@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
@ 52... นี่จึงเป็นนายกรัฐมนตรีที่ผมอยากได้ครับ
@ นายกฯที่ฝ่ายต่อต้านกล่าวหาว่าโง่ในสายตาผม
@ "นายกฯปู"เอาใจคนเมืองคอน ใจป้ำ อนุมัติสร้างทางเชื่อมสะพานทันที 53 ล้าน หลังรัฐบาล"มาร์ค"ไม่ดูแล
@ 53... ผมคงต้องยอมรับเสียที ผมนี่แหละครับ รับจ้างโพสท์
@ หนี้ 1.14 ล้านล้าน เอกลักษณ์ ประชาธิปัตย์ หงุดหงิด แต่ไม่แก้
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ ชุดที่1
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน เวียดนาม ชุดที่2
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน สิงคโปร์ ชุดที่3
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน อินเดีย ชุดที่4
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ฟิลิปปินส์ ชุดที่5
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ร่วมประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ ชุดที่6
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน มาเลเซีย ชุดที่7
@ 54... "นายกฯปู" สวมชุดนักบินเหินฟ้าชมการใช้กำลังทางอากาศ
@ 81 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือนกองทัพไทย
@ ภาพชุดงานสโมสรสันนิบาต วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5ธ.ค.2554
คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...
ขอขอบคุณและขออนุญาตคุณ kimeng suk นำข้อเขียนของท่านมาลงไว้เว็บนี้นะครับ
คนไข้คนแรกของหมอใหม่หมาดๆ
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค
ตอนที่1 "ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา"
ตอนที่3 "ผีหลอกหมอ"
ตอนที่4 "อะไรทำให้ รวยและ รวย จากคนจนสุดๆกลายเป็นเศรษฐีใหญ่"
ตอนที่5 "ถูกพ่อดูถูกถึงได้เป็นหมอ"
ตอนที่6 "ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมเป็นหมอทำแท้ง"
ตอนที่7 "ทำไมถึงจนอย่างนี้"
ตอนที่8 "อีแปะมันหด-อัศจรรย์ปาฏิหาริย์-โด่ไม่รู้ล้ม"
ตอนนี้พอมีเวลาและอารมณ์จะเขียน ก็เลยมีกระทู้บ่อยหน่อย ถ้าหมดอารมณ์ก็เขียนไม่ออก มันตื้อนะ คงหยุดเขียน
วันนี้จะเล่าเรื่อง การผจญภัย ในการออกตรวจเป็นหมอเต็มตัววันแรก ยาวหน่อยนะแต่สนุก ไม่เคยมีหมอคนไหนเอามาเล่าให้ฟังหรอก เขาอายกันนะ
พอเรียนจบต้องเป็นแพทย์ฝึกหัด ก็ต้องย้ายโรงพยาบาล และออกตรวจคนไข้ในวันรุ่งขึ้นคนเดียว ฉายเดี่ยว ซึ่งปรกติต้องมีอาจารย์หรือรุ่นพี่คอยประกบด้วย คราวนี้ไม่มีใครให้เราปรึกษา ตัวคนเดียวแท้ๆ ช่างน่าสงสารจริงๆ หมอเด็กๆ อายุเพิ่ง 23 เอง
วันนั้นตอนเย็นออกตรวจ ครั้งแรก เต๊ะท่าเป็นหมอเต็มที่ ใส่เสื้อกาวน์ เอาหูฟังของหมอแขวนคอ เดินกระดุกกระดิก จังหวะสโลว์โมชั่น ทำหน้าขรึมๆ ยืดอกเดินหน้าตั้ง ไปที่ห้องตรวจ OPD นึกในใจว่า เราเป็นหมอเต็มที่ละนะ ต้องมีมาดให้ดีๆหน่อย ยิ้มมากหรือหัวเราะดังๆแบบที่เคยทำไม่ได้ ต้องอมยิ้มน้อยๆ ผงกหัวทำเป็นเข้าใจ และสนใจคนไข้เต็มที่
พอเปิดประตูห้องตรวจเข้าไป โอโห้ คนไข้เต็มห้อง เสียงเด็กร้องบรรเลงเพลงคลาสสิกของเด็ก ไม่รู้มีกี่โทนเสียง ไอ้เราก็นึกว่า นี่เราต้องตรวจคนเดียวหมดนี่เลยหรือ ตายละหวา
รายแรกที่เจอ คือเด็กอายุ ไม่ถึงเดือน นอนชักกระตุกแหงกๆ คิดดูซิเด็กตัวเล็กๆเหมือนลูกแมว แขนขากระตุกไม่หยุด ตัวก็กระตุก ร้องเสียงแหงวๆค่อยๆ ไม่บรรเลงแหกปากแข่งกับข้างนอก มันช่างน่าสงสาร พอเอามือไปแตะไอ้ลูกแมวตัวเล็กก็ยิ่งกระตุกใหญ่ โฮย น่ากลัวจริงวะ หมอใหม่หมาดๆ ยืนงง นึกในใจว่าโรคอะไรหวา มันเป็นอะหยังนี่ ต้องทบทวนๆๆๆๆคิดๆๆก่อน โรคเด็กก็เรียนเวียนผ่านมาเกือบปีแล้ว ชักลืมๆ เอามือเกาหัวแกร็กๆ ลืมมาดคุณหมอไปหมด
พยาบาลรุ่นเดอะ เขาเห็นหมอใหม่ถอดด้ามยืนมอง ทำหน้างงๆเกาหัวแกร็กๆ เขาคงสงสาร และคงจะรู้ด้วยว่า หมอนี่ไม่รู้เรื่องแน่ๆ เขาก็ตะโกนดังๆแบบไม่ไว้หน้าหมอใหม่ ว่า หมอๆ บาดทะยักไง ไอ้เราก็หน้าแตก แต่ทำเป็นบอกเขาว่า รู้แล้วค่ะ กำลังคิดอยู่ว่าจะเอาอย่างไรดี (เคยเห็นแบบนี้ครั้งหนึ่งนานแล้ว แต่ตอนนี้ตื่นเต้นคิดไม่ออก)
พยาบาลเขาก็ดีจริงๆ หักหน้าหมอใหม่ต่อว่า หมอๆรีบรับไว้ในโรงพยาบาลเลย เดี๋ยวมันชักตาย หมอใหม่ก็เลยบอกว่า เอาก็เอา ทำตามนั่นเลยพี่ แล้วก็ถอนใจโล่งอก นับว่าทำได้ไม่เลวนะเรานี่
รายต่อมาคนไข้เด็กท้องเสีย พอตรวจเสร็จจะสั่งยาให้คนไข้ ดันลืมชื่อยาทางการค้า รู้แต่ชื่อยาทางเคมี นั่งจิ้มแห้งใบสั่งยาอยู่ตั้งนาน เอาไงดีวะเรา จะถามตรงๆก็กลัวเสียเชิง เลยถามว่า ยาแก้ท้องเสียที่นี่มีอะไรบ้าง ไม่รู้ว่าจะเหมือนกับที่โรงพยาบาลที่เรียนมาหรือเปล่า พยาบาลเขาก็ยิ้มๆ แล้วบอกชื่อยามาให้หลายตัว เราเลยรอดตัวได้ เขียนชื่อยาได้ แต่ดันลืมขนาดยาที่จะให้อีก แต่ใช้วิธีเดาๆเอาว่า เด็กขนาดนี้มันก็ควรจะเป็นช้อนชาไม่ใช่ช้อนโต๊ะ วันละสามครั้ง ตามหลักการให้ยาทั่วๆไป และก็เดาถูกด้วย รอดไปอีกที โล่งอกๆๆๆๆๆ เฮ้อ ต้องหายใจแร็งๆๆเอาอ๊อกซิเจนเยอะๆมาให้สมองใช้ เพราะศึกหนักรออยู่เต็มห้อง
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เป็นหมอนะอย่าไปดูถูกพยาบาล เห็นว่าเขาเรียนน้อย โง่กว่าเรา เขามีประสบการณ์เห็นคนไข้มากกว่าเรา บางอย่างเขาทำได้ดีกว่าหมอเสียอีก ต้องเคารพให้เกียรติเขา และเขานั่นแหละจะมาช่วยเราด้วยความเต็มใจ
หมอบางคนโดยเฉพาะหมอจบใหม่ๆ ชอบดูถูกพยาบาล บางคนด่าเขา ไม่พอใจก็ตวาด หน้าหงิกหน้างอ ดีนะที่เป็นพยาบาล ถ้าเป็นเราโดนแบบพยาบาลโดนบ้าง มีหวังหมอคนนั้นโดนถีบกลับทันที
หมอใหม่มักจะทำอะไรเชยๆบ่อยๆ วันหลังจะมาเล่าให้ฟัง มีทั้งเรื่องตลก เรื่องเศร้า สารพัด เคยเจอแม้กระทั่งถูกคนบ้าไล่ตี ทำให้มีสถิติที่วิ่งเร็วที่สุดในชีวิต ถ้าอยากฟังโปรดให้กำลังใจค่ะ เป็นคนบ้ายอนะค่ะ แต่ไม่ใช่โรคบ้าจริงๆ
By เคาวันสน: 555 หนุกดีครับบ...ไม่ว่าอาชีพอะไรต้องรักษาฟอร์มเหมือนกันหมดนะครับ
By หลวงพี่เตี้ย: เวรกรรม คุณหมอเขียนอย่างนี้ ผมไม่กล้าให้หมอหนุ่มๆตรวจแล้ว ประเภทเดาๆเอา มันน่ากลัวนะหมอ 55555
By แดงสารคาม: เก่งครับที่เอาตัวรอดได้ ประสบการณ์ครั้งแรกหลายคนก็พลาด แบบนี้ถือว่าเยี่ยมครับ
By doctorve: สงสัยจะตื่นเต้น จนลืม ซักประวัติ มั้งครับ
By kimeng suk: case แรก ไปถึงเห็นเด็กชักตระแหงก ชักมาก น่ากลัว ก็ตกใจ ลืมหมด จริงๆก่อนปล่อยเดี่ยว เราก็ได้รับการฝึกตรวจคนไข้มาก่อนจากปี 3-6 ต้องซักประวัติ ตรวจร่างกายคนไข้ แล้วถึงจะวินิจฉัยโรค สั่งยา รู้ตัวเองดีว่าขี้ตื่น ถึงไม่ยอมเป็นหมอผ่าตัด หมอสูติ ไปเรียนหมอเด็กแทนเรียนอยู่ สามปี ได้รับวุฒิบัตรผู้ชำนาญโรคทางกุมารเวช เพราะถ้าเป็นหมอผ่าตัด เห็นคนไข้เลือดพุ่งกระฉูด ลนลานแน่ๆ ทำอะไรไม่ถูกคนไข้ตายแหง่ๆ ไม่เหมือนสามี รายนั้นหมอสูติ ผ่าคนไข้ เลือดพุ่งน่ากลัวมากๆ ยังใจเย็น ร้องเพลงได้ ทำไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นเรา เต้นตายเลย เผลอๆหัวใจเราเองหยุดเต้น ตายก่อนคนไข้ซะอีก
