ห้องตรวจตา...ชั้น 5 อาคารเฉลิมพระเกียรติ

Blogนี้ผมตั้งใจทำขึ้นเพื่อตอบแทนสดุดีนโยบายบัตรทองประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรคของรัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร
จะรีบไปไหน...จะรีบไปไหน...รอโหลดซักกะเดี๋ยวซิครับ คลิก...นโยบาย"ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ"

* ขอขอบคุณที่ติดตามรับชมและช่วยประชาสัมพันธ์ลิงค์ http://eye009.blogspot.com/ ให้แพร่หลาย *
@ ปู้นนน...!!! คนเมืองใต้เจียงใหม่ของหมู่เฮาลงไปตางปู๊นนน..... * * * * * @ 2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย . . . ร่วมด้วยช่วยกันเผยแพร่สื่อสารถึง"คนเสื้อแดง"ทั่วไทยและทั่วโลก . . . ขอขอบพระคุณเจ้าของclipภาพถ่ายและบทความทุกๆท่านที่กรุณาเอื้อเฟื้อแบ่งปัน . . .น้ำใจซื้อขายไม่ได้ แต่น้ำใจให้กันได้...อิอิ


PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับส่วนต่างๆและระบบการทำงานของดวงตา, โรคตาต่างๆ และวิธีการดูแลรักษาดวงตาอย่างถูกต้องที่สามารถปฏิบัติตามในเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง... ขอขอบคุณ www.knowledge.com

วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

85 อะไรทำให้ รวยและ รวย จากคนจนสุดๆกลายเป็นเศรษฐีใหญ่ By: kimeng suk

@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
@ เข้าครัว...ทำกับข้าวคลายเครียด!! ผมทำได้ คุณก็ทำได้ครับ
@ 54... "นายกฯปู" สวมชุดนักบินเหินฟ้าชมการใช้กำลังทางอากาศ
@ สถานีรถไฟจีน แล้วลองย้อนมาดูเรา...
@ เรื่อง... ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112
@ สนทนากับทักษิณ "ผู้ต้องสงสัย" แห่งประเทศไทย Conversations with Thaksin, Thailand's prime suspect
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ ชุดที่1
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน เวียดนาม ชุดที่2
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน สิงคโปร์ ชุดที่3
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน อินเดีย ชุดที่4
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ฟิลิปปินส์ ชุดที่5
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ร่วมประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ ชุดที่6
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน มาเลเซีย ชุดที่7
@ 81 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือนกองทัพไทย
@ ภาพชุดงานสโมสรสันนิบาต วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5ธ.ค.2554

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...


ขอขอบคุณและขออนุญาตคุณ kimeng suk นำข้อเขียนของท่านมาลงไว้เว็บนี้นะครับ


อะไรทำให้ รวยและ รวย จากคนจนสุดๆกลายเป็นเศรษฐีใหญ่
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค

ตอนที่1 "ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา"
ตอนที่2 "คนไข้คนแรกของหมอใหม่หมาดๆ"
ตอนที่3 "ผีหลอกหมอ"
ตอนที่5 "ถูกพ่อดูถูกถึงได้เป็นหมอ"
ตอนที่6 "ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมเป็นหมอทำแท้ง"
ตอนที่7 "ทำไมถึงจนอย่างนี้"
ตอนที่8 "อีแปะมันหด-อัศจรรย์ปาฏิหาริย์-โด่ไม่รู้ล้ม"

เราเป็นลูกครึ่งไทยจีน เตี่ยเป็นคนจีนไหหลำ แม่เป็นคนทางเหนือแท้ๆ เตี่ยมาจากเมืองจีนตั้งแต่อายุ 13 ปี เพราะอยู่ที่เมืองจีน จนมากแทบไม่มีอะไรจะกิน

เตี่ยเล่าว่า บางครั้งต้องเอาก้อนหิน มาผัดกับน้ำมัน แล้วดูดกินน้ำมันจากก้อนหิน กินกับข้าวต้ม หรือบางทีก็เอาปลาทูตัวหนึ่งแขวนไว้กลางวงกินข้าว ให้พุ้ยข้าวต้มพร้อมกับมองปลาทูไป (นี่เป็นเรื่องจริง) อดมื้อกินมื้อ ลำบากมาก เสื้อผ้าก็แทบไม่มีจะใส่ เงินไม่มีติดบ้าน งานก็ไม่มีทำ เพาะปลูกก็ไม่ค่อยได้ผล เพราะ ไม่มีน้ำ พ่อแม่ก็มีลูกหลายคน แย่งกันกิน เจ็บป่วยก็ปล่อยให้ตายเพราะไม่มีเงินรักษา

