๆอีก เดี๋ยวนี้ ไม่รับผ่าตัด ตรวจแต่คนไข้โรคทั่วไป งานเบาๆสบายๆตรวจวันละ 4 ชั่วโมงก็หยุด มีรายได้พอกินพอใช้ ไม่รวยแต่ก็ไม่ถึงกับจน หมดหนี้หมดสิน ทำคลินิกเพื่อหาเงินใช้จ่ายรายวัน และก็แก้เหงาไปด้วย แม้ไม่มีเงินเหมือนเพื่อนๆ เราก็มีความสุขตามประสาของเรา ไปวัด ถือศีลห้า นั่งสมาธิทุกวัน พระลูกชายก็เอาบุญมาฝากทุกๆวัน พอใจแล้ว
By เดฟ: ชาวบ้านเขาบอกกันว่าหมอทุกวันนี้หน้าเงิน จริงเปล่าครับ
By kimeng suk: ไม่ทราบเรื่องหมออื่นๆ แต่เอาตัวอย่างของเรานะ เมื่อจบใหม่ๆ เราไม่มีเงิน ถึงแม้ทางบ้านเราจะรวย แต่เราก็ไม่ได้ขอ หาเงินเอง เรามีความรู้สึกอยากมีเงิน ไปซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อนั่นซื้อนี่ เห็นรุ่นพี่รวยๆแล้วก็อิจฉา อยากเป็นแบบนั้นบ้าง
เลยมุมานะเปิดคลินิก เจอคนไข้ที่เราสมารถหลอกเอาเงิน ยังโง้นยังงี้ได้ ใจหนึ่งก็บอกว่าได้เงินเยอะนะ แต่อีกใจก็บอกว่ามันเป็นบาป หลวงพ่อก็พรำสอนไม่ให้ทำผิดศีล สุดท้ายเราก็ระงับความยากได้ ไม่ทำอะไรที่ไม่ดีต่อคนไข้ แล้วภายหลังเรากับสามีพูดกันบ่อยๆว่าเรา ไม่มีแผลในการทำคลินิก เราทั้งคู่รู้สึกพูมใจมาก มีความสุขใจ จนก็ไม่ว่า
ที่คลินิกของเรา คนไข้มาต้องจ่ายค่ายา ค่าลงทุน และค่าแรงงานของเรา ในราคาที่คนไข้รับได้ ไม่บ่น เราอยู่ได้ ถ้าไม่มีเงินใครกล้าบอกเรา เราก็ลดให้หรือฟรี พระ เณร ชี ฟรี แพงแค่ไหนก็ฟรี บางครั้งพระเต็มคลินิก เราก็ฟรีถวายท่านเอาบุญ หลวงพ่อสอนเราว่า รักษาพระ เณร เท่ากับต่ออายุพระพุทธศาสนาไปด้วย
By sri123: เห็นว่า ถ้าคนเรา ยินดีในสิ่งที่ตนได้ พอใจในสิ่งที่ตนมี ก็ถือว่าเป็นคนโชคดีแล้ว ความสุขเนี่ย มีเงินมากมายก็ซื้อคำนี้ไม่ได้ ถ้าเราอยากได้ก็ต้องสร้างเอง และความไม่มีหนี้เนี่ยก็เป็นความสุขอย่างนึงเหมือนกันนะคะ ...
By joojee1: การทำแท้งหลบซ่อน มันก็ทารุณ นะ เคยมีเพื่อนที่ตกเลือดเกือบตาย เป็นการทำแท้งจากผู้ไม่ใช่หมอ ไม่มีคำตอบสำหรับเมืองพุทธ
By kimeng suk: อันตรายมาก ถ้าคนทำแท้งไม่มีความรู้ เวลาติดเชื้อแล้วรักษาไม่ค่อยทัน มักเสียชีวิต หรือติดเชื้อบาดทะยัก หรืออย่างน้อยๆก็ตัดมดลูกทิ้ง
เคยผ่าศพคนทำแท้งแล้วติดเชื้อตาย พอลงมีดเปิดหน้าท้อง เราเป็นลม หน้ามืด ล้มลงเลย เพราะกลิ่นมันเหม็นมากพุ่งเข้าปะทะหน้าเราเต็มที่ เหม็นที่สุดในชีวิต ยังจำกลิ่นนี้ๆได้ติดจมูกจนเดี๋ยวนี้
By ตัวเล็ก: ขอความรู้หน่อยค่ะ ถ้าไม่ไปทำแท้งเถื่อน ซึ่งอันตราย แล้วต้องไปที่ไหนคะ ในกรณีที่ไม่พร้อมหรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าคนที่มีปัญหาพวกนี้ควรทำอย่างไรคะ
By เดฟ: ตัวเล็กถ้าตัวเองท้องไม่มีใครรับเป็นพ่อเด็กก็อย่าไปทำแท้งเลยนะ มันบาป สงสารเด็กเถิด ให้เรารับเป็นพ่อเด็กแทนก็ได้นะตัวเล็ก อย่าทำบาปเลยเราขอร้องละ...