แต่พออายุมากเข้า มีประสบการณ์มากขึ้นๆ ก็ปรับตัวได้ เดี๋ยวนี้ มีอุเบกขา อะไรๆก็รู้จักเฉยได้มาก แต่อย่าให้หลุดนะ ถ้าหลุดเป็นได้เรื่อง ปีนขึ้นไปเต้นบนยอดไม้ ไม่ยอมลงง่ายๆ
By ลิงจุ่น: ตอนทำงานบริษัท มีหมอนั่งในห้องปิด หน้าห้องเป็นพื้นที่เปิดมีพยาบาลอยู่ 3 คน เวลาพนักงานมีปัญหาเจ็บไข้ได้ป่วยก็จอดที่พยาบาลเกือบทุกราย หมอนั่งง่วงได้แต่นั่งอ่านหนังสืออ่านตำราไปทั้งวัน หลายครั้งที่พยาบาลจ่ายยาฉับๆๆ ให้พนักงาน แต่ถ้าไปหาหมอบางครั้งก็เปิดตำราสั่งยา (อันนี้ไม่ว่ากันดีกว่ามั่วมา)
By mai06: สงสารคุณหมอจังค่ะ แต่กรณีคนไข้เลือดพุ่งกระฉูด มันดูน่ากลัวไปมั้ยคะ และผ่าตัดมีเลือดพุ่งอีก การเรียนขั้นต้นๆของแพทย์และพยาบาล จะต้องมีการปฐมพยาบาลขั้นต้นเป็น มีการ Stop bleeding เป็นนะคะ
By kimeng suk: ผ่าเจอเส้นเลือดใหญ่ๆ มันพุ่งเป็นน้ำพุเลยค่ะ stop ไม่ทันง่ายหรอกค่ะ
By สีหมอก: เป็นกำลังใจให้ครับคุณหมอเจ้าของกระทู้ ใหม่ๆก็อย่างนี้แหละต้องอดทนที่จะเรียนรู้และพลาดให้น้อยที่สุด เพราะวิชาแพทย์หากพลาดอาจทำให้ชาวบ้านถึงตายได้ และขออย่ามีอีโก้สูงเกินไป
เท่าที่สัมผัสกับหมอส่วนใหญ่อีโก้สูงมากไม่ยอมฟังใครและยังดูถูกคนอื่นอีก ขอให้คุณหมอคนใหม่จงอย่าใช้อีโก้ในทางที่ผิด ขอให้คุณหมอรู้ว่าไม่มีใครเก่งไปเสียทุกเรื่อง เมื่อไม่รู้จงถาม เมื่อไม่เข้าใจจงซักให้ละเอียด อย่าทำแบบหมอส่วนใหญ่เลยครับ ศักดิ์ศรีมันกินไม่ได้หรอกครับ แต่ถ้าพลาดไม่เพียงจะทำให้คนบาดเจ็บหรือตาย แต่อาจทำให้คุณหมอเองอาจถูกดำเนินทั้งคดีแพ่งและอาญาได้ครับ
หมอชอบฆ่าแมว แล้วก็ตายเหมือนแมว
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค
ขอส่งท้ายปีเก่าตอนรับปีใหม่ ด้วยความสุข ให้ทุกท่านใจสบาย คิดสิ่งใดก็ให้สมหวังดังใจนะค่ะ
วันนี้จะมาเล่าเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในคนที่เป็นหมอ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว เรื่องจริงซะด้วย จริงยิ่งกว่าจริง น่าสนใจว่า คนที่เป็นหมอ ทำได้อย่างไร คงจะเป็นหมอคนเดียวในโลกที่ทำเช่นนี้
มีหมอคนหนึ่ง สูงหล่อ สมาร์ทมากๆ สาวๆเกรียวกราว ตาหวานเยิ้มเลยละ เมื่อได้คุยกับหมอคนนี้ เขา เรียนจบจนได้วุฒิบัตรขั้นสูงของทางการแพทย์ รวยมาก พ่อมีร้านทองตั้งหลายร้าน ขับรถเบ็นซ์สปอร์ต แต่หมอคนนี้มีนิสัยประหลาด คือไม่ชอบแมว อย่างเข้าไส้ ไม่ใช่ไม่ชอบแบบธรรมดานะ แม้แต่คนที่ชื่อแมวยังไม่ชอบ เชื่อไหม พยาบาลที่ชื่อแมว เดินตามดูคนไข้ ยังโดนเล่นงาน ไม่ด่า ก็ตวาด ร้ายสุดก็เอา chart ฟาด (แฮ่ แฮ่ ถ้ามาฟาดเรา เป็นได้โดนถีบกลับทันที แบบ ส.ส ดอนเมือง โดนถีบไง) จนเป็นที่รู้กันว่า คนชื่อแมวอย่าเข้าใกล้หมอคนนี้เด็ดขาด เพราะหมอคนนี้ดุกว่าหมา
เวลาเห็นแมว หมอจะวิ่งไล่ตามให้ทัน แล้วกระทืบๆๆจนเละคาตีน วิ่งไล่แมวในโรงพยาบาลบ่อยๆ ช่างไม่มีมาดคุณหมอเลยนะนี่ ไม่รู้เป็นโรค ปสด หรือเปล่า(ประสาทแดก)
วีรกรรมที่เด็ดที่สุดดังสนั่นไปทั้งโรงพยาบาลคืออะไรรู้ไหม เขา เอาลูกแมวแรกเกิด ตัวเล็กกระจิ๋วหลิว ตายังไม่ลืมเลย ใส่ลงชักโครก แล้วชักโครกให้น้ำพาลูกแมวลงท่อ (ลงท่อได้หรือเปล่าก็ไม่รู้) บางครั้งก็โยนแมวหรือลูกแมวลงจากหอพักแพทย์ชั้นสี่ แล้วแมวมันจะไปเหลืออะไร เละเป็นโจ๊ก นี่ถ้าเขาไม่กลัวคนเขาว่าเป็นคนตะกละ เขาก็คงเอาแมวที่โยนลงมาจากตึก ไปย่างกิน จิ้มน้ำจิ้มแบบไก่ย่าง แซบอีหลีเด้อ
แต่ที่ร้ายที่สุดและชอบทำบ่อยๆ ก็คือ เอาแมวใส่ถุงพลาสติก รัดหนังสติ๊กให้แน่น โยนลงสระน้ำหน้าหอพักแพทย์เวลากลางคืน มันลอยตุบป่องๆ เช้ามาก็เรียบร้อย แมวตายทุกราย เพราะขาดอากาศหายใจ หมอเขาคงจะร้อง ฮ้า ฮ้า สะใจจริงวุ้ย มันตายแล้วๆๆๆๆๆ
มีคนไปสอบถามดูว่าเพราะอะไรถึงได้เกลียดแมวขนาดนี้ เขาบอกว่า แมวที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า ไปกัดย่าของเขา จนย่าตายเพราะโรคพิษสุนัขบ้า เขารักย่ามาก จึงแค้นใจสุดๆ อาฆาตแมวมาตลอด ถ้าเห็นแล้วไม่ได้ฆ่า มันไม่สบายใจ ต้องจัดการๆ แล้วถึงจะนอนหลับ
พยาบาลหลายคนไปเตือนหมอคนนี้ว่า การฆ่าแมว เป็นบาป เพราะแมวนี่ คนโบราณถือว่ามีเก้าชีวิต ฆ่าแมวเหมือนฆ่าเณร เขาบอกว่า ใครจะมาทำอะไรผมได้ ใครจะกล้า ผมไม่กลัว บาปเบิบอะไร ผมไม่เชื่อถือทั้งนั้น
แหละแล้วเมื่อวันเวลามาถึง ไม่มีใครทำอะไรเขาได้ แต่บาปกรรมที่ทำไว้ก็ไม่มีละเว้น ใครทำกรรมใดไว้ก็ต้องได้รับผลเช่นนั้น ตอบกลับ ไม่ช้าก็เร็ว แต่รายนี้เห็นกันในชาตินี้เลย
หมอคนนี้แต่งงานกับเภสัชกรคนหนึ่ง พวกโรงพยาบาล หมอพยาบาลก็แห่กันไปแต่งงานที่ต่างจังหวัดบ้านของหมอคนนี้กัน เหมารถทัวร์ไปกันเลยแหละ หลังจากนั้นหมอกับเมียก็ไปฮันนี่มูนที่ฮ่องกง โดยขับรถสปอร์ตสีแดงราคาแสนแพงจากที่โรงพยาบาลต่างจังหวัดที่ทำงาน ไปจอดไว้ที่ดอนเมือง ขากลับมาก็ขับรถมาสองคน
ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ในตอนกลางคืน รถที่ขับมาเกิดตกลงไปในคูน้ำข้างทาง ไม่มีคนรู้เห็นซักคน ตอนเช้ามีคนเห็นหลังคารถโผล่พ้นน้ำ จึงไปช่วยกันเอารถขึ้นมา ปรากฏว่า ทั้งหมอทั้งเมีย นั่งคาดเข็มขัดนิรภัยอยู่เรียบร้อย ปากเผยออ้าแบบคนขาดอากาศหายใจ ตายสนิท ไม่มีร่องรอยของการดิ้นรนเอาชีวิตรอดเลยแม้แต่น้อย ซึ่งน่าสงสัยมาก ทำไม๊ ทำไม ตายง่ายๆ ไม่ช่วยตัวเองเลย เหมือนตกลงไปก็ตายเลย
เห็นไหม เอาแมวใส่ถุงโยนน้ำ จนแมวขาดอากาศหายใจ ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ เมื่อเวลากรรมตามทัน ตัวเองก็ตายเหมือนแมวเดี๊ยะเลย ส่วนเมียก็คงมีกรรมคล้ายๆกันมา จึงมาตายพร้อมๆกัน
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า กรรมชั่วมีจริง ทำกรรมอะไรก็จะได้ผลกรรมนั้นตอบแทน ช้าหรือเร็วเท่านั้น อย่าไปทะนงคิดว่าใครจะมาทำอะไรตัวเองไม่ได้เหมือนหมอคนนี้ เราคิดเอาเองเออเองนะคิดได้ แต่เรื่องจริงมันไม่ใช่อย่างที่เราคิด พระพุทธองค์ ทรงเน้นย้ำเรื่องกฎของกรรมเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ทำกรรมดีก็ต้องได้ดี ทำกรรมชั่วก็ต้องได้ชั่ว
แต่คนสมัยนี้ก็ไม่ค่อยเชื่อ กูเก่ง กูรู้มาก กูเรียนมาสูง กูรู้ไปหมดแล้ว ไม่ต้องมาสอน ขอถามซักคำว่า มีเรามีอะไรดีกว่าพระพุทธเจ้า ผู้เป็นผู้ที่ตื่น ผู้รู้และผู้ที่มีใจบริสุทธิ์หมดกิเลสแล้ว เรามันก็ไอ้มนุษย์ขี้เหม็นคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าไม่เชื่อคำสอนของพระองค์แล้วจะเชื่อใคร เชื่อตัวเองนิ
By sri123: ไม่ได้สงสัยในเรื่องความดีและชั่วนะคะ เชื่อว่า ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว เป็นสัจธรรม คือความจริงที่สมบูรณ์ ถึงเวลาก็ต้องตาย ยิ่งเมื่อประมาท ก็ถึงกับตายได้ทุกเวลาค่ะ
By kimeng suk: ไม่ได้บอกว่าตายเพราะฆ่าแมวนะค่ะ บอกว่าตายเหมือนที่แมวตาย คือขาดอากาศหายใจเหมือนกับที่ทำกับแมวไว้ อาจจะตายจากกรรมนี้หรือกรรมอื่นๆมาส่งผลรวมๆกันก็ได้
ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจเรื่องของกรรมก่อนว่า อานิสงส์หรือความรุนแรงของกรรมที่ทำจะส่งผลไม่เท่ากัน แม้จะเป็นการกระทำแบบเดียวกัน เช่นฆ่าแมว หมอคนนี้เจตนาฆ่าแบบอาฆาตมาดร้ายชัดเจน และฆ่าหลายครั้ง เนื่องจากอานิสงส์ของกรรมขึ้นอยู่กับใจและเจตนาที่ทำ ซึ่งแบบนี้จะรุนแรงมากมาก และจะสะสมขึ้นตามจำนวนครั้งของกรรมที่ได้กระทำ
ส่วนอีกคนถ้าฆ่าแมวเหมือนกัน ถ้าใจและเจตนาเท่ากัน จำนวนครั้งเท่ากันก็จะได้ความรุนแรงเท่ากัน แต่การส่งผลของกรรมไม่ได้เป็นบัญญัติไตรยางศ์เช่นนั้น มันขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกอันหนึ่งนั้นคือ คนๆนั้นๆได้ทำความดี ทำบุญกุศล คือมีบุญอยู่ในตัวด้วยไหม ถ้าไม่มีบุญมีแต่บาปพอๆกับหมอคนนี้ กรรมนั้นก็จะส่งผลรุนแรงคล้ายๆกัน อาจจะเห็นในชาตินี้เหมือนกันเลย
แต่ถ้าเขาทำความดีทำบุญมากกว่า บุญที่เขามีอยู่ก็จะพาเขาวิ่งหนีบาป ถ้ามีบุญมากกว่าบาป กรรมชั่วก็จะส่งผลไม่ได้ทันเห็นในชาตินี้ แต่จะส่งผลแน่ๆอาจจะหลังจากตายแล้ว ไปลงนรก หรือส่งผลเมื่อไหร่ ชาติไหนก็บอกไม่ได้ ซึ่งต้องเป็นหลังจากเมื่อบุญของเขาน้อยลง คือทำความดีทำบุญน้อยลง จนน้อยกว่าผลบาปที่รอจะส่งผลอยู่
ซึ่งเรื่องนี้พระพุทธองค์ทรงยืนยันไว้ชัดเจนในพระไตรปิฎก การทำความชั่วแบบไหน แล้วจะตายแบบนั้น มันไม่แน่นอนว่าจะต้องตายแบบนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยของบุญด้วย แต่ในพระไตรปิฎกพระพุทธองค์ ทรงกล่าวว่า ฆ่าวัวหนึ่งตัวต้องไปตกนรกจนหมดกรรมนั้นก่อน แล้วมาเกิดเป็นวัวให้เขาฆ่าเท่ากับขนวัว จะฆ่าแบบไหนก็แล้วแต่
คนทำกรรมชั่วแล้วไม่ได้รับผลของกรรมชั่วในชาตินี้ ก็เพราะว่า ชาตินี้เขายังมีบุญที่เขาได้กระทำมาในชาติก่อน หรือบุญที่ทำในชาตินี้ร่วมด้วย บุญยังส่งผลอยู่ เปรียบเหมือนเขามีกำแพงบุญล้อมเขาไว้ ทำให้บาปหรือกรรมชั่วไม่สามารถเจาะเข้าไปส่งผลได้ แต่เมื่อหมดบุญ กำแพงบุญทลายลง ผลบาปก็จะเล่นงานทันที ตามความรุนแรงของกรรมนั้นๆ
คนเราทำดีหรือชั่วต้องได้รับผลตามนั้น ไม่มีหลีกเว้นได้ ไม่เห็นในชาตินี้ก็อาจจะได้รู้เห็นเมื่อตายไปแล้ว เราเป็นมนุษย์อาจจะบอกว่า ไม่มีชาติหน้า ไม่มีนรกสวรรค์ เรื่องหลอกเด็ก แต่ขอประทานโทษ นี่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงยืนยันไว้อย่างให้ความสำคัญเลยว่า มีการเวียนว่ายตายเกิด มีชาตินี้ มีชาติหน้า มีนรก มีสวรรค์ ทรงกล่าวไว้ว่า สวรรค์ มี 6 ชั้น รูปพรหม 16 ชั้น อรูปพรหม 4 ชั้น นรกมี 457 ขุม เรามนุษย์ธรรมดาไม่สามารถไปรู้เห็นได้ แต่ถ้าเรานับถือศาสนาพุทธ เราต้องเชื่อในสิ่งที่พระองค์ทรงสอนไว้ เพราะทรงเป็นผู้ที่รู้ทุกอย่างของความเป็นจริงของชีวิต แบบ รู้แจ้ง รู้จริง ไม่มีอะไรมาปิดบังพระองค์ได้
เรื่องหมอคนนี้เป็นเรื่องจริง ขอยืนยันเพราะไม่รู้จะมาโกหกเอาอะไรกัน คนเรามันไม่เหมือนกัน จิตใจคนก็ไม่เหมือนกัน ฆ่าแมวทำไมจะทำไม่ได้ ทีฆ่าคนตั้งมากมายยังทำได้เลย ฆ่าคนไม่ร้ายกว่าหรือ ยิงเอายิงเอาคนเหมือนกันแท้ๆ ส่องยิงหัวเหมือนหมา บางคนร้ายกว่านี้ฆ่าเด็กที่น่ารักไม่รู้อีโหน่อีเหน่ยังทำได้ หมอคนนี้เกลียดแมวแบบต้องฆ่าถึงจะสะใจ แต่ถ้าเป็นคุณก็อาจจะแค่เตะมันกระเด็นไปเท่านั้น ใจมันต่างกันค่ะ
By ลิงจุ่น: ข้อสงสัยเรื่องหมอใจยักษ์คนนั้น...เภสัชกรที่เป็นภรรยามองเห็นความดีของหมอใจยักษ์อย่างไร ปกติคนที่มีจิตใจหยาบกระด้างเช่นนี้จะไม่มีความน่ารักสักนิด แล้วทำไมถึงไปรัก...หรือว่ารวย ??
...ถ้าบังเอิญเราดวงซวยไปเป็นคนไข้เขา ไม่รู้ก็แล้วไป ถ้ารู้คงหนาวขรี้ว่ามานจะฆ่าตูอ๊ะป่าว หรือเขาเคยฆ่าคนโดยไม่มีความผิดมาแล้ว และคนไม่รู้
อ่านเรื่องหมอใจยักษ์คนนี้ พาลเลยไปนึกถึงฆาตกรบางคนที่มีเกียรติยศสูงศักดิ์ในสังคม ฆ่าคนมาตลอดชีวิต เขาจะจบชีวิตอย่างที่ทำไว้บ้างหรือไม่หนอ
By kimeng suk: ปรกติหมอคนนี้ จะเป็นคนที่ไม่กร้าวร้าว ไม่อ่อนน้อม แต่ไม่ถึงกับแข็งโป๊ก เคยคุยกับเขาบ่อยๆ เขาก็ดูปรกติดี รักษาเก่ง รับผิดชอบดี มีคนไข้ขึ้นเยอะ เภสัชกรอาจจะรักเพราะรูปหล่อ รวย และเป็นหมอด้วย คิดดูซิว่า ถ้าลูกเราเป็นเภสัชได้แต่งงานกับหมอ เราพ่อแม่จะปลื้มแค่ไหน มีหน้ามีตา และแน่นอนลูกเราสบายแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว เขาอาจจะจบชีวิตแบบที่เขาได้กระทำ หรือแบบไหนก็ได้ ขึ้นอยู่กับ บุญและบาปที่เขามีในตัวของเขา จะเป็นสิ่งที่จัดสรรให้เกิดขึ้น มนุษย์ไปบังคับให้เป็นไปตามนั้นไม่ได้
ชีวิตสนุกที่สุดตอนเป็นนักเรียนแพทย์
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค
เราเองเป็นเด็กบ้านนอก เรียนจบมัธยมปลายที่ต่างจังหวัดเรียกว่า เป็นคนบ้านนอก บ้านนอกจริงๆ เคยมาเที่ยวกรุงเทพครั้งเดียว แต่งตัวก็เชยๆ ทะเรอทะร่า ม้าดีดกะโหลก ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร จริตจก้านก็ไม่มี เรียนพอใช้ได้ แต่เผอิญมาสอบเข้าเรียนเตรียมแพทย์ที่คณะแพทย์ในกรุงเทพได้
จำได้ว่าวันสอบสัมภาษณ์เข้าเรียน เดินเข้าห้องสอบ มีอาจารย์นั่งเรียงรอสัมภาษณ์เกือบ 7 คน ตัวเรางี้สั่นเป็นเจ้าเข้า เขาให้ร้องเพลง ประเทศไทย เราลุกขึ้นยืนตรง แล้วเริ่มบรรเลง ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย แล้วหยุด เงียบ เงียบ ตัวสั่นพรับๆ อาจารย์ก็รอการบรรเลงต่อ
เราก็ทำใจกล้า ส่งเสียงบอกท่านว่า โน้ตในใจมันพัง อ่านไม่ชัด เพราะกลัวค่ะ ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร งั้นเต้นช่า ช่า ให้ดูซิ เราก็ไม่รู้จักอีก เต้นรำไม่เป็น แต่ไม่เป็นไร มั่วได้ เลยเต้นท่าไส้เดือนถูกน้ำร้อนลวก ให้พวกท่านดู เห็นท่านหัวเราะกันฮา ฮา ฮา เราเลยมันส์ เต้นใหญ่ ลองนึกถึงท่ากระยึกกระยัก บิดไปบิดมาเหมือนไส้เดือนถูกน้ำร้อนยังไงยังงั้น จบแล้ว นึกไม่ถึง ท่านปรบมือกันดังสนั่นทุกคน บางคนก็เช็ดน้ำตา เราคิดนะว่าท่านร้องไห้เพราะสงสารท่าไส้เดือนของเราแหง่ๆ เดี๋ยวนี้นึกแล้วยังขำตัวเอง ว่าเต้นได้อย่างไร
ชีวิตนักเรียนแพทย์ตอนที่สนุกที่สุดคือตอนปีหนึ่ง นักเรียนแพทย์ผู้ชายจะมีมากกว่าผู้หญิง เพราะสมัยก่อนจำกัดโค้วต้าให้ผู้หญิงเข้าเรียนน้อยกว่า จะมีกิจกรรมร่วมกันเยอะมาก ที่บ่อยที่สุดก็คืองานเต้นรำ ไม่ว่างานอะไรก็จะมีเต้นรำ เต้นกันแต่หกโมงเย็นถึงหกโมงเช้า นักดนตรีขอเลิกก็ไม่ยอม (นักดนตรีของคณะแพทย์เอง) จนนักดนตรี ต้องนอนดีดกีร์ต้าเอาก็มี ส่วนมากก็จะชอบเต้นเพลงบอลรูม สวีทๆ โหย คิดถึงเวลานั้นจัง มันม่วนแต้ๆ มีอยู่ครั้งหนึ่ง พวกผู้ชายไปจ้างระบำจำบ๊ะ มาเต้น พวกผู้หญิงตื่นเต้น ไม่เคยเห็น พากันแย่งดูปีนขึ้นไปบนเวทีเราก็ปีนกับเขาด้วย เวทีมันทนไม่ไหว พังครืนลงมา ถลอกปอกเปิกกันเป็นแถว ดีขาไม่หัก พวกผู้ชายหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง สมน้ำหน้าผู้หญิงที่ไปแย่งที่ของเขาดู
บางครั้งพวกหอชายก็เอาหนังโป๊มาฉาย โจงใจหันจอมาทางด้านหอหญิง พวกผู้หญิงปิดไฟกันหมด พากันออกมาแอบหมอบดูตรงระเบียง กลัวพวกผู้ชายจะเห็น หมอบจนเมื่อยไปหมด ก็ทนเอา พอเช้ามาก็ตีหน้าตาย เต๊ะท่าว่าฉันไม่รู้ไม่ได้ดูนะ แต่บอก พวกเธอนี่ ทุเรศที่สุด ไอ้พวกลามกจกเปรต
พวกหอชายเป็นพวกชอบโชว์ บางคืนก็แก้ผ้า ตีแบตมินตั้นกัน หรือแก้ผ้าเตะบอล สนุกสนานเฮฮากันมาก พวกผู้หญิง ก็ทนดูไม่ได้ด้ายๆๆ สุดแสนลามก เปรตหล่อกว่า ดูแล้วตาจะเป็นกุ้งยิง เลยปิดประตูห้องกันเงียบกริบ พวกผู้ชายเลยผิดหวังที่จะได้โชว์สาวๆสมใจอยาก 5555555
บางวันพวกผู้ชายก็เอากระป๋องผูกท้ายรถ ลากผ่านหน้าหอหญิงให้มันส่งเสียงดังหนวกหูไม่ต้องนอนกันละ พวกผู้หญิงก็ออกมาด่าเป็นไฟแลบ
พวกผู้ชายที่มีแฟนเป็นนักเรียนแพทย์ผู้หญิง หัวค่ำอ่านหนังสือแล้ว ก็จะมารับแฟนไปทานมื้อดึก สมัยนั้นที่ฮิตของนักเรียนแพทย์มากก็คือ ร้านก๋วยจั๊บเจ้าอร่อยข้างสวนลุม อร่อยมาก เราไปทานทุกวันๆละชาม ใส่เครื่องในเยอะๆ น้ำส้มหน่อย น้ำตาลนิด สุดแสนจะประทับใจในรสชาด บางคืนก็ขอเบิ้ลอีกชาม
อยู่มาวันหนึ่ง ท่านอาจารย์ก็ประกาศว่า ไอ้ร้านก๋วยจั๊บของท่านนักเรียนแพทย์ทั้งหลาย ถูกจับแล้ว ไอ้เราฟังก็นึกว่า คงขายยาเสพติดแหง่แก๋ เปล่าผิดคาด ให้เดาก็เดาไม่ถูก ถูกจับเพราะเอาหมามาทำก๋วยจั๊บขาย มีหัวกะโหลกหมากองเต็มร้าน
ตอนแรกได้ข่าว เราก็รู้สึก อยากจะอ๊วกเอาของเก่าออก อ๊วกเท่าไหร่ก็ไม่มีเนื้อหมา เครื่องในหมาออกมาสักที จนเจ็บคอระบมไปหมด นึกขึ้นมาได้ว่า เนื้อหมามันก็อร่อยดีนะ ได้อีกซักชามก็คงจะดี มันเป็นประสบการณ์ที่ประทับใจมาก ไม่มีวันลืม เพราะได้เป็นหมอที่กินเนื้อหมา เรียนจบหมอได้ ก็อาจจะเพราะกินเนื้อหมาประจำก็ได้นะนี่
ปีใหม่แล้วเอาเรื่องเบาๆมาเล่าให้ฟัง ไร้สาระหน่อย คลายเครียดจากการเมืองก็แล้วกันค่ะ
By สายน้ำแห่งเสรี: แก้ผ้าตีแบต ไม่ร้องวี๊ดว๊ายกันน่าดูหรือครับ ได้ยินมาว่าหมอชายเป็นเกย์เป็นกระเทยซะเยอะ
By kimeng suk: ก็ไม่ทราบค่ะ แต่คนพิเศษพวกนี้เขาจะมีพรสวรรค์ดีมาก ทำอะไรก็เก่งกว่าผู้ชายธรรมดา จัดดอกไม้ก็เก่ง เรียนก็เก่ง แถมบางคนหล่อสุดๆ กระชากใจคนแก่ได้เลยละ
By boy: คนบ้าเท่านั้น ที่เชื่อว่า นิสิต นักศึกษา แก้ผ้าตีแบต
By kimeng suk: ขอโทษค่ะ คนที่แก้ผ้าตีแบต หนึ่งในนั้นคือ สามีของเราด้วย เขาตีกันกลางคืนดึกๆหน่อย บางคืนตีโชว์แค็ดดี้สนามกอล์ฟข้างๆด้วยซ้ำ
จนป่านนี้เขายังเล่าให้ลูกหลานฟัง ถึงวีรกรรมอันนี้เลยค่ะ ด้วยความภาคภูมิใจที่ได้ทำอะไรพิเรนๆแบบนี้ตอนหนุ่มๆ
เรื่องนี้เป็นความจริง เป็นการสนุกๆของผู้ชายที่อยู่รวมกลุ่มกัน และเป็นวัยรุ่นอยู่ มีเรื่องที่เขาทำอะไรพิเรนๆอีกมากมายที่ไม่ได้เล่า พวกเขายังไม่ได้เป็นหมอ กำลังเข้าเรียนแค่ปีหนึ่งปีสองกันเท่านั้นนะ มันก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป พวกที่เรียนสูงๆเขาก็เลิกเล่นพิเรนด้วยแล้ว
และก็ไม่มีพิษภัยต่อใคร และไม่ได้เผยแพร่ออกไปภายนอก ยกเว้นบางคนที่ชอบโชว์ให้คนอื่นดู ซึ่งหมอก็มีคนดี คนจิตปรกติ ไม่ปรกติเหมือนๆกับสังคมอื่นๆ
แต่เขาก็จบมาเป็นแพทย์ที่ดีทำงานรับผิดชอบกันได้ทุกคน ยกเว้นพวกที่ตรวจพบว่าสุขภาพจิตผิดปรกติจริงๆ ก็ให้ออกไป ซึ่งเคยเห็นในคนละรุ่น
ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีสาระ เป็นการคลายเครียด หรือชีวิตคุณจะรู้จักแต่ความมีสาระ ทุกอย่างเป็นการเป็นงาน ซีเรียสแบบหมอทั้งหลายตลอดเวลา
เอ้า ใครไม่ชอบเรื่องไร้สาระแบบนี้ และเห็นว่าไม่ดี หรือดี ลองให้คะแนนมาซิ ว่าคนเราชอบแบบใจสบาย ขำขำ หรือแบบซีเรียส
?????
ใส่เฝือกท่าใหม่ ไฮ ฮิตเล่อร์
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค
ตอนที่เป็นแพทย์ฝึกหัดใหม่ๆ มีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งขณะนี้มีชื่อเสียงพอประมาณ ในทางการเมือง เขาเป็นคนที่น่ารักมาก คือสุภาพอ่อนน้อม พูดดี มารยาทดี ปากหวาน ท่าดีแต่ทีเหลว เชื่อไหมไม่มีเพื่อนคนไหนอยากอยู่เวรพร้อมไอ้หมอนี่เลย เพราะเขาเล่นเอาเปรียบ ปล่อยให้เพื่อนอยู่เวร ทำงานคนเดียวทั้งคืน ส่วนตัวเขาเองหายตัวไปทันทีที่ขึ้นเวร หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ไปไหนไม่รู้ ไปจีบสาว แอ่วสาว ไปไนท์คลับและไปไหนต่อไหน ไม่ให้เบอร์เพจเจอร์ หรือปิดเสีย พอเช้าก็กลับมารับหน้าอาจารย์ ทำเหมือนทำงานทั้งคืน ไอ้เพื่อนก็ไม่กล้าฟ้องอาจารย์ ได้แต่อยากเตะมัน หมั่นไส้มันมาก
เคยอยู่เวรพร้อมกับเขาหลายครั้ง โดยเฉพาะเวร ห้องคลอด จะมีแพทย์ฝึกหัดสองคน ซึ่งมีหน้าที่คอยเย็บแผลที่ช่องคลอด (perinium) ซึ่งเกิดจากการตัดให้ช่องคลอดกว้างขึ้น ลูกจะได้ออกมาง่ายๆ ไม่งั้นมันจะฉีกขาดกระรุ่งกระริ่ง เย็บลำบากมากและแผลอาจจะไม่ติดอักเสบได้ ที่โรงพยาบาลแห่งนี้คลอดคืนละเกือบ 30 คน พยาบาลเป็นคนทำคลอด หมอคอยเย็บ ไอ้เพื่อนเราก็ดันหายหัวไป ปล่อยเราคนเดียวซึ่งต้องรับผิดชอบ หมุดหัวเย็บช่องคลอดทั้งคืน
พอเช้า เขาก็กลับมา เซย์ ฮัลโลดาร์ลิ่ง เป็นอย่างไรบ้างเธอ ไอ้เราโมโหมาก เลยตะคอกแรงๆกลับไป ไปไหนมา ฉันเย็บแทนเธอจนหน้าฉันมันคล้าย perinium แล้วนะ เขากลับบอกว่า เฮ้ย มันดูสวยดีออก อ้าวเป็นงั้นไปอีก เรายังงงๆอยู่ว่า ตกลงใครว่าใครกันแน่ (นี่คือโทษของการที่เป็นคนปากดี ไม่ใช่คน ป.ม เหน็บแหนมใครไม่เป็น เลยเข้าตัวเอง)
ทุกเดือน แพทย์ฝึกหัดต้องย้าย ward ไปเรื่อยๆ จนครบทุก ward ตอนที่มันเกิดปัญหาขึ้นก็เพราะ หมอคนนี้ได้ย้ายไปอยู่ ward ศัลยกรรมกระดูก ซึ่งงานหนักมาก และต้องฝึกฝนทำหัตถการกับคนไข้เพื่อหาประสบการณ์ ไอ้หมอคนนี้มันไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย วันๆไม่เห็นหน้า