ห้องตรวจตา...ชั้น 5 อาคารเฉลิมพระเกียรติ

Blogนี้ผมตั้งใจทำขึ้นเพื่อตอบแทนสดุดีนโยบายบัตรทองประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรคของรัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร
จะรีบไปไหน...จะรีบไปไหน...รอโหลดซักกะเดี๋ยวซิครับ คลิก...นโยบาย"ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ"

* ขอขอบคุณที่ติดตามรับชมและช่วยประชาสัมพันธ์ลิงค์ http://eye009.blogspot.com/ ให้แพร่หลาย *
@ ปู้นนน...!!! คนเมืองใต้เจียงใหม่ของหมู่เฮาลงไปตางปู๊นนน..... * * * * * @ 2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย . . . ร่วมด้วยช่วยกันเผยแพร่สื่อสารถึง"คนเสื้อแดง"ทั่วไทยและทั่วโลก . . . ขอขอบพระคุณเจ้าของclipภาพถ่ายและบทความทุกๆท่านที่กรุณาเอื้อเฟื้อแบ่งปัน . . .น้ำใจซื้อขายไม่ได้ แต่น้ำใจให้กันได้...อิอิ


PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับส่วนต่างๆและระบบการทำงานของดวงตา, โรคตาต่างๆ และวิธีการดูแลรักษาดวงตาอย่างถูกต้องที่สามารถปฏิบัติตามในเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง... ขอขอบคุณ www.knowledge.com

วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

84 ผีหลอกหมอ By: kimeng suk

@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
@ 52... นี่จึงเป็นนายกรัฐมนตรีที่ผมอยากได้ครับ
@ นายกฯที่ฝ่ายต่อต้านกล่าวหาว่าโง่ในสายตาผม
@ "นายกฯปู"เอาใจคนเมืองคอน ใจป้ำ อนุมัติสร้างทางเชื่อมสะพานทันที 53 ล้าน หลังรัฐบาล"มาร์ค"ไม่ดูแล
@ 53... ผมคงต้องยอมรับเสียที ผมนี่แหละครับ รับจ้างโพสท์
@ หนี้ 1.14 ล้านล้าน เอกลักษณ์ ประชาธิปัตย์ หงุดหงิด แต่ไม่แก้
@ เข้าครัว...ทำกับข้าวคลายเครียด!! ผมทำได้ คุณก็ทำได้ครับ
@ 54... "นายกฯปู" สวมชุดนักบินเหินฟ้าชมการใช้กำลังทางอากาศ
@ คลิปที่ทุกคนควรจะต้องดู ใครตกข่าว เชิญเข้ามาได้เลยค่ะ
@ สถานีรถไฟจีน แล้วลองย้อนมาดูเรา...
@ เรื่อง... ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ ชุดที่1
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน เวียดนาม ชุดที่2
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน สิงคโปร์ ชุดที่3
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน อินเดีย ชุดที่4
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ฟิลิปปินส์ ชุดที่5
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ร่วมประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ ชุดที่6
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน มาเลเซีย ชุดที่7
@ 81 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือนกองทัพไทย
@ ภาพชุดงานสโมสรสันนิบาต วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5ธ.ค.2554

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...


ขอขอบคุณและขออนุญาตคุณ kimeng suk นำข้อเขียนของท่านมาลงไว้เว็บนี้นะครับ


ผีหลอกหมอ
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค

ตอนที่1 "ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา"
ตอนที่2 "คนไข้คนแรกของหมอใหม่หมาดๆ"
ตอนที่4 "อะไรทำให้ รวยและ รวย จากคนจนสุดๆกลายเป็นเศรษฐีใหญ่"
ตอนที่5 "ถูกพ่อดูถูกถึงได้เป็นหมอ"
ตอนที่6 "ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมเป็นหมอทำแท้ง"
ตอนที่7 "ทำไมถึงจนอย่างนี้"
ตอนที่8 "อีแปะมันหด-อัศจรรย์ปาฏิหาริย์-โด่ไม่รู้ล้ม"

สมัยก่อนๆนานมาแล้ว การเป็นแพทย์ฝึกหัด ของโรงพยาบาลหญิงหรือโรงพยาบาลราชวิถีปัจจุบัน ต้องเวียนไปฝึกตามโรงพยาบาลต่างๆ คราวนี้ต้องไปฝึกที่โรงพยาบาลกลาง เป็นเวลาหนึ่งเดือน ส่วนมากไปฝึกทางด้านศัลยกรรม เพราะโรงพยาบาลกลางจะมีคนไข้อุบัติเหตุมาก เนื่องจากอยู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร

แพทย์ฝึกหัดต้องมีการอยู่เวรกลางคืน OPD อาทิตย์ละครั้งหรือสองครั้ง ซึ่ง OPD โรงพยาบาลกลางสมัยนั้น เป็นห้องกว้าง พอประมาณ สำหรับเข็นรถคนไข้เข้ามาจุได้ ซัก 4 คันรถเข็นก็เต็มห้องแล้ว และมีโต๊ะพยาบาลหนึ่งตัว มีเก้าอี้ยาววางด้านข้างโต๊ะพยาบาลหนึ่งตัว มีประตูเปิดจากห้องตรวจเข้าไปยังห้องพักแพทย์เวรได้