เตี่ยจึงมาอยู่เมืองไทย ตอนมา เตี่ยจนมากๆ แทบไม่มีข้าวกิน ไปเป็นลูกจ้างร้านขายอะไหล่รถยนต์ญาติกัน เตี่ย มีเสื้อผ้าอยู่เพียงชุดเดียว กลางวันใส่ กลางคืนซัก โดยใส่ผ้าขาวม้าแทนกลางคืน ถูกเจ้าของร้านด่าว่า เคี่ยวเข็ญ ใช้งานหนักมาก ทำทุกอย่าง แทบไม่มีเวลาพักผ่อน และถูกดูถูกดูหมิ่น ซึ่งมันทำให้เตี่ยมีมานะจึงเป็นคนขยันขันแข็งมาก กล้าคิดกล้าทำดังนั้น พอเก็บเงินได้บ้าง เตี่ยก็ออกไปเปิดร้านขายกาแฟในตลาดสด ชงเอง บริการเอง เก็บเงินเอง ทำคนเดียวทุกอย่าง

ไปเจอแม่ซึ่งมาขายแหนมในตลาด เกิดรักกัน จึงไปสู่ขอกับแม่ของแม่ หรือยายเรา แต่ยายไม่ยอมยกให้ ดูถูกบอกว่าเป็นเจ็กเป็นจีน ไม่เอาไม่อยากเกี่ยวข้อง เตี่ยจึงพาแม่วิวาห์เหาะ ไปอยู่ที่อื่นซักพักหนึ่งก็กลับมาขอขมา ยายก็จำเป็นต้องรับการขอขมานั้น เตี่ยแม่เป็นคนใจบุญชอบทำทาน และกตัญญูรู้คุณคนมาก และเตี่ยแม่ก็ได้ดูแลยายจนตาย

ต่อมาเตี่ยเปิดร้านตัดเย็บเสื้อผ้า, ขายของชำ และส่งของทางเหนือเช่น หอม กระเทียม ครั่ง ลงแพ ล่องลงไปขายที่กรุงเทพฯ โดยมีแม่ช่วยงานอย่างขยันขันแข็ง และมีลูกด้วยกันทั้งหมด 15 คน ตายไป 3 คน เหลือ 12 คน

จำได้ว่าเรายังต้องช่วยแม่ตากครั่ง ตากกระเทียมด้วย ต้องช่วยทำงานหนักกับครอบครัวตั้งแต่เล็กๆ เตี่ยจะบอกว่าถ้าทำงานอะไรแล้วต้องทำให้เสร็จทุกครั้ง ซึ่งทำให้เราเป็นคนทำอะไรแล้วเอาจริงจนปัจจุบันนี้

ตอนสงครามโลกครั้งที่สอง ชีวิตเตี่ยก็เปลี่ยนแปลง รวยขึ้นโดยไม่คาดฝัน เล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครคิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้ แต่นี่เป็นเรื่องจริงที่เตี่ยเล่าให้ลูกๆฟังอย่างภาคภูมิใจ เล่าบ่อยมากจนลูกๆจำได้ทุกคำพูด

ครั้งหนึ่งเตี่ยเอาหอม กระเทียม ใส่แพล่องลงมากรุงเทพฯ มากันหลายแพ พอมาถึงสะพานพระรามหก ก็จอดแพหยุดพักใต้สะพานพร้อมๆกับแพอื่นๆ เตี่ยกำลังนอนหลับอยู่ในแพ มีเครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตร บินมาทิ้งระเบิดสะพาน แพที่อยู่ใต้สะพาน โดนระเบิดจมลงหมด ยกเว้นแพของเตี่ย รอดอยู่แพเดียว เลยกลายเป็นว่าเตี่ยขายของได้ราคาดีมาก คนแย่งกันซื้อ ราคาเพิ่มขึ้น สามสี่เท่า เตี่ยเริ่มมีเงินมากขึ้น

ต่อมาอีกครั้งหนึ่งเตี่ยและเพื่อนก็เอาของใส่แพ ล่องลงมากรุงเทพฯพร้อมๆกัน ประมาณหกแพ พอขายของที่กรุงเทพฯเสร็จก็บรรทุกเกลือลงแพเพื่อจะเอากลับมาขาย และให้เรือลากจูงกลับ มาพักค้างคืนที่จังหวัดตาก ตกกลางคืนมีโจรมาปล้นขึ้นปล้นทุกแพ เตี่ยเล่าว่า เตี่ยกลัวมาก นั่งหลบอยู่กับกระสอบใส่เงินที่ขายหอมกระเทียมได้