By ตัวเล็ก: ไม่ได้ท้องคร๊าบบบบบบ แหมเนาะ แค่อยากรู้ว่าถ้าเกิดมีปัญหาแล้วไม่สามารถเอาไว้ได้เราจะต้องทำยังไง อ้อ ไม่ต้องบอกว่าทำไมไม่ป้องกันน๊า อยากรู้แค่ว่าควรทำยังไงถ้าไม่ไปที่คลินิกเถื่อน มีตัวเลือกที่ดีกว่านี้ไหม
By kimeng suk: บอกไม่ได้ค่ะ บอกก็เท่ากับส่งเสริม ได้รับบาปเท่าๆกัน มันมีทางแก้ปัญหาค่ะ อย่างเช่น ท้องตอนเรียน เคยมาปรึกษารายหลาย สามีแนะนำให้ยอมรับกับพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย และให้ฝ่ายหญิงหยุดการเรียน จนกว่าจะคลอด แล้วย้ายโรงเรียนใหม่ หรือถ้ามหาวิทยาลัยก็กลับไปเรียนต่อได้จนจบ
เคยแนะนำไปคู่หนึ่ง ให้ฝ่ายหญิงหยุดเรียน รอคลอด เขาหายไปเลยหลังแนะนำ พอเราย้ายมาอยู่ที่ต่างจังหวัด เขาเอาลูกมารักษา พอเห็นสามีเรา เขาดีใจใหญ่ บอกว่านี่ลูกคุณหมอที่ห้ามทำแท้งไว้ ตอนอยู่กรุงเทพฯ เขาตั้งชื่อเหมือนชื่อสามีเลย ตอนนี้โตแล้ว สิบกว่าปี เราฟังแล้วเป็นปลื้มสุด
ถ้าเป็นแม่บ้านแล้วท้อง คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทำลายชีวิตของลูกคุณ เขาได้โอกาสมาเกิดเป็นคนซึ่งยากมาก คุณก็เอาสิทธิ์อะไรไปทำลายเขา เขามาเกิดแล้วมีวิญญาณมีชีวิตจิตใจเท่ากับคุณ คุณไม่สงสารเขาหรือ
การทำแท้งคือการทารุณที่สุด ถ้าใช้เครื่องดูดออก เขาก็เจ็บปวดมาก ถูกดูดถูกกด ถูกฉีกจนเป็นก้อนเล็ก หรือถ้าใช้วิธีขูดออกก็ขูดออกมาเป็นชิ้นเล็กๆ ตัดออกที่ละน้อยๆ เด็กจะเจ็บปวดแค่ไหน ถึงจะเล็กยังไรเขาก็มีความรู้สึก เป็นเราโดนเข้าจะรู้สึกอย่างไร
เรามักจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าไม่พร้อม ยังโง้นยังงี้ เมื่อทำให้เขาเกิดมาเราต้องรับผิดชอบ จะเอาแต่สนุกอย่างเดียวไม่ได้ เพียงแต่เรามักจะเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ปัญญาหาของเราเองฝ่ายเดียว ทำไมไม่คิดว่า เมื่อท้องเขาแล้ว ปล่อยเขาออกมา มีปัญหาก็สู้แก้ไขปัญหาเอา มันคงไม่ถึงกับทำให้เราตายเพราะปัญหามีลูกเพิ่มอีกคนละมัง ถ้าใจสู้มีเมตตาต่อลูก เราก็ชนะค่ะ
By ตัวเล็ก: ถ้างั้นแสดงว่าคนที่มาหาคุณหมอวันละ 10 - 20 คนนั้น เขาก็มีทางแก้ปัญหากันทุกคนใช่ไหมคะ แล้วถ้าเขาไม่มีทางแก้เขาทำยังไงกันคะ
By kimeng suk: คนไหนเชื่อเขาก็ทำตาม เราไปบังคับเขาไม่ได้ ถ้าเขาจะทำแท้งเขาก็ต้องไปดิ้นรนเอง ไม่ใช่หน้าที่หมอที่จะเรียนมาฆ่าคน เราเรียนมาช่วยคน
แต่ถ้าคุณจะดิ้นรนเอง ไปทำเองก็เป็นสิทธิ์ของคุณ แต่จะมาว่าหมอใจดำไม่ได้ เรื่องอะไรเอาเรื่องเดือดร้อนของตัวโยนมาตกที่หมอ
คุณรู้ไหม เกิดอะไรขึ้นกับหมอที่ทำแท้ง ได้เงิน 5,000-10,000 บาท แต่ถ้าถูกจับได้หมดอนาคต ติดคุก หมดชื่อเสียง ถูกยึดใบประกอบโรคศิลป์ เป็นหมอไม่ได้อีก แล้วคนไข้มารับผิดชอบหมอไหม หนังสือพิมพ์ก็ลงบ่อยๆ ไม่ใช่ไม่มีความผิด
หมอคนที่ทำแท้ง ภาวะจิตใจเสีย มองหน้าคนไม่เต็มตา ยิ่งแก่ยิ่งนึกถึงความผิดนี้ หนีไปไหนก็ไม่ได้ คิดถึงความผิดอันนี้ตลอดเวลา มันหลอนอยู่ในใจ เป็นความทุกข์ใจที่ใครก็ช่วยไม่ได้เสียด้วย เคยเห็นมาแล้วหลายคน
ตายแล้ว ไปตกนรกขุมหนึ่งแน่นอน ตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ทำกรรมปาณาติบาต
ถ้าเป็นหมอลูกของคุณ รู้ว่าถ้าทำลูกต้องโดนแบบนี้ ยังจะให้ช่วยทำแท้งให้คนไข้ไหม ถ้าจะทำก็ไปหาหมอคนอื่นที่เขาเต็มใจ ไม่กลัว อยากได้เงิน ทำให้
By boy: ไปที่นี่เลย ปลอดภัย ตำรวจไม่จับ http://www.clinicrak.com/lady/abort_qna.shtml บอกชัดๆเลยก็ได้ เลขที่ 8 สุขุมวิท 12 เป็นของ มีชัย วีระไวทยะ
By ตัวเล็ก: ขอบคุณค่ะก็มีนี่นา แต่ทำไมคนชอบทำแท้งเถื่อนกันหว่า
By Spy: ใครคิดจะทำแท้ง ถ้าไม่เดือดร้อนมากจริงๆ อยากให้คิดหลายๆตลบ และลองไปดูที่ http://www.justthefacts.org/continue.asp มีรูปที่เห็นแล้ว อึ้ง อยู่หลายรูป
ชีวิตที่ไร้เป้าหมาย
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค
เรื่องนี้เขียนขึ้นจากชีวิตจริงของน้องชายแท้ๆของเรา ซึ่งคนสมัยนี้ก็มีวิถีชีวิตแบบน้องชายของเรา ตอนหนุ่มๆผลของการดำเนินชีวิตแบบนี้ยังไม่เห็น แต่เมื่อแก่ตัวลง รู้สึกตัวเห็นผลของมันก็แก้ไขอะไรไม่ได้ ได้แต่เสียใจ และเสียใจ
น้องชายของเราคนหนึ่ง ขณะนี้อายุ ประมาณ เกือบ 60 ปี เมื่อไม่นานมานี้เขาได้มานั่งคุยกับเรา คุยไปก็น้ำตาไหลไป บอกว่า เขาเสียใจมากที่ ชีวิตที่ผ่านมาของเขา ไม่ได้ทำความดี ไม่ได้ตั้งเป้าหมายของชีวิตไว้ ปล่อยชีวิตให้ลอยไปเรื่อยๆเหมือนสายน้ำ ไปเจอสวะหรือหมาเน่าในแม่น้ำ ก็คว้าไว้ คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ตั้งเป้าหมายให้ชีวิตของตัวเองยังไม่พอ ลูกสองคนก็ไม่ได้สอนให้เป็นคนดี และสอนให้พวกเขาตั้งเป้าของชีวิตไว้เลย ทั้งชีวิตของเขาและของลูกถึงพังไม่เป็นท่า
น้องชายคนนี้เป็นลูกชายคนที่ 4 ของเตี่ย ซึ่งมีลูกทั้งหมด 15 คน เป็นผู้ชาย 5 คน เขาเป็นคนขี้โมโห ชอบเถียงเอาชนะ ดื้อ แต่เป็นคนพื้นฐานใจดี รักพี่น้อง ใครใช้ให้ทำอะไรก็ช่วยด้วยความเต็มใจ ชอบครบเพื่อนไม่ถึงกับเกเร แต่ก็ไม่เอาถ่าน ไม่ชอบเรียนหนังสือ บอกว่าไม่รู้จะเรียนไปทำไม บ้านเราก็รวยแล้ว จบอะไรก็กลับมาทำงานบ้านได้ เขาเลยไม่สนใจการเรียน แต่ก็สอบพอผ่านได้
พอจบมัธยมปลาย สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ เตี่ยก็ส่งไปอยู่กับพี่สาวที่อเมริกา ไปเรียนจบปริญญาตรี วิศวกรโรงงาน ก็กลับมาช่วยงานที่บ้าน ซึ่งมีโรงเลื่อย โดยไม่มีความคิดจะออกไปหางานที่อื่นทำเพื่อตั้งตัวเอง ทั้งๆที่ๆบ้านมีพี่มีน้องกลับมาช่วยงานหลายคนแล้ว
เขามีหน้าที่ต้องออกป่าไปควบคุมการตัดไม้ ทำให้เขามีโอกาสไปคบคนพาล ซึ่งก็คือลูกน้องของเขา พวกนี้ชอบกินเหล้า เย็นมาก็ตั้งวงเหล้ากันทุกวัน จนกลายเป็นคนติดเหล้าอย่างหนัก ลูกน้องก็ประจบประแจงจะได้กินเหล้าฟรี เชื่อไหมเขาตั้งร้านขายอาหาร เขาและลูกน้อง ตั้งวงกินเหล้าจนร้านอาหารของเขาเจ๊ง เขาเป็นคนที่ ไม่ว่า ใครจะเตือนเรื่องกินเหล้ามากไป เขาอย่างไรก็ไม่ฟัง แถมยังบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ ห้ามกินเหล้าอีกแนะ
ติดเหล้าแล้วยังไม่พอยังเจ้าชู้ มีเมียมาก โดยไม่ได้เข้าพิธีแต่งงานตามประเพณีซักคน เขาเลือกเมียเพราะความสวยอย่างเดียว พอใจเป็นเอามาทำเมีย ที่เห็นเป็นตัวเป็นตนมี 3 คน พอมีลูกพ่อก็ไม่ได้ดูแล มัวทำงาน เมาเหล้า เจ้าชู้ ทะเลาะกับเมียๆเป็นประจำ ด่าเมีย เมียก็ด่าตอบ ด่ากันไปด่ากันมา เมียๆก็ทะเลาะกันเองอีก สรุปแล้วไม่ว่าจะเป็นบ้านเมียไหน ทุกบ้านต่างก็ไม่มีความสุข
ไม่มีใครสนใจความรู้สึกของลูกๆ จนสุดท้ายลูกคนหนึ่งเป็นโรคซึมเศร้าอย่างแรง อีกคนก็เอาดีไม่ได้ ขี้เกียจ ตื่นสาย ทำงานอะไรก็ไม่เอาจริง แต่งงานก็ต้องหย่า ทำงานไม่เป็นโล้เป็นพาย ยังดีที่ลูกจากเมียคนสุดท้าย เขาค่อนข้างให้ความสนใจ และดูแลมากกว่าลูกเมียอื่น จึงไม่เกเร เรียนเก่ง พอให้พ่อชื่นใจบ้าง
เมื่อประมาณหนึ่งปีก่อน ได้แนะนำให้เขาบวช ในโครงการบวชพระแสนรูปทุกตำบลทั่วไทย 49 วัน พอสึกออกมาเขาก็เลิกเหล้า และเข้าวัด นั่งสมาธิ ถือศีล ทำทาน เขาดีขึ้นมาก และก็รู้สึกตัวแล้วว่า ทำให้ชีวิตตัวเองผิดพลาดไม่พอ ยังทำให้ชีวิตของ เมียและลูกผิดพลาด ไร้ความสุขไปด้วย แต่ก็สายเกินกว่าที่จะแก้ไขได้แล้ว ได้แต่เสียใจ แต่สายน้ำไม่ไหลกลับ ฉันท์ใด ชีวิตก็ไม่หวนกลับมาฉันท์นั้น
เขาเสียใจมากๆถึงกับหลั่ง น้ำตาร้องไห้ สะอึกสะอื้น ตอนนี้ก็ได้แต่แก้ไขให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น แต่ชีวิตของลูกๆพังไปแล้ว เพราะเขาเป็นพ่อที่เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจตัวเอง ทำตามใจตัวเองเป็นใหญ่ เห็นแก่ความสนุกสนาน ไม่นึกถึงชีวิตจิตใจของลูกๆ ไม่ได้สอนและใกล้ชิดเขาเลย เลี้ยงแบบปล่อยให้พวกเขาโตขึ้นมาเองและไม่ได้รดนำพรวนดินให้ปุ๋ยใดๆ
จะเห็นว่าชีวิตของน้องชาย ถ้าตอนที่เขาเพิ่งเรียนจบมา เขารู้จักตั้งเป้าหมายของชีวิตว่า เขาจะมีชีวิตแบบไหน เขาจะทำงานเลี้ยงตัวเองมีอาชีพอะไร ต้องสร้างฐานะอย่างไร มีเมียแบบไหน มีลูกกี่คน และไม่ปล่อยตัวคบเพื่อนสนุกสนานไร้สาระ ชอบคนประจบสอพลอ พากัน กินเหล้าจนติดแบบนี้ รู้จักควบคุมตัวเองให้ดำเนินชีวิตในทางที่ดี มุ่งสู่เป้าหมายของชีวิต ทำอะไรทำจริง ฐานะและสุขภาพของเขา รวมทั้งความสุขของครอบครัวและตัวเขาเองต้องดีกว่านี้เป็นร้อยเท่า
และอยากจะขอบอกกับใครก็ตามที่คิดจะเอาลูกกลับมาช่วยงานบ้าน ถ้ากิจการตัวเองไม่ใหญ่โตพอหรือมีหลายกิจการ ให้เอาลูกมาช่วยงานแค่คนเดียว ไม่เกินสองคนก็พอ เอามาหลายๆคน สุมหัวกินกับกงสี พอพ่อแม่ตายจากไป มักจะแตกกัน แบ่งมรดกกันแล้วเหลือคนละไม่เท่าไหร่ เอาตัวไม่รอด ไม่มีอาชีพ จะตั้งตัวใหม่ก็ช้าไป ให้คนอื่นๆที่เหลือไปหางานทำ ตั้งตัวเอง สร้างอาณาจักรของเขาเอง เราแค่คอยให้คำปรึกษา หรือช่วยเหลือเมื่อจำเป็น เมื่อเราตายไปเขาก็ยังมีกิจการที่เป็นของตัวเอง เอาตัวรอดได้
By sri123: บางเรื่องก็เห็นตรงเห็นแย้งนะ มีเป้าหมาย ก็เสมือนมีแนวทางชีวิต แต่ก็อย่างว่า ความต้องการของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุดค่ะ มีเป้า ก็อาจจะเปลี่ยนเป้าได้อีก เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามกิเลสที่ต่างคนต่างมี บางคนมีเป้าแค่ว่า แค่มีครอบครัวที่อบอุ่น มีความสุข แต่เป้าเนี่ย มันก็ไม่ใช่ของคนคนเดียวแล้วไง เพราะมันกลายเป็นเรื่องของคนสองคน ก็เลยคิดว่า อยู่กับปัจจุบัน ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แบบนั้น ... จะได้ไม่เสียใจกับทุกการกระทำนะคะ
By kimeng suk: ขอบคุณค่ะคุณศรี ที่ให้ความคิดเห็นที่ดีมีเหตุมีผลมาตลอด คนเรามีความคิดเป็นของตัวเอง มีสิทธิ์ที่จะเห็นด้วยไม่เห็นด้วย การแสดงความคิดเห็นออกมาก็เป็นการให้ข้อคิดเห็นอีกมุมมองหนึ่ง สำหรับท่านผู้อ่านเป็นสิ่งที่ดีที่น่ายกย่องมาก เพราะหลายความคิดย่อมทำให้ผู้อ่านได้ประโยชน์มากขึ้นค่ะ
การแสดงความคิดเห็นที่ดีก็ควรจะเคารพความคิด ความเชื่อ ความศรัทธาของผู้อื่น และให้เกียรติเขาด้วยตามวิสัยของปัญญาชน มีบางคน พอคนอื่นเขามีความเชื่อ หรือเคารพในสิ่งที่ตัวเองไม่เชื่อ ไม่ศรัทธา ก็ไปหาว่าเขาโง่งมงาย ด่าเขา นั่นเป็นการล่วงล้ำสิทธิ์ส่วนตัวของผู้อื่น และเป็นคนพาลสันดานหยาบค่ะ
By mamiya: ถูกต้องที่สุดครับ อยู่กับปัจจุบัน ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร มีสิ่งใดมาเปลี่ยนแปลงชีวิตเราอีก
เรื่องเชยๆในวันแต่งงาน
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค
เขียนเรื่องเครียดๆมาหลายเรื่องติดๆกัน วันนี้ก็จะเขียนเรื่องเบาๆ อ่านแล้วคลายเครียด ดีไหมค่ะ ใจเราจะได้ไม่เครียดโกรธโมโหตามเรื่องการบ้านการเมืองไปด้วย อ่านเรื่องนี้ ฮอร์โมนของความสุขจะหลั่งออกมา อย่างน้อยๆยิ้มในใจได้ก็ยัง happy, happy and happy แม้จะชั่วแว๊บหนึ่งของชีวิต
เราเป็นแฟนกับสามีตั้งแต่เป็นนิสิตแพทย์ปีที่ 4 สมัยนั้นมีหนุ่มๆนักเรียนแพทย์ มาจีบเราหลายคน แต่ละคนหล่อๆรวยๆทั้งนั้น เพราะหน้าตาเราก็พอไปวัดไปวาตอนสายๆได้ หุ่นดี เอวบางร่างน้อย อ้อนแอ้นอรชร ไม่เป็นตุ่มสามโคก หมีน้อยน่ารักแบบตอนนี้ (คิดถึงหุ่นตอนนั้นกับตอนนี้แล้ว เฮ้อ ตูอยากตาย ) แต่คนเราเมื่อเป็นเนื้อคู่ มันก็คือคู่แล้วไม่แคล้วกัน
ชีวิตรักของเราสองคน ก็หวานแหววแบบนักเรียนแพทย์ทั่วไป แต่ของเราแปลกมากๆ คือผู้ชายเป็นคนเรียน คือแฟนเป็นคนเข้าเรียน เซ็นชื่อเข้าเรียนแทนเรา ในวิชาตอนบ่ายๆ และจดเล็คเซอร์พร้อมก๊อปปี้ เย็นมาก็เอามาส่งให้เราที่หอพัก ส่วนเราทานข้าวกลางวันเสร็จ เล็งดูวิชาไหนอาจารย์ไม่เคร่งครัดเราก็นอนหลับสบายไม่ไปเรียน ตื่นขึ้นมาแฟนก็เอาเล็คเซอร์มาส่งให้ เราหลับเต็มอิ่มแล้ว ก็อ่านและท่องที่เขาจดมาให้ปรากฏว่า สอบทีไรเราได้คะแนนมากกว่าเขาทุกที เพราะเขาฟัง จด แต่อ่านน้อย เราไม่ได้ฟังไม่ได้จด แต่อ่านมากกว่า ฮา ฮ้า เราเก่งกว่า ขี้เกียจกว่า แต่ชนะทุกที เห็นมั๊ย
พอเป็นแพทย์ฝึกหัดเกือบจะจบก็จัดงานแต่งงานที่บ้านของเรา ต่างจังหวัด เตี่ยแม่ดีใจมากที่ลูกสาวคนเดียวที่เป็นหมอได้แต่งกับหมอด้วยกัน เป็นหน้าเป็นตาของเตี่ยกับแม่ เลยร่วมกับพ่อแม่สามี จัดการแต่งงานให้ใหญ่โตมาก เลี้ยงโต๊ะจีนเกือบร้อยโต๊ะ มีการเลี้ยงเหล้าฝรั่ง อย่างดี ราคาขวดละหลายสตางค์ อาหารอย่างดี มีการเลี้ยงแพะตุ๋นแบบคนไหหลำด้วยนะ ซึ่งที่บ้านทำได้ขึ้นชื่อว่าอร่อยมาก งานนี่คนมางาน ตั้งใจมากินแพะตุ๋นกับเหล้าฝรั่งกันมากกว่ามางานแต่งงาน สงสัยกินดื่มกันอร่อย จนลืมดูเจ้าบ่าวเจ้าสาวว่าหล่อไหมสวยไหมไปด้วยซ้ำ เอ้า ดื่ม ดื่ม ดื่ม กิน กิน กินเข้าไป จนเมาเป๋ แย่งกันพูดไม่มีใครฟังใคร เสียงดังโดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟน แต่ก็ถือว่าเป็นงานแต่งที่ดังมากของจังหวัดนั้นเลยละ แต่ถ้าเป็นสมัยนี้เราจะเลี้ยงแค่น้ำหวานหรือน้ำเปล่าก็พอ ไม่เลี้ยงเหล้า เสียดายเงินนะ
วันแต่งเจ้าสาวต้องตื่นแต่ตีสี่ ลุกขึ้นมาไหว้เจ้า ทั้งหมด 7 แห่งในโรงเลื่อย ไหว้และก็ไหว้ กว่าจะเสร็จก็เกือบหกโมงเช้า เจ้าสาวโทรมสุดๆ หน้างอเป็นม้าหมากรุก แล้วก็ต้องไปแต่งหน้าทำผม เตรียมเข้าพิธีหมั้นในตอนเช้า ตอนแรกช่างทำผมทักว่า วันนี้ทำไมไม่ยิ้มเลย อย่าหน้างอในวันสำคัญ เราก็เหนื่อยยิ้มไม่ออก แต่พอแต่งหน้าทำผมเสร็จ โอะ แม่เจ้าโวย เทพธิดาองค์ไหนมาจุติ จำตัวเองไม่ได้เลย ช่างทำผมบอกว่าเราสวยมาก แต่งหน้าขึ้น เราดูแล้วขยี้ตาตัวเอง สวยจริงๆนะ สวยขนาดเข้าประกวดนางสาวไทย ได้อันดับรองบ๊วยแน่ๆ เราก็เกิดอารมณ์ดีฉีกยิ้มปากกว้างถึงใบหูไม่ยอมหุบ จากนางแก้วหน้าม้ากลายเป็นเทพธิดาสุดสวย ไม่ปลื้มก็เกินไปละ เราภูมิใจนะที่เกิดมาก็สวยกับเขาอยู่หนึ่งวัน คือวันแต่งงานนี่แหละ
ระหว่างพิธีหมั้น ไอ้ความที่เราเป็นแพทย์ฝึกหัด งานมากอยู่เวรบ่อย จนลืมเตรียมโน่นเตรียมนี่ไว้ เราก็เลยดันลืมบอกเตี่ยให้เตรียมเรื่องแหวนที่จะใส่ให้เจ้าบ่าว หลังจากเขาสวมแหวนหมั้นให้แล้ว แหวนไม่มีก็มองหน้ากันไปมาเลิกลักๆ ไอ้เราก็หน้าจ๋อยเหลือสองนิ้ว ค่อยๆกระซิบบอกแม่ว่าลืมเตรียมไว้ แม่แก้ปัญหาโดยวิ่งไปหยิบแหวนทองแบบคนจีนที่มีตัวอักษรจีนอ่านว่าอะไรไม่รู้ที่หัวแหวนมาให้ เจ้าบ่าวก็เลยได้แหวนหมั้นวงพิเศษ ที่มีคำพิเศษอ่านไม่ออก เราโล่งอกโล่งใจ แก้ผ้าเอาหน้ารอดไปได้ มีแหวนให้เจ้าบ่าวใส่โก้หรูมีภาษาต่างประเทศด้วย เอาไงอีกละ ทองแท้จากเยาวราชเชียวนะ โก้อย่าบอกใคร 5555555
พอถึงตอนกินเลี้ยง เจ้าบ่าวและเจ้าสาวต้องขึ้นกล่าวขอบคุณแขก เจ้าบ่าวกล่าวคนแรก ด้วยมาดเท่สุดๆ ว่า "ข้าพเจ้าและเจ้าบ่าว" ไอ้เราฟังแล้ว เฮ้ย ไม่มีเจ้าสาวนี่ แต่งกับผู้ชายหรือไง เลยใช้ข้อศอกสะกิดสีข้างเจ้าบ่าวแล้วกระซิบบอกว่า เจ้าสาวๆ เจ้าบ่าวทำหน้างงๆ ถามว่าอะไรๆ เราก็บอกว่าพูดว่า เจ้าสาวซิๆ เขาก็พูดใหม่ เสียงดังขึ้นว่า "ข้าพเจ้าและเจ้าสาว" เฮ้อ ค่อยยังชั่ว ดีนะที่ไหวตัวแก้ทัน สงสัยตกตะลึงความงามของเจ้าสาวมากไป
พองานเลี้ยงเลิก เราทั้งสองก็มายืนส่งแขก ที่หน้าบ้าน เชื่อไหมแขกบางคนทั้งหญิงทั้งชายเดินหนีบแขนขวา เดินตัวลีบแขนขวาไม่แกว่ง คล้ายคนเป็น อัมพฤกษ์ ให้เดาซิว่าทำไมเขาถึงต้องเดินแบบนั้น ไม่มีอะไรหร๊อก เขาหนีบเอาเหล้าราคาแพงกลับบ้าน เรายืนมองแล้วก็ขำ เอาไปตรงๆก็ได้ ไม่ต้องซ่อนไว้ใต้เสื้อแล้วหนีบไปหรอก เพราะเราถือว่าให้แล้วก็ให้เลย บางคนยกมือรับไหว้เรา ขวดเหล้าหลุด ตะครุบกันชุลมุนวุ่นวาย ดูแล้วตลกดี
เขียนเรื่องนี้เอาสนุกๆ ไม่มีสาระ แค่จะบอกว่าถ้าเราทำตัวดี ให้พ่อแม่ชื่นชมชื่นใจ พ่อแม่นั่นแหละที่จะทำสิ่งที่ดีที่สุดให้เรา
By ทอนกิด: ชอบตรงที่บอกว่า "แค่จะบอกว่าถ้าเราทำตัวดี ให้พ่อแม่ชื่นชมชื่นใจ พ่อแม่นั่นแหละที่จะทำสิ่งที่ดีที่สุดให้เรา" อึ้งไปเรย กินใจสุดสุด อยากให้คนที่เป็นลูกและกำลังเจริญเติบโตได้อ่านจัง ต่ออะนะหลังแต่งงาน............หวานแค่ไหน
ขับรถชนตำรวจขาขาด...
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค
ลูกพี่ลูกน้องของเราคนหนึ่ง เป็นคนหนุ่มมีอนาคตก้าวไกล ทำงานเป็นนายธนาคารของธนาคารใหญ่แห่งหนึ่ง เงินเดือนมากเอาการอยู่ และอนาคตมีหวังที่จะไปเป็นนายแบ็งค์ใหญ่ เพราะเขาทำงานเก่ง มีหัวคิดก้าวหน้า เจ้านายรักและสนับสนุนเขามาก กำลังจะให้ย้ายไปทำหน้าที่ใหญ่โตขึ้นในสำนักงานใหญ่ แต่อะไรมันก็ไม่เที่ยงแท้แน่นอน อยู่ๆทุกอย่างก็จบสิ้น พังพินาศเพราะการดื่มเหล้า เมามายจนขาดสติ
เขามีนิสัยชอบดื่มสุรา ดื่มมาตั้งแต่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ระยะแรกก็ดื่มน้อยๆ เอาแค่สังสรรค์ เข้าสังคม เขาบอกอยู่เรื่อยๆว่า "ผมไม่มีทางติดสุรา ผมเป็นนายมัน ไม่ใช่มันเป็นนายผม" ตอนนั้นเขายังอายุน้อย เงินเดือนก็น้อย ไม่พอใช้ ตำแหน่งหน้าที่การงานก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ใครก็ไม่รู้จัก เพื่อนก็มีน้อย สังคมก็เลยน้อยตามไปด้วย เขาก็เลยดื่มบ้างไม่ดื่มบ้าง ส่วนมากดื่มเองที่บ้าน เป็นการ warm up ขั้นต้น ของชีวิตคนขี้เมาในอนาคต
แต่พอตำแหน่งหน้าที่การงานสูงขึ้น มีคนรู้จักมากขึ้น ต้องออกไปรับรองแขก ติดต่อลูกค้าและเพื่อนฝูงเกือบทุกวัน ก็ต้องดื่มตามประเพณีของงานเลี้ยง ดื่มเหล้าดีๆ ดื่มได้ไม่อั้นเพราะทางธนาคารที่ตัวเองทำงานเป็นคนจ่าย โดยเบิกเป็นค่ารับรอง ที่นี่ก็หวานหมูสะดือจุ่นนะซิ ทุกคนสนุกสนานเฮฮา กิน ดื่มได้เต็มที่ กินฟรี ดื่มฟรี เอ้าดื่มๆ มาชนแก้วกันหน่อยพวกเรา มา ม๊า มา ดื่มให้ซ่ำทรวงเลยพรรคพวก ไม่ต้องเกรงใจ ของฟรีโว้ย
แต่ที่นี้เหล้าไม่ใช่น้ำเปล่า มันเป็นยาเสพติดชนิดหนึ่ง ที่ถูกกฎหมาย ดื่มทุกวัน มันก็ต้องติดเป็นธรรมดา แม้แต่เทวดาดื่มแบบนี้ก็เสร็จทุกราย กลายเป็นเทวดาขี้เมาตกสวรรค์เหมือนกัน น้องชายคนนี้ก็กลายเป็นคนติดเหล้า ต้องดื่มตอนเย็นหลังเลิกงานจนเมามาย เวลาเมาดีหน่อยไม่โวยวาย เงียบๆซึมๆแต่เดินเป๋ไปเป๋มา
อยู่มาวันหนึ่งเขาไปงานเลี้ยงรับรองลูกค้าธนาคาร ซึ่งแน่นอนก็ต้องมีการดื่มกินกันเต็มที่ พอดึกเมาจนเกือบไม่มีสติ ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน น้องชายคนนี้ขับรถกลับบ้านเอง ระหว่างทาง ก็มีตำรวจจราจร ขี่มอเตอร์ไซค์ซ้อนท้ายกันสองคน ขี่นำอยู่ข้างหน้ารถน้องชาย คนเมาตาลายไม่มีสติ อยู่ๆก็ขับเข้าไปชนตำรวจสองคนนั้นและทับทั้งสองคนอยู่ใต้รถ ชนตำรวจแล้ว คนเมาก็ยังนั่งเฉยไม่รู้เรื่อง ฟุบอยู่กับพวงมาลัย หลับสบาย
มีคนมาช่วยตำรวจสองคนนั้นออกจากใต้ท้องรถ ปรากฏว่า ทั้งสองคนถูกทับขาสองข้างทั้งคู่ อาการสาหัสนำส่งโรงพยาบาล ต้องตัดขาทั้งสองคนทิ้ง และต้องผ่าตัดช่วยชีวิต ต้องอยู่โรงพยาบาลนานเกือบสามเดือน หายดีแล้วกลายเป็นคนพิการทั้งคู่ ต้องออกจากงาน ต้องใส่ขาเทียมทั้งสองข้าง ลูกเมียเดือดร้อนทั้งสองครอบครัว ไม่มีเงินจะใช้ ข้าวไม่มีกิน ลูกไม่มีเงินเรียน ชีวิตและอนาคตอันสดใสของตำรวจทั้งสองและลูกๆดับวูบไปเพราะความเมาของคนๆเดียวแท้ๆ
ทางฝ่ายน้องชาย ก็ถูกตำรวจจับกุมไปขังคุกอยู่นาน ต้องถูกให้ออกจากงานอันทรงเกียรติ กลายเป็นคนที่น่ารังเกียจของหน่วยงานของตัวเอง ตกงานกะทันหันแบบไม่ได้ตั้งตัว แต่ยังดียังพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่เมื่อใช้วิ่งเต้นคดี และจ่ายชดเชยให้ตำรวจทั้งสองแล้วก็เหลือเงินไม่มาก ต้องดิ้นรนลดตัวเองลงมาค้าขายก๊อกๆแก๊กๆ เพื่อให้ชีวิตอยู่รอดไปวันๆ อนาคตของตัวเองและพลอยลามไปถึงลูกๆก็ตกต่ำ ลำบากเลือดตาแทบกระเด็น
แต่ ถึงกระนั้นก็ยังไม่สำนึก กินเหล้าต่อมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายลงเอยด้วยโรคตับแข็ง จะรักษาตัวเองก็ไม่มีเงิน ทำงานก็ไม่ได้ ลูกๆก็ยังเรียนไม่จบ คิดดูซิว่าความทุกข์ของเขาจะมากขนาดไหน ทุกข์คนเดียวไม่พอ ยังพาลูกและเมียมาทุกข์ด้วย
เรื่องนี้บอกว่า เหล้าทำลายเราได้ในพริบตาเดียว เวลากินสนุกมีเพื่อนกินมากมาย แต่เวลาทุกข์ เราทุกข์คนเดียว เพื่อนกินเหล้าหายหมด อนาคตเราพังพินาศ ไม่มีเพื่อนคนไหนจะมาช่วยเรา สังคมก็ไม่มาช่วย อาจจะซ้ำเติมเราด้วยซ้ำ แถมยังพลอยทำให้คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่มาทุกข์ไปด้วย
ฉะนั้นหยุดและคิดสักนิด ถ้าคิดจะกินเหล้าเอามันส์เอาสนุก ต้องตั้งสติให้ดี กินได้แต่อย่าปล่อยให้เราเป็นทาสของมัน รู้จักหยุดอย่าปล่อยให้ติดมันจนเลิกไม่ได้ แต่ดีที่สุดก็เลิกมันไปซะเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น