ห้องแพทย์เวรเป็นห้องเล็กๆ มีเตียงให้นอนพักหนึ่งเตียง ตรงหัวเตียงมีหน้าต่าง ติดมุ้งลวด เวลามีคนไข้พยาบาลก็จะเปิดประตูเข้ามาเรียกแพทย์เวร "หมอๆ ตื่นๆ มีคนไข้มาแล้ว" หมอก็จะงัวเงีย เดินสะลึมสะลือ บางคนก็ผมยุ่ง หัวฟูเดินออกมา ไปนอนต่อที่เก้าอี้ยาวแทนที่จะไปตรวจคนไข้เลย พยาบาลต้องตามไปเขย่าให้รู้สึกตัวจริงๆ บางคนก็ถึงกับต้องลงมือทุบแรงๆ

ไอ้ที่มันเกิดเรื่องก็เพราะมีอยู่วันหนึ่ง เข้าเวร OPD แล้วไม่มีคนไข้ มันเงียบมากๆเลย ขึ้นเวรมาตรวจคนไข้ไม่กี่คน ซึ่งถ้าเป็นโรงพยาบาลเอกชน มีหวังโรงพยาบาลนั้นเจ็งแหง๋แก๋ แต่นี่เป็นโรงพยาบาลของรัฐบาล กลายเป็นเรื่องดีซะอีก วันนี้สบายมาก ขอนอนให้เต็มที่หน่อย แล้วก็เข้าไปนอน หลับรวด ตอนดึกๆก็สะดุ้งตื่น รู้สึกว่ามีคนมาผลักและเขย่าแรงๆให้ตื่น จึงลืมตามองและเราก็รู้สึกตัวเต็มที่แล้ว เห็นพยาบาลคนหนึ่ง ยืนหน้าเตียง บอกว่ามีคนไข้มารอข้างนอก แล้วก็เห็นพยาบาลคนนั้น เดินทะลุประตูห้องที่ปิดสนิทออกไป (ยังแปลกใจว่า ทำไมพยาบาลเข้ามาในห้องพักแพทย์ ปรกติจะเคาะประตู แล้วตะโกนบอก)

เราก็ตกใจ เอะ ทำไมเดินทะลุประตูห้องหวา จึงพรวดพราดลุกขึ้นยืน แล้วก็เดินไปที่ประตู ชนประตูที่ปิดสนิทเข้าเต็มที่ จึงรีบเปิดประตู มองดูในห้องตรวจไม่เห็นมีคนไข้สักคน เดินไปที่โต๊ะพยาบาลก็เห็นฟุบหลับอยู่กับโต๊ะ ที่สำคัญ หมวกที่พยาบาลใส่อยู่เป็นขีดเฉียงๆ ตรงริมหมวก แสดงว่าเป็นผู้ช่วยพยาบาลอยู่เวร แต่ที่ไปเรียกเราเมื่อกี้ มันเป็นหมวกขีดขวางแบบพยาบาลนี่ ชักสงสัย จึงปลุกเขาขึ้นมาถามว่า เมื่อกี้เข้าไปปลุกว่ามีคนไข้ไม่ใช่หรือ เขาบอกว่าไม่มีคนไข้ซักคน และเขาก็อยู่เวรคนเดียวเท่านั้น

เอาละซิ ใครปลุกเราหวา เราตาฝาดงงๆอยู่มั้ง ไม่ใช่นะ ก็เรารู้สึกตัวเห็นภาพชัดเจนมาก และเราก็เป็นคนตื่นไว ตื่นแล้วไม่งัวเงียด้วย เอะมันอย่างไรกัน เราไม่กลัวนะ แต่ก็ไม่กล้ากลับเข้าไปนอนต่อ ถ้าประเดี๋ยวมาใหม่ คราวนี้ตากลวงโบ๋มา หมอก็หมอเถอะ ใส่ตีนหมาเผ่นเหมือนกัน เสียศักดิ์ศรี หมอไม่กลัวผีหมด

เช้ามาเจอท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็เล่าให้ท่านฟัง ท่านก็ยิ้มๆ บอกว่าเจอกันบ่อยนะ เราก็หูผึ่ง เรื่องมันเป็นอย่างไรค่ะ (เรื่องนี้ไม่เคยรู้มาก่อนเลย) ท่านก็กรุณาเล่าให้ฟังว่า มีพยาบาลคนหนึ่ง อกหัก เสียใจมาก เลยโดดตึกฆ่าตัวตาย ตกลงมาตายตรงกับ หน้าต่างหัวเตียงห้องพักแพทย์เวรพอดี ตั้งแต่นั้นมาก็มีแพทย์เวรเจอกันบ่อยๆแบบที่เราเจอเลยละ

เอาละหวา เจอดีเข้าแล้วเรา แต่เราต้องไม่กลัวๆๆๆๆท่องไว้ให้ขึ้นใจ เป็นหมอต้องไม่กลัวผี ผีต้องกลัวหมอ แต่พอถึงเวลาอยู่เวรอีก เราไม่กลัวจริงๆ ไม่กลัว ไม่กลัว แต่ขอนอนตรงม้ายาวข้างโต๊ะพยาบาลก็แล้วกัน แฮ่ แฮ่