น่าแปลกมากที่โจรมันเดินผ่านเตี่ยไปมา มันมองไม่เห็นเตี่ย เงินในกระสอบ และเกลือ มันจึงไม่แตะต้องของในแพนี้เลย แพอื่นๆโดนกันถ้วนหน้า บางแพก็ถูกมันจมลง หมดตัวกันทุกคน เตี่ยก็แปลกใจว่าทำไมมันไม่ปล้นเตี่ย และมองไม่เห็นเตี่ยทั้งๆที่เตี่ยนั่งตัวสั่นแอบอยู่ตรงหน้าโจร เตี่ยไม่ได้พกพระเครื่องหรืออะไรทั้งนั้น เตี่ยเล่าทีไรก็ภูมิใจตรงนี้มาก บอกว่าเตี่ยเฮงมากๆ

พอกลับมาถึงบ้าน เตี่ยก็ขายเกลือได้ราคาดีมาก เพราะเกลือขาดแคลน เตี่ยก็เริ่มมีเงิน กลายเป็นเถ้าแก่ใหญ่ เริ่มสร้างโรงเลื่อย โรงน้ำแข็ง และกิจการอื่นๆ มีฐานะเข้าขั้นเศรษฐีของภาคเหนือ และโอนสัญชาติเป็นคนไทย และเอาพี่น้องจากเมืองจีนมาอยู่เมืองไทยกันทุกคน โดยมีเตี่ยเป็นฐานให้ที่พักอาศัยและ เงินทุนให้ก่อน

สงครามสงบลง เตี่ยก็ส่งเงินไปเมืองจีนจำนวนมาก ไปชื้อที่นาที่เกาะไหหลำ ให้เหล่ามา หรือย่าที่อยู่ที่โน่น ซื้อเกือบทั้งตำบล ย่ากลายเป็นเศรษฐีใหญ่มีหน้ามีตาของตำบลนั้น จากครอบครัวที่จนสุดๆ

แต่อะไรมันก็ไม่แน่นอน ย่ารวยอยู่ไม่นาน ประเทศจีนก็เปลี่ยนการปกครองเป็นคอมมูนิสต์ คนรวยถูกหาว่าเป็นชนชั้นนายทุน รัฐบาลยึดที่ดินของคนรวยมาแจกให้คนจนทำกิน ที่ดินของย่าถูกยึดหมด แม้แต่บ้านที่อาศัยก็ต้องให้คนอื่นมาอาศัยอยู่ร่วมด้วย แถมย่ายัง ถูกบังคับให้เดินไปตามถนน ป่าวประกาศให้ชาวบ้านมาดูและเอา ขี้วัว ขี้คน ก้อนหินปา บาดเจ็บเกือบจะต้องตาย

เตี่ยที่เมืองไทยสูญที่นาเมืองจีนหมด แต่ก็ไม่ย่อท้อ ตั้งหน้าทำงานหาเงินอย่างเดิม แต่เตี่ยเสียใจอยู่อย่างหนึ่งก็คือเอาเงินไปซื้อที่ๆเมืองจีนหมดเพื่อให้ย่ากลายเป็นเศรษฐี ไม่ให้ใครมาดูถูกย่า แทนที่จะซื้อที่เมืองไทยไว้มากๆ ลูกหลานจะได้อยู่สุขสบายกว่านี้ แต่ถึงอย่างไรลูกๆของเตี่ยก็ได้เรียนกันสูงๆ จบจากเมืองนอกเมืองนากันเกือบทุกคน

อ่านเรื่องนี้ท่านคิดกันอย่างไรบ้าง ช่วยออกความเห็นกันหน่อยค่ะ เพราะข้อคิดของแต่ละท่านอาจจะมีประโยชน์ต่อคนบางคนบ้าง อย่างน้อยๆก็สะกิดใจกันบ้าง

By squall: เรื่องเล่าน่าสนุกดี บ้านผมมา ปู่ทวดมาอยู่ ตั้งแต่ก่อน 2470 ซะอีกมั้ง 3 ชั่วอายุคนละ ไม่เห็นจะเป็นมหาเศรษฐีเลย คนจีนไม่ได้ร่ำรวยไปซะทุกคนหรอกครับ คนฉลาดทำมาหากิน รู้จักเข้าหาผู้ใหญ่ ถึงจะร่ำรวย พวกทำมาค้าขาย เก็บออม ก็ไม่รู้จะกี่อายุคน มีไม่กี่ตระกูลหรอกครับที่ร่ำรวยจริงๆ แต่ยอมรับอย่าง คนจีน นิยมให้ลูกหลานเรียน มากกว่าคนไทยแท้ๆ เห็นความสำคัญของการศึกษาเอามากๆ พ่อผมนี่ โดนคุณย่าบังคับให้เรียน

By sri123: คนจนกลับมี คนมีกลับจน เพราะ ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน และสินทรัพย์ที่ใครก็แย่งเราไปไม่ได้ นั่นคือวิชา และความรู้ การศึกษา เป็นสมบัติที่มีค่าที่พ่อ แม่ พึงให้ลูกที่สุดค่ะ...

เอาอันดับล่าสุดมาฝากค่ะ

จากการประเมินมูลค่าตลาดล่าสุดได้มีข้อมูลออกมาแล้วว่า Mark Zuckerberg CEO ของ Facebook นั้น ร่ำรวยติดอันดับ 3 ของบุคคลไอทีไปแล้ว โดย Zukcerberg นั้นตามหลัง Larry Ellison จาก Oracle และ Bill Gates จาก Microsoft อยู่ แต่ที่น่าสนใจก็เพราะ Mark Zuckerberg นั้นยังมีอายุน้อยอยู่นั่นเอง (ตอนนี้เขาอายุแค่ 27 ปีเท่านั้น) โดยที่เขาสามารถไต่อันดับขึ้นมาได้สูงขนาดนี้ก็เป็นเพราะความสำเร็จของ Facebook นั่นเอง และตอนนี้ Mark Zuckerberg มีตัวเลขรวมสินทรัพย์ส่วนตัวอยู่ที่ 18 พันล้านดอลลาร์ และเขารวยกว่าบุคคลไอทีระดับไอคอนหลายๆคนที่เรารู้จักกัน เช่น Steve Jobs CEO ของ Apple ก็มีสินทรัพย์อยู่ที่ 8.3 พันล้านดอลลาร์, สองผู้ก่อตั้ง Google อย่าง Sergey Bin และ Larry Page ก็มีสินทรัพย์อยู่ที่คนละ 17 พันล้านดอลลาร์

ปล...ข่าวล่าสุด ถ้าเฟชเข้าตลาด นักวิเคราะห์ให้มูลค่าไว้ที่ 20 บิลเลี่ยนล้านเหรียญค่ะ รวยเพราะ คิดบวก มองเห็นโอกาส และทำได้ค่ะ

By squall: ถ้าเข้าใจการทำงานก็จะรู้ว่าทำไม facebook ประสบความสำเร็จมากกว่า พวก hi5 หรือ myspace

facebook จะอาศัยการเข้าถึง contact list ในอีเมล์ของสมาชิก ในการทำหนังสือ เชิญชวน invitation ต่อๆกันไป คิดดูว่าในแต่ละลิสต์ของแต่ละคนมีกี่รายชื่อก็คิดว่าโอกาสที่จะมีสมาชิกเพิ่มมีมากแค่ไหน เว็บโซเชี่ยลหรือ บล็อกก่อนหน้า ก็ยังไม่ได้ใช้จุดนี้ในการหาสมาชิกเพิ่มเลยไม่ดัง

By ภวังค์: กรรมเป็นเรื่องเฉพาะตัว ขยันทำมาหาเก็บในวันนี้วันรุ่งมีเหลือให้ใช้ไม่หมด บุญทานทำมาดีแล้วภพหน้าย่อมส่งผลไพศาล ยิ่งทำดีมากๆต่อเนื่องทุกภพชาติผลของบุญนั้นแผ่กว้างแรงดียิ่งนัก กรรมที่ทำเป็นเครื่องจำแนกสัตว์

By kihamoni: ปัจจัยหลักคือวิสัยทัศน์ครับ จังหวะก็เกี่ยว แต่วิสัยทัศน์สำคัญกว่า คนเราฟลุคได้ไม่กี่ครั้ง และหากไม่มีวิสัยทัศน์ ฟลุครวยมาก็หมดได้ไม่ยากครับ

ประวัติทักษิณ : ชีวิตที่พลิกผัน... เบ้าหลอมวัยเยาว์ เรียนรู้จากชีวิตจริง

"ผมเป็นคนไม่ลืมอดีตนะ แต่ไม่ย่ำอยู่กับอดีต มองข้างหน้าตลอดเวลาแต่ไม่ลืมอดีต การย่ำอยู่กับอดีตนี่ผมถือว่าเป็นการเสียเวลา แต่ลืมไม่ได้เพราะการลืมอดีตคือการลืมตัว"

ต้นตระกูล "ชินวัตร" คือ "คูซุ่นเส็ง" หรือ "ซุ่นเส็ง แซ่คู" พ่อค้าและอดีตนายอากรที่อพยพจากจันทบุรีมาตั้งรกรากเริ่มต้นธุรกิจหลายๆ ประเภทในเมืองเชียงใหม่

ลูกหลานของ "คูซุ่นเส็ง" ในรุ่นต่อๆมาแตกแขนงการทำธุรกิจออกไป บางส่วนขยับขยายมาทำการค้าใน อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ "เลิศ ชินวัตร" ก็เป็นสายหนึ่งของตระกูลที่มาปักหลักที่สันกำแพง

"ผมเกิดที่ อ.สันกำแพง เชียงใหม่ ตอนผมเกิดบ้านผมยังอยู่ที่หน้าตลาดสันกำแพง เป็นเรือนไม้ห้องแถวสองชั้น . . . เรียนที่สันกำแพงอยู่จนถึงอายุประมาณ 15 ปี ถึงย้ายเข้ามาอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่" ดร.ทักษิณเล่าถึงชีวิตในวัยเด็ก

ในวัยที่ต้องศึกษาเล่าเรียนอย่างจริงจังนี่เอง เขาพบว่าตัวเองเป็นคนชอบคิด คิดเร็ว เรียนเร็ว ใฝ่รู้เรื่องต่างๆคนหนึ่งเหมือนกัน

"ตอนเด็กจำได้ว่าไปเรียนกับครูผู้หญิงแก่ๆชื่อ ควาย ครูควายเลยละ... ผมชอบเรื่องเลขแกก็สอนผมเพลินเลยนะ สอนวิธีหารยาวจนก่อนเข้า ป. 1 ผมก็หารยาวเป็นแล้วนะ"

เมื่อย้ายจากโรงเรียนในสันกำแพงมาเรียนต่อชั้นประถม 3 ที่มงฟอร์ตเชียงใหม่ แม้จะเสียเปรียบเนื่องจากไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษมาก่อน (ที่โรงเรียนมงฟอร์ตจะสอนภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้นประถม 1) แต่ ด.ช.ทักษิณก็ทำข้อสอบได้ถึง 75%

ความเป็นคน "ชอบเรียน" และ "เรียนเก่ง" กลายเป็นข้อเด่น ของ ดร.ทักษิณ ที่ญาติพี่น้องรวมถึงคนใกล้ชิดต่างยอมรับ และไม่แปลกใจเลยเมื่อในเวลาต่อมาเขาสามารถสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารสำเร็จในปี พ.ศ.2510 และจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 26 ในปี พ.ศ. 2516 โดยสอบได้คะแนนเป็นที่ 1 ของรุ่น

อย่างไรก็ตาม ดร.ทักษิณก็มิใช่ "เด็กเรียน" ที่จมอยู่กับกองตำราอย่างเดียว อีกด้านหนึ่งของชีวิตวัยเยาว์ในฐานะ "ลูกพ่อค้า" ทำให้ดร.ทักษิณผ่านประสบการณ์การทำงาน ค้าขาย เรียนรู้การทำธุรกิจจากการติดตามผู้เป็นบิดาไปเกือบทุกที่ทุกแห่ง

หลังเวลาเรียน เขากลายเป็นเด็กเดินขายหวานเย็น ช่วยขายมอเตอร์ไซด์-ขายอะไหล่หน้าร้าน ออกไปติดตามทวงหนี้ ช่วยงานบัญชีที่ธนาคาร เป็นพนักงานโรงหนัง แม้กระทั่งงานปล่อยรถ-ขับรถเมล์ก็เคยทำมาแล้ว

ประสบการณ์หลากหลายของ ดร.ทักษิณในวัยเยาว์นั้น ส่วนหนึ่งเนื่องเพราะ "คุณพ่อเลิศ" เป็นคนที่สนใจทำธุรกิจหลายประเภท ตั้งแต่ลงทุนทำสวนส้ม ช่วงหนึ่งไปเป็นกัมปะโด (หัวหน้าแผนกสินเชื่อ) ให้ธนาคารนครหลวงไทย สาขาเชียงใหม่ ทำโรงภาพยนตร์ศรีวิศาลเป็นตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์รถยนต์ ฯลฯ

ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ "คุณพ่อเลิศ" เป็นคนทันสมัย ใจกล้าที่จะลงทุนนำสินค้าใหม่ๆ มาขายหรือเลือกธุรกิจใหม่ๆมาทำอยู่ตลอดเวลา

"นายเลิศนั้นเป็นบุคคลที่มีความคิดก้าวหน้าชอบความทันสมัย. . . คนทั้งสันกำแพงเห็นตู้เย็นเครื่องแรกที่ร้านกาแฟนายเลิศ เครื่องปั่นมะพร้าวก็เหมือนกัน . . . ตอนทำสวนลงทุนสั่งรถแทร็กเตอร์ซึ่งเป็นเครื่องจักรทุ่นแรงที่ทันสมัยมากมาใช้เป็นคนแรก"

นอกเหนือไปจากความขยัน-สู้งาน สู้ชีวิต ชอบเรียนรู้ทดลองทำด้วยตัวเองจนทำให้เขาเข้าใจถึงความเป็น "นักปฏิบัติ" แล้ว แบบอย่างจากบิดาซึ่งเป็นนักธุรกิจที่มองไกลสนใจความรู้วิทยากรใหม่อยู่เสมอ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งเขาได้รับการถ่ายทอดติดตัวมา

พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร เกิดวันที่ 26 กรกฎาคม 2492 ที่อำเภอกำแพง เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศไทย (ดำรงตำแหน่ง: 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 - 19 กันยายน พ.ศ.2549) เป็นผู้ก่อตั้ง และหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เป็นนักธุรกิจ ผู้ก่อตั้งกลุ่มชิน คอร์ปอเรชั่น เคยเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี

พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งคนแรก ที่ดำรงตำแหน่งครบวาระ 4 ปี แต่กลับต้องพ้นจากตำแหน่งในวาระที่สอง เนื่องจากการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ขณะกำลังร่วมการประชุมสหประชาชาติ ที่ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

ชีวประวัติในช่วงแรก: พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ เกิดเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 ที่อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวน 10 คนของ นายเลิศ และนางยินดี ชินวัตร จบการศึกษาจาก โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย และศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา ที่โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 10 (พ.ศ.2512) และ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 26 (พ.ศ.2516) โดยสอบได้คะแนนเป็นที่หนึ่งของรุ่น

ต่อมา พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้ศึกษาต่อ ในระดับปริญญาโท โดยได้รับทุน ก.พ.ศึกษาต่อสาขากระบวนการยุติธรรม ที่มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเคนทักกี สำเร็จการศึกษา ในปี พ.ศ.2518 และ ได้ศึกษาต่อ ในระดับปริญญาเอก ในสาขาเดียวกัน ที่ มหาวิทยาลัยแซมฮิวสตันสเตต ได้รับ ดุษฎีบัณฑิต ในปี พ.ศ.2521

พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้เริ่มทำงาน โดยเป็น หัวหน้าแผนกแผน 6 กองวิจัยและวางแผน กองบัญชาการตำรวจนครบาล รองผู้อำนวยการศูนย์ประมวลข่าวสาร กองบัญชาการตำรวจนครบาล และ อาจารย์ประจำ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ตามลำดับ

ธุรกิจ: จนกระทั่ง ในปี พ.ศ.2523 พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้เริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัวหลายอย่าง ควบคู่ไปกับการรับราชการตำรวจ เช่น ค้าขายผ้าไหม ซื้อภาพยนตร์ฉาย กิจการโรงภาพยนตร์ ธุรกิจคอนโดมิเนียม แต่กลับประสบความล้มเหลว เป็นหนี้สินล้นพ้นตัว ระหว่างนั้นได้ลาออกจากราชการ

พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ เคยเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์หลายเรื่อง โดยมักเป็นการนำภาพยนตร์ที่เคยได้รับความนิยมกลับมาสร้างใหม่ แต่ส่วนมากไม่ประสบความสำเร็จในด้านรายได้ เช่น ไทรโศก (2524 สร้างครั้งแรกโดย วิจิตร คุณาวุฒิ พ.ศ.2510) รักครั้งแรก (2524 สร้างครั้งแรกโดย ล้อต๊อก พ.ศ.2517) โนรี (2525 สร้างครั้งแรกโดย พันคำ พ.ศ.2510) รจนายอดรัก (2526 สร้างครั้งแรกโดย ประสิทธิ์ ศิริบันเทิง พ.ศ.2515)

ต่อมา ในปี พ.ศ.2526 พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้ก่อตั้ง และเป็น ประธานกรรมการ บริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ จำกัด (ชื่อเดิม ห้างหุ้นส่วนจำกัด ไอซีเอสไอ (ICSI) ปัจจุบันได้เข้าจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มี นายบุญคลี ปลั่งศิริ เป็นประธานคณะกรรมการบริหาร) ดำเนินธุรกิจ ให้เช่าคอมพิวเตอร์แก่สำนักงานต่างๆ และได้ขยายกิจการไปสู่ การให้บริการ วิทยุติดตามตัว โทรศัพท์เคลื่อนที่ ดาวเทียม และ โทรคมนาคม ครบวงจร นำไปสู่การชำระหนี้สินในช่วงแรกของการทำธุรกิจ และประสบผลสำเร็จทางธุรกิจในที่สุด

การเมือง: ในปี พ.ศ. 2537 พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้ลาออกจากตำแหน่ง ประธานกรรมการ และ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยได้โอนหุ้นให้ คุณหญิงพจมาน นายพานทองแท้ นางสาวพิณทองทา นางสาวแพทองธาร และ คนรับใช้ คนสนิทถือแทน

จากนั้นไม่นาน ก็เข้าดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในสมัย รัฐบาล นายชวน หลีกภัย และ ในปีต่อมา (พ.ศ.2538) ได้เข้ารับตำแหน่ง หัวหน้าพรรคพลังธรรม ต่อจาก จำลอง ศรีเมือง และ ดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี ในสมัย รัฐบาล นายบรรหาร ศิลปอาชา ในปี พ.ศ.2539 ดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี ในสมัย รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ

เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2541 พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้ก่อตั้ง พรรคไทยรักไทย และ ดำรงตำแหน่ง หัวหน้าพรรค จนในที่สุด ได้ขึ้นสู่ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ใน วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544

รายละเอียดอื่นๆ ติดตามต่อได้ที่นี่ครับ...

คนนี้ก็วิสัยทัศน์เหมือนกัน เกิดจากการมองว่า ปัจจัยสี่ เป็นของที่คนขาดไม่ได้ ต้องซื้อเรื่อยๆ และอาหารนั้นสำคัญที่สุด

นายธนินท์ เจียรวนนท์ เกิดเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2482 ที่ย่านเยาวราช กรุงเทพมหานคร (ชื่อภาษาจีน ก๊กมิ้น) เป็นบุตรชายคนที่ 5 ในบรรดาบุตรทั้ง 5 คนของ นายเอ็กชอ แซ่เจี๋ย ชาวจีนแต้จิ๋วอพยพ

นายธนินท์เริ่มทำงานเป็นครั้งแรกที่ร้านเจริญโภคภัณฑ์ เมื่ออายุได้ 19 ปี หลังจากสำเร็จการศึกษาด้านพาณิชยกรรมที่ฮ่องกง โดยทำงานในตำแหน่งแคชเชียร์ หลังจากนั้นได้โยกย้ายไปทำงานที่ สหพันธ์สหกรณ์ค้าไข่แห่งประเทศไทย และบริษัทสหสามัคคีค้าสัตว์ จำกัด (ตามลำดับ) จนเมื่ออายุ 25 ปี ได้กลับมาทำงานอีกครั้งที่เจริญโภคภัณฑ์ ปัจจุบันเป็นผู้บริหารระดับสูงของเครือเจริญโภคภัณฑ์ รับผิดชอบบริหารงานในตำแหน่งประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีว่าเป็นบริษัทผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

นอกจากนี้เครือเจริญโภคภัณฑ์ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นกลุ่มบริษัทชั้นนำของไทย มีกลุ่มธุรกิจในเครือฯรวม 10 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร, กลุ่มธุรกิจเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ยและเคมีเกษตร, กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ, กลุ่มธุรกิจการตลาดและการจัดจำหน่าย, กลุ่มธุรกิจพลาสติก, กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์, กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม, กลุ่มธุรกิจยานยนต์และอุตสาหกรรมทั่วไป กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร และกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง

ปล. แต่พวกที่คุณศรี กล่าวอ้างถึง ยิ่งวิสัยทัศน์หนักกว่านี้อีกนะ นั่นคืออนาคตครับ ไม่ใช่แค่ความมั่งคั่ง แต่เป็นอนาคต

By ลุงพร: การเลี้ยงลูก เลี้ยงให้เป็นนกแก้ว นกขุนทอง ตื่นเช้ามา ร้องแก้วจ๋าๆ ขออาหาร หรือเงิน กับพวกนกอินทรี อาศัยตามหน้าผา หากินเอง 2 คนนี่ ความเก่งจะอยู่ที่นกตัวไหน

คนจน ที่มานะอดทน และ มีปัญญาดี โอกาสรวยสูง คนจน ที่ปัญญาไม่ดี จะจนตลอดกาล

คนจน ที่ดี จึงต้อง ให้การศึกษาลูกๆ เพื่อสร้างปัญญาที่ดี ก่อน เพราะ เงิน จะหาได้ง่าย ถ้าปัญญาดี และ ทำงานหนัก ขยัน อดทน

By kimeng suk: แต่มันก็แปลกนะ ทำไมลูกคนจน ไม่ชอบเรียนหนังสือ ยิ่งพ่อแม่จน แทนที่จะมุมานะ ขยัน ตั้งใจเรียนให้ดี กลับทำตัวเกเรเหลวไหล ติดยาเสพติด ทำเหมือนจะประชดที่ตัวเองเกิดมาจน มีเหมือนกันที่ฉีกตัวเองออกมาให้ได้ดี แต่ก็น้อยมาก เหลียวดูรอบๆตัวเราก็ได้ว่ามีกี่คน

อาจจะเป็นเพราะความจนทำให้ไม่มีจะกิน การเจริญของสมองเลยไม่ดี โดยเฉพาะคนไทย อยู่ไฟหลังคลอด กินข้าวจี่ ปลาแดดเดียว หรือไม่ให้กินโปรตีนพวกเนื้อสัตว์ แต่คนจีนกินไก่ตุ๋น

เด็กเล็กๆแรกเกิด คนไทยกินนมแม่ ข้าวกับกล้วยน้ำหว้า คนจีนกินนมแม่ ข้าวตุ๋นใส่ไข่ ไก่ หมู

By kihamoni: เท่าที่เห็นมา ลูกคนจน ส่วนหนึ่งไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะไม่มีโอกาส และพ่อแม่ก็เห็นว่าการศึกษาไม่สำคัญ ไม่ต้องเรียนก็ได้ ทีพ่อแม่ยังไม่เรียน ไอ้ประเภทนี้มีเยอะครับ (นิสัยคนไทยที่ไม่ค่อยได้เรียนหนังสือนี้แปลก ไม่ค่อยชอบให้ลูกเรียนสูงกว่าตัว ชอบให้มาช่วยงานมากกว่า อ้อ แต่ไม่ใช่ทุกคนนะครับ)

อีกประเภท เกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ อาจจะไม่มีเวลาให้ หรือด้วยพื้นฐานนิสัยของตัวพ่อแม่เองเป็นแบบนั้น จะด้วยเหตุใดก็ตามแต่ ลูกคนจนประเภทนี้ ก็มีโอกาสที่จะเกเรมาก มีโอกาสจะเลิกเรียนหนังสือมาก (แต่กรณีแบบนี้ ลูกคนรวยก็เห็นมาหลายคนเหมือนกัน)

ประเภทสุดท้าย จนจริง แต่พ่อแม่สอนมาดี เมื่อมีโอกาสก็จะมานะบากบั่นมากกว่าคนปกติหลายเท่า คนประเภทนี้แหละ ที่มักจะยิ่งใหญ่ได้มากกว่าประเภทอื่นๆ (แต่โอกาสต้องมาอำนวยพอดีนะ ไม่อย่างนั้นลูกคนมีเงินที่อบรมมาดีๆ ยังไงก็ดีกว่าครับ) เอ้อ ประเภทนี้รอบตัวเห็นเยอะครับ ลูกของลูกน้องแม่บ้างอะไรบ้าง ไม่รู้นะ การศึกษากับการอบรมของพ่อแม่ ผมให้ค่าเท่าๆกัน (ที่จริงให้ค่ากับการเลี้ยงดูมากกว่า แต่ไม่มาก) ลูกที่ดี จะออกมาจากพ่อแม่ที่ไม่ดีหรือพ่อแม่ที่ไม่มีเวลาดูแลเนี่ย นับตัวคนได้อ่ะครับ น้อยสุดๆ

ปล. แต่ผมไม่เกี่ยวกับทั้งสามประเภทหรอกนะครับ ไม่ได้ถึงกับจนง่ะ ก็ยอมรับ ว่าเทียบกับประเภทที่สามแล้ว ถ้าโอกาสเปิดเท่ากัน ยังไงก็สู้ไม่ได้อ่ะครับ เค้าโดนหนามมาเยอะ ไหวพริบ ความอดทน ความมานะพยายามเค้ามีสูงกว่าคนปกติทั่วๆไปมากนัก โชคดีที่โลกนี้ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันก็สามารถอยู่ได้ เวลาเห็นคนพวกนี้ ก็เลยมีให้แต่ความรู้สึกชื่นชม ไม่เคยอิจฉา เชื่อว่าชีวิตคนทุกคนมันสมดุลกันหมด ไม่แตกต่างกันมากนัก พวกที่เคยทุกข์เคยลำบากมา ถึงเวลาถ้ามีโอกาส เค้าก็ย่อมไปได้ไกลย่อมมีชีวิตที่สบายเป็นธรรมดาครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น