เรื่องนี้บอกว่า หมอก็กลัวผีเหมือนกัน แต่เต๊ะท่าไปงั้นแหละ เจอเข้าจริงหมอวิ่งเป็นคนแรกเลยละ

ใครเคยถูกผีหลอก ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม แชร์ประสบการณ์กัน เอาแต่เรื่องจริงๆนะ ไม่ใช่เรื่องแต่งขึ้นมา

By sri123: ไม่รู้โดนหลอกหรือคิดไปเองนะคะ เวลาทำสมาธิจนถึงขั้นใจสงบ หูก็จะได้ยินเสียงคุย เสียงแว่ว แบบนี้ประจำ จนทำให้กลัวไปเอง ต้องเลิกทำ

ปีที่แล้วกลับเมืองไทย ไปไหว้พระ หลวงพ่อให้กุมารมาองค์นึง เป็นเรื่องที่แปลกมาก น้องสาวเล่าว่า ขับรถผ่านวัดนี้มาหลายปี ไม่เคยคิดเข้า วันที่พี่สาวมา อยากให้ดูโบสถ์ซะงั้น เข้าไปไหว้พระ ได้มาเลยค่ะ ฮ่าๆๆๆ ประสบการณ์น่ะเหรอ เอากุมารไว้นอกห้อง กลางคืนได้ยินเสียงคนเดินลาก แกรกๆ เปิดออกดูก็ไม่เจอ ....ไม่รู้คิดไปเองป่าวนะ ...

By kimeng suk: คุณศรีค่ะ การทำสมาธิเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ในจำนวนบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ หรือทางมาแห่งบุญ 10 อย่าง การทำสมาธิได้อานิสงค์มากที่สุด มากกว่าการทำทานหรือถือศีล เวลาที่ใจเราเริ่มนิ่งสงบแต่ยังไม่สงบจริงๆ ประสาทของเราจะไวที่สุดโดยไม่รู้สึกตัว อย่างตัวเอง เคยนั่งได้ยินแม้กระทั่งเสียงปลวกเดิน ทั้งๆที่ยังไม่เคยรู้ว่ามีปลวกขึ้นบ้าน เพราะไม่มีร่องรอย แต่พอไปตรวจสอบตรงที่นั่งแล้วได้ยินก็พบปลวกจริงๆ

บางคนก็เห็นเป็นอสุภะด้วยซ้ำ ไม่ต้องกลัวนะค่ะ พอเรานิ่งผ่านไปนิ่งมากขึ้นๆ เราจะพบว่ามันวิเศษที่สุด การได้พบความสุขจากการฝึกสมาธิ เป็นความสุขที่สุดในโลก ไม่ใช่ความสุขแบบทางโลกของเรา มันต่างกันมากนัก ต้องฝึกเองแล้วจะรู้เองค่ะ

เรื่องกุมารทอง เป็นเรื่องที่มีจริงๆ พวกนี้เป็นพวกผีที่ถูกผูกไว้ด้วยอาคม จึงไปผุดไปเกิดตามเวรกรรมยังไม่ได้ เราคนธรรมดาไม่ควรไปเกี่ยวข้อง ถ้าหากเขาไม่พอใจ มีโทษมากกว่า และเราก็จัดการอะไรเขาไม่ได้ด้วย

By ภูพาน: อ้าว ! มีหมอ ออกมาเล่าเรื่องผีแล้วหรือครับ (หมอคนดัง...ตกงานแน่)

มันคงมีอยู่ทั่วไปนั้นแหละ แล้วแต่ใครจะเจอ ถ้าคิดดูอีกที มันจะในรูปแบบของอะไร เป็นพลังงานแบบไหน ก่อรูปยังไง มันคงจับมาพิสูจน์ไม่ได้ (ในตอนนี้) แต่การแสดงผลของพลังงานเหล่านี้ ผมว่ามันขึ้นกับตอนที่พลังงานฯปลดปล่อยตัวเองออกจากสิ่งที่เรียกว่า สิ่งที่อาศัยดำรงสภาพอยู่ คือร่างกาย เพราะตัวร่างกาย จะเป็นสิ่งที่มีประสาทสัมผัสได้ ถึงการรับรู้สัมผัสต่างๆ เช่น ชอบไม่ชอบ (การปรุงแต่ง) เจ็บป่วย หนาว ร้อน (กายสัมผัส) ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นคนเท่านั้นจึงจะครบถ้วนในองค์ประกอบของการรับรู้ซึ่งสิ่งอื่นๆ เช่นสัตว์ต่างๆ ไม่แน่ใจ เพราะไม่สามารถพิสูจน์ได้ ปรากฏแต่ในคำสอนเท่านั้น ว่ามนุษย์เท่านั้น ที่จะเรียนรู้พัฒนาตัวเอง และรู้เท่าทัน จนเกิดปัญญาเพื่อหลุดพ้นเรื่องเหล่านี้

ผมเลยคิดเอาเองว่า ผีดุ หรือไม่ดุ ผีหลอก อะไรพวกนี้ มันเกิดจาก ตอนที่ดำรงสภาพอยู่กับร่างกายตอนเป็นคนอยู่ ว่าเป็นอย่างไรมากกว่า ส่วนที่พลังงานยังวนเวียน อยู่ในสถานที่ ที่เค้าหลุดพ้นจากสิ่งยึดเหนียวคือตรงที่เสียชีวิตนั้น อาจเป็นได้ (ข้อสันนิษฐาน) ว่าตัวพลังงาน (วิญญาณ) ยังไม่รู้สถานในปัจจุบัน (status) ตรงนี้อาจต้องมีการใช้สื่อ ที่สามารถติดต่อกันได้ ถ้าคนไทยพุทธ ก็จะมีพิธีกรรมเชิญวิญญาณผู้ตาย สังเกตนะครับ ตามต่างจังหวัด บางแห่ง จะมีการนิมนต์พระสงฆ์ ไปรับศพด้วย

แต่ถ้าถามว่าตายแล้วไปไหน วิญญาณ (พลังงาน) อยู่อย่างไร อันนี้ตอบไม่ได้ เพราะบอกตรงๆว่ายังไม่เคยคิดเรื่องนี้ เกินสติปัญญา ความรู้ ที่เล่ามาแค่คิดในแง่ จิตวิทยา และความเชื่อมโยงกับความเชื่อของท้องถิ่นเท่านั้น

ถ้าจะมีเรื่องคล้ายกันกับคุณ kimeng suk คือว่า ตอนเด็กมากๆ น้องชายป่วย ท้องร่วงอย่างรุนแรง แม่ต้องนอนเฝ้าน้องชายที่โรงพยาบาล คือต้องบอกก่อน เรื่องนี้ผมเองยังเด็กมาก น่าจะซัก 3 ขวบ ไม่รู้เรื่องผีสาง อะไรหรอก ที่จำได้ คือ นั่งฟังแม่คุยกันกับหมอ พยาบาล และเล่าต่อมากันอีกหลายครั้ง เลยจำได้

คือตอนดึกๆ ประมาณเที่ยงคืน ขณะที่ทุกคนกำลังหลับ ก็มีเสียง เหมือนของหล่น จากที่สูงร่วง ตุบๆๆ แล้วก็เงียบ ซักพัก ดังอีก ตุบๆๆ เหมือนลูกมะพร้าวล่วงลงหลังคา ประมาณนั้น แต่ใน รพ.ไม่มีต้นมะพร้าว และใน รพ.ดึกขนาดนี้ไม่น่าจะมีใคร มาทำอะไรพิเรน เล่นโยนอะไร ทุกคนก็เลยตื่นขึ้นมาหมด พยาบาลเวร แม่ ญาติผู้ป่วยคนอื่นๆ ทุกคน ก็เลยเฝ้าดูว่าเป็นอะไร

ซักพักเสียงดังอีก คราวนี้ไม่ใช่หล่นที่หลังคาครับ หล่นตรงลานหน้าตึก ครับหน้าตึก...ชัดๆ ชัดเจนมาก ต่อสายตาหลายคู่ เป็นเด็ก....เด็กผู้ชาย ประมาณ 5-6 ขวบ ทุกคนจำได้ดี เด็กคนนี้ป่วยอยู่หลายวันและก็เพิ่งเสียชีวิต ญาติก็นำศพ กลับบ้านไปแล้ว แม่บอกว่า พยาบาล อ้าปากค้าง ทำอะไรไม่ถูก ช็อกกันอยู่นานพอสมควร

ประมาณปี 2513 รพ.สกลนคร ตึกเด็ก ไปตอนนี้จำไม่ได้แล้วครับ ว่าสภาพ เป็นยังไง น้องป่วยอยู่หลายวัน จำได้ว่า ช่วงที่น้องอาการเริ่มดีขึ้น ช่วงกลางวันแม่ พาไปเดินเล่น ด้านหลัง รพ.จะมีทางออกไปหนองหารได้ มีสวนสาธารณะ ริมหนองหาร จะมีบาร์ มีแต่ทหารฝรั่งมาเที่ยว ชื่อ golden pond ต่อมา บาร์แห่งนี้ เคยย้ายมา 2-3 ครั้งแล้ว ปัจจุบัน ย้ายมาอยู่กลางเมือง ยังใช้ชื่อเดิม (อ้าว! เล่าเรื่องผี ทำไมจบเรื่องบาร์ เนี่ย...)

ประทานโทษ การมาเล่าอะไรยาวๆ ในกระทู้ของท่านอื่นนี้ผิดมารยาทไหมครับ

By kimeng suk: ไม่น่าจะผิดนะ ถือว่าเป็นการมาแชร์ความรู้กันค่ะ

คนเรา ประกอบด้วย ร่างกายและกายละเอียด เมื่อเราตาย กายละเอียดของเรา ซึ่งประกอบด้วย เห็น จำ คิด รู้ แต่ไม่มีตัวตน จับต้องไม่ได้ จะล่องลอยไปตามภพภูมิต่างๆตามกรรมของเราที่ได้กระทำมาตอนเป็นมนุษย์

หลังเราตาย มีทางไป สาม ทาง 1) ไปสุคติภูมิ 2) ไปทุคติภูมิ 3) ล่องลอยอยู่ในมนุษย์ภูมิ หรือมาเกิดเป็นคนเลย

พวกที่ยังอยู่ในมนุษย์ภูมิ ก็มี สัมภเวสี พวกนี้รอเวลามาเกิดเป็นมนุษย์

ภูมมเทวา เทวดาขั้นต่ำมี อยู่ทั่วไป ไม่จำเป็นต้องอยู่ตามบ้านเรือน

รุกขเทวา อยู่บนต้นไม้

อากาศเทวา อยู่ในอากาศ สูงกว่าบรรยากาศของโลก

ภูมมเทวาเป็นพวกมีบุญเล็กน้อย ไม่พอขึ้นสวรรค์ และบาปก็ไม่มากพอที่จะตกนรก ชึ่งอาจจะเป็นพวกผีต่างๆก็ได้ (เข้าใจเอาเองค่ะข้อนี้)

เคยอ่านเจอ ข่าวในหนังสือพิมพ์ ฉบับหนึ่งของอเมริกา จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร ลงข่าวว่า องค์การนาซาใช้กล้อง ฮับเปิลเทเรสโค๊บ ถ่ายในอวกาศ พบสัมภเวสี หรือเขาเรียกว่า THE SPIRIT จำนวนมากล่องลอยในอวกาศ เต็มไปหมด มีรูปลงให้เห็นด้วย ตัวเล็กๆ ไม่ใส่เสื้อผ้า ลอยอยู่ในท่าต่างๆเป็นล้านๆ เคยถามผู้ที่ได้ธรรมะขั้นสูงว่า ท่านบอกว่า พวกนี้เป็นพวกไม่มีบาปไม่มีบุญมากพอที่จะไปนรกหรือสวรรค์ จึงลอยอยู่ รอเวลาที่จะได้มาเกิด ต้องรอเวลาจนกว่าจะถึงเวลา ไม่ใช่อยากมาเกิดได้ตามใจชอบ

เคยเรียนถามผู้ที่มีอภิญญา ซึ่งสามารถ เห็น โอปปาติกะ หรือกายละเอียดได้ว่า ผีแต่ละชาติเหมือนกันไหม คำตอบก็คือ ถึงจะตายไปเป็นผี แต่ผีก็คือกายละเอียดที่มี เห็น จำ คิด รู้ เมื่อตายไปจิตใจเป็นแบบไหนก็เป็นแบบนั้น คนดีก็จำแต่สิ่งที่ดีๆ เป็นผีดี คนชั่วก็เป็นผีชั่ว ใจเคยชินแบบไหนก็เป็นแบบนั้น เคยแต่งกายแบบไหน เมื่อตายไปก็จะมีเครื่องแต่งกาย แบบนั้น หมายถึงถ้าไปเป็นเทวดาชั้นต่ำ ชั้นหนึ่งหรือสอง เทวดาชั้นสูงขึ้นไป ถึงจะเหมือนๆกัน เพราะอะไรก็ลืมถามท่านไป แต่ถ้าไปลงนรก เป็นเปรต อสุรกาย ก็จะไม่มีเครื่องแต่งกาย เปลือยกายล่อนจ้อน เป็นเรื่องละเอียดมาก ต้องมีอภิญญาจิตถึงจะไปรู้ไปเห็น

ขณะนี้มีผู้ปฎิบัติธรรมเข้าถึงขั้น มีอภิญญาจิต 5 อย่าง (ทั้งหมดมี 6 อย่าง) มีเยอะพอควร ได้เจอมา ทั้งพระทั้งเณร ทั้งคนธรรมดา ซึ่งก็มีหลายคนมาก ท่านไม่ได้บอกเรา แต่เรารู้ ได้จากปฏิปทาและการกระทำบางอย่างที่ท่านเผลอ แสดงออกมา เรื่องนี้ต้องศึกษาเอง และเข้ามาสัมผัสเอง แล้วจะทึ่งว่าพระพุทธองค์ทรงรู้ทุกอย่าง และเอาความจริงมาสอนเรา รับรองว่าถ้าได้เข้ามาศึกษาแล้วจะติดใจอยากรู้อยากศึกษาต่อเอง

เราอยู่ในทางโลก คิดแบบทางโลก เป็นวิทยาศาสตร์ แต่อย่าลืมว่าวิทยาศาสตร์ ยังตามหลังคำสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งทรงรู้จักแบคทีเรีย และอนันตจักรวาล ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะรู้จักเสียอีก มียืนยันชัดเจนในพระไตรปิฎก

By singvit: สนใจวิธีการเริ่ม ฝึกสมาธิ ครับ เอาง่ายๆ ที่สุด ครับ สำหรับคนที่ยังต้องดูแลธุรกิจอยู่หลายอย่าง..บางทีนอนตาค้างทั้งคืน เพราะยังแก้ปัญหาของธุรกิจไม่ออก วนเวียน จนไม่สามารถหลับได้..ครับ

By ภวังค์: เอาวิธีที่ง่ายๆเลย เปิดไฟฟ้าให้สว่าง จุดเทียน(ใช้กะละมังใส่น้ำ ใช้ครกคว่ำกลางกะละมังปักเทียนบนตูดครก แค่นี้ก็แจ่มแล้วเทียนล้มก็จมน้ำ)แล้วเพ่งแสงไฟจากเทียนที่ติดไฟ เปิดวิทยุรายการที่ชอบ ตาดูแสงไฟจากเทียนหูฟังเสียง จิตเริ่มเป็นสมาธิ ตาเห็นแสงเทียนชัดเจนมากขึ้นแต่หูกลับไม่ได้ยินเสียง หรือหูได้ยินเสียงชัดเจนแต่ตากลับมองไม่เห็นแสงไฟจากเทียน

เมื่อใดได้ยินเสียงดังเปรี๊ยะที่เกิดจากการเพ่งมองแสงไฟจากเทียนนั่นคือการเข้าถึงหรือทำได้ อุคหนิมิต นี่คือสมาธิขั้นต้น เมื่อได้ยินเสียงเปรี๊ยะดังขึ้นที่กลางแสงเทียนเราจะรู้สึกว่ากลางแสงเทียนนั้นมีจุดสีขาวเล็กๆเกิดขึ้น ใช้ใจหรือจิตของเราบังคับหรือกำหนดให้ใหญ่ขึ้นหรือเล็กลงได้ตามต้องการ

ฝึกบังคับหรือกำหนดเช่นนี้ได้นานมากเท่าไรก็ยิ่งดี ทำได้ชำนาญทุกวันเป็นเวลานานมากขึ้นจากจุดสีขาวจะกลายเป็นนิมิตคือรูปหรือภาพที่เรามองเห็นเหมือนเราลืมตามองเห็นภาพเคลื่อนไหวทั่วไป ฝึกมากขึ้นนานขึ้นทุกวันจะสำเร็จอภิญญา เช่น ระลึกชาติได้ ได้ตาทิพย์หูทิพย์ เห็นการเกิดดับของสัตว์ รู้วาระจิตผู้อื่น...

ความเพียรต้องถึง หมั่นทำความเพียร ไม่สำเร็จไม่หยุดกลางคัน เมื่อทำได้รู้ชัดเจนด้วยตัวเองจะเข้าใจคำสอนในพระพุทธศาสนาว่ามีอยู่จริงเป็นอยู่จริงตามคำสอนที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎก...

By kimeng suk: วิธีฝึกสมาธิมีทั้งหมด 40 วิธี แบ่งเป็นกลุ่มๆ เช่น เพ่งกสิน เพ่งอสุภะ อนุสติ และอื่นๆ แต่ที่ทำอยู่ทุกวันนี้เป็น แบบการเพ็งกสิณแสงสว่าง ตามแนววิชชาธรรมกายที่ หลวงปู่สดวัดปากน้ำภาษีเจริญท่านได้ค้นพบกลับคืนมา หลังจากวิธีนี้ ได้สูญหายไป หลังพุทธปรินิพพาน

วิธีการ ก็ทำง่ายๆ คือ นั่งขัดสมาธิ หรือจะนั่งพิง นั่งเก้าอี้ หย่อนขาก็ได้ตามแต่เราถนัด ปล่อยใจและกายให้สบาย อย่าเกร็งส่วนใดส่วนหนึ่ง นึกถึงอากาศยามเช้ามีหมอกบนยอดเขา เย็นสบาย ทำใจให้เย็นสบายจริงๆ ให้ใจเบาๆ ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าไปคิดถึงมัน ทำเหมือนมีเราคนเดียวในโลกนี้

ค่อยๆเอาใจไปวางไว้ในท้อง ตรงกลางตรงกับสะดือ แล้วค่อยๆยกใจขึ้นสูงเหนือสะดือ 2 นิ้วมือ วางใจของเราเบาๆ สบายๆ ไม่ต้องกดลูกตาลงไปมอง จะปวดตาเปล่าๆ วางใจแหมะลงไปตรงศูนย์กลางกายเหนือสะดือเบาๆ อย่าแรง ทำใจหลวมๆ

ไม่ต้องตั้งใจมาก นึกถึงก้อนน้ำแข็ง หรือเพชรใสๆ แล้วภาวนาในใจเบาๆ ว่า สัมมาอรหัง สัมมาอรหัง ไปเรื่อย ถ้าฟุ้งไปเรื่องอื่น ก็เอาใหม่ เผลอไปอีกก็ เริ่มใหม่อีก ภาวนาควบคู่กันไป อย่าไปอยากเห็น หรืออยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเครียด ปวดหัว ก็ลืมตาขึ้น ค่อยๆทำใหม่ ภาวนาและนึกถึงน้ำแข็งกลมๆใสๆสว่างๆ ไปเรื่อย เมื่อถึงจุดหนึ่งจะรู้ได้ด้วยตัวเอง ว่าประสบการณ์ภายในอะไรเกิดขึ้น

ประสบการณ์ภายใน โดยวิธีนี้ระยะแรกจะเริ่มไม่เหมือนกัน หรือเหมือนกันก็ได้ แต่ในสุดท้ายแล้ว จะเหมือนกันทุกคน คือจะเห็นองค์พระธรรมกาย เป็นแก้วใสสว่าง ค่อยๆใหญ่ขึ้นตามภูมิธรรมที่ตัวเองได้บรรลุ ต้องทำเองแล้วถึงจะรู้ได้เอง

ไม่ควรจะไปบอกว่าวิธีของตัวเองดี วิธีอื่นไม่ดีผิด พระพุทธองค์ ทรงยอมรับไว้ทั้งหมดถึง 40 วิธี วิธีการไหนก็เป็นเรื่องที่เขาจะทำ ไม่ใช่ว่าตัวเองฝึกวิธีนี้แล้ว คนอื่นผิดหมด โง่หมด ถ้าฝึกไม่เหมือนตนเอง

ประโยชน์ของการฝึกสมาธิ

1.ผลต่อตนเอง

1.1 ด้านสุขภาพจิต

- ส่งเสริมให้คุณภาพของใจดีขึ้น คือ ทำให้จิตใจ ผ่องใส สะอาด บริสุทธิ์ สงบ เยือกเย็น ปลอดโปร่ง โล่ง เบา สบาย มีความจำ และสติปัญญาดีขึ้น

- ส่งเสริมสมรรถภาพทางใจ ทำให้คิดอะไรได้รวดเร็ว ถูกต้อง และเลือกคิดแต่ในสิ่งที่ดีเท่านั้น

1.2 ด้านพัฒนาบุคลิกภาพ

- จะเป็นผู้มีบุคลิกภาพดี กระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า มีความองอาจสง่าผ่าเผย มีผิวพรรณผ่องใส

- มีความมั่นคงทางอารมณ์ หนักแน่น เยือกเย็นและเชื่อมมั่นในตนเอง

- มีมนุษย์สัมพันธ์ดี วางตัวได้เหมาะสมกับกาลเทศะเป็นผู้มีเสน่ห์เพราะไม่มักโกรธ มีความเมตตากรุณาต่อบุคคลทั่วไป

1.3 ด้านชีวิตประจำวัน

- ช่วยให้คลายเครียด เป็นเครื่องเสริมเสริมประสิทธิภาพในการทำงานและการศึกษาเล่าเรียน

- ช่วยเสริมให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงเพราะร่างกายกับจิตใจย่อมมีอิทธิพลต่อกัน ถ้าจิตใจเข้มแข็ง ย่อมเป็นภูมิต้านทานโรคไปในตัว

1.4 ด้านศีลธรรมจรรยา

- ย่อมเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ เชื่อกฎแห่งกรรม สามารถ คุ้มครองตนได้พ้นจากความชั่วทั้งหลายได้ เป็นผู้มีความพระพฤติดี เนื่องจากจิตใจดี ทำให้ความพระพฤติทางกายและวาจาดีตามไปด้วย

- ย่อมเป็นผู้มีความมักน้อย สันโดษ รักสงบและขันติเป็นเลิศ

- ย่อมเป็นผู้มีความเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ เห็นประโยชน์ ส่วนร่วมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว ย่อมเป็นผู้มีสัมมาคารวะ และมีความอ่อนน้อมถ่อมตน

2.ผลต่อครอบครัว

2.1 ทำให้ครอบครัวมีความสงบสุข เพราะสมาชิกในครอบครัวเป็นประโยชน์ของการประพฤติธรรม ทุกคนมั่นอยู่ในศีล ปกครองกันด้วยธรรม เด็กเคารพผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เมตตาเด็ก ทุกคนมีความรักใคร่สามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

2.2 ทำให้ครอบครัวมีความเจริญก้าวหน้า เพราะสมาชิกต่างก็ทำหน้าที่ของตนโดยไม่บกพร่อง เป็นผู้มีใจคอหนักแน่น เมื่อมีปัญหาครอบครัวหรือมีอุปสรรคอันใด ย่อมร่วมใจกันแก้ไขปัญหานั้นๆ ให้ลุล่วงไปได้

3.ผลต่อสังคมและประเทศชาติ

3.1 ทำให้สังคมสงบสุข ปราศจากปัญหาอาชญากรรม และปัญหาสังคมอื่นๆ เพราะปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นในสังคมไม่ว่าจะเป็นปัญหาหารฆ่า การข่มขืน โจรผู้ร้าย การทุจริตคอรัปชั่น ล้วนเกิดขึ้นมาจากคนที่ขาดคุณธรรม เป็นผู้ที่มีจิตใจอ่อนแอ หวั่นไหว ต่ออำนาจสิ่งยั่วยวน หรือกิเลสได้ง่าย ผู้ที่ฝึกสมาธิย่อมมีจิตใจเข้มแข็ง มีคุณธรรมในใจสูง ถ้าแต่ละคนในสังคมจ่างฝึกฝนอบรมใจของตนให้หนักแน่น มั่นคง ปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ส่งผลให้สังคมสงบสุขได้

3.2 ทำให้เกิดความมีระเบียบวินัย และเกิดความประหยัด ผู้ที่ฝึกใจให้ดีงานด้วยการทำสมาธิอยู่เสมอ ย่อมเป็นผู้รักความมีระเบียบวินัย รักความสะอาด มีความเคารพกฎหมายของบ้านเมือง ดังนั้นบ้านเมืองเราก็จะสะอาดน่าอยู่ ไม่มีคนมักง่ายทิ้งขยะลงบนพื้นถนน จะข้ามถนน ก็เฉพาะตรงทางข้าม เป็นต้น เป็นเหตุให้ประเทศชาติไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณ เวลาและกำลังเจ้าหน้าที่ ที่ต้องใช้ไปในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากความไม่มีระเบียบวินัยของประชาชน

3.3 ทำให้สังคมเจริญก้าวหน้า เมื่อสมาชิกในสังคมมีสุขภาพจิตดีรักความเจริญก้าวหน้า มีประสิทธิภาพ ในการทำงานสูง ย่อมส่งผลให้สังคมเจริญก้าวหน้าตามไปด้วย และเมื่อมีกิจกรรมของส่วนร่วม สมาชิกในสังคมก็ย่อมพร้อมที่จะสละความสุขส่วนตัว ให้ความร่วมมือกับส่วนร่วมอย่างเต็มที่ แม้มีผู้ไม่ประสงค์ต่อสังคมมายุแหย่ให้เกิดความแตกแยก ก็จะไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะสมาชิกในสังคมเป็นผู้มีจิตใจหนักแน่น มีเหตุผล และเป็นผู้รักสงบ

4.ผลต่อศาสนา

4.1 ทำให้เข้าใจพระพุทธศาสนาได้อย่างถูกต้อง และรู้ซึ้งถึงคุณค่าของพระพุทธศาสนา รวมทั้งรู้เห็นด้วยตัวเองว่าฝึกสมาธิไม่ใช่เรื่องเหลวไหลหากแต่เป็นวิธีเดียวที่ทำให้พ้นทุกข์เข้าสู้นิพพานได้

4.2 ทำให้เกิดศรัทธาตั้งมั่นในพระรัตนตรัย พร้อมที่จะเป็นทนายแก้ต่างให้กันพระศาสนา อันจะเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง ให้แพร่หลายไปอย่างกว้างขวาง

4.3 เป็นการสืบอายุพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรื่องตลอดไปเพราะตราบใดที่พุทธศาสนิกชน ยังตั้งใจปฏิบัติธรรม เจริญถาวนาอยู่ พระพุทธศาสนาก็จะเจริญรุ่งเรืองอยู่ตราบนั้น

4.4 จะเป็นกำลังส่งเสริมทะนุบำรุงศาสนา เพราะเมื่อเข้าใจซาบซึ้งถึงประโยชน์ของการปฏิบัติธรรมด้วยตนเองแล้ว ย่อมจะชักชวนผู้อื่นให้ทำทานรักษาศีล และเจริญภาวนาไปด้วย

By mingming: ถามคุณหมอนะคะ ถ้าเราฝันแล้ววันต่อมามีเหตุการณ์ใกล้เคียงกับความฝันมากอย่างนี้เรียกว่าสัญชาตญาณหรือเปล่าคะ

อีกเรื่องหนึ่งนะคะ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว กลับบ้านตอนเย็นต้องผ่านวัดพอเลยวัดมาได้สักครู่ได้กลิ่นธูปและน้ำอบไทยอย่างแรงในรถไม่ทราบว่ามาจากไหน ขับมาเรื่อยๆได้สักพักก็ถึงสี่แยกเลยสี่แยกไปประมาณ 2 ป้ายรถเมล์กลิ่นก็หายตรงป้ายรถฯ พอดี ... (สงสัยจะมาต่อรถเมล์) เรื่องจริงนะคะ

By kimeng suk: ความฝันเกิดจาก (ตอบโดยยึดหลักพระไตรปิฎก อาจไม่ครบถ้วน แต่ก็เอาที่จำเป็น)

1) เทวดามาเข้าฝัน บอกเหตุล่วงหน้า ซึ่งมักจะเป็นความจริง หรือใกล้เคียง ที่ถามมาน่าจะเป็นข้อนี้

2) กายละเอียดเราออกจากตัว ไปรู้ไปเห็นเอง เช่น ฝันว่าเคยไปสถานที่แห่งหนึ่งในฝัน ต่อมาได้ไปที่ตรงนั้นจริงๆ แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าเคยฝันเห็นก่อน

3) ธาตุวิปริต ฝันเป็นตุเป็นตะ จากใจคิดไปเอง ร่างกายแปรปรวน พวกนี้มักไม่จริง

กลิ่นหอมหรือเหม็นที่เราได้กลิ่น เคยถามผู้รู้ว่าเกิดจากอะไร ท่านตอบว่า ถ้าเป็นกลิ่นหอม มักจะเกิดจากโอปปาติกะ หรือกายละเอียด ที่มีบุญทำให้เกิด ถ้าเหม็นก็เป็นพวกไม่มีบุญ พวกนี้เขาจะมีฤทธิ์ บางกายละเอียด ก็ปรากฏกายให้เห็น แต่เป็นอยู่ได้ชั่วขณะ หรือทำให้เกิดเสียง เกิดกลิ่น แต่ทำให้เป็นตัวไม่ได้ กายละเอียดที่อยู่บนโลก เป็นพวกมีบุญแต่ไม่พอขึ้นสวรรค์ หรือมีบาป แต่ก็ไม่มากพอจะไปนรก ถ้ามีใครตาย ตอนถอดจิตใหม่ๆ ถ้าได้กลิ่นหอม แสดงว่าได้ไปดี อาจมีเทวดามารับ แต่ถ้าได้กลิ่นเหม็นไปไม่ดี มียมพบาลมารับ

เมื่อไม่นานมานี้ไปงานศพเพื่อนที่ตายด้วยโรคมะเร็ง ก็นั่งได้กลิ่นหอมของธูปหอมที่แปลกมาก หอมหวานชื่นใจ ไม่ใช่กลิ่นธูปธรรมดา หอมนานจนกลับ พอบอกไปลาศพว่าจะกลับละนะ กลิ่นนั้นหายไปเลย ถามใครก็ไม่มีใครได้กลิ่นนี้ ไม่มีสักคน เราก็นึกในใจ รู้แล้วว่าเขาไปดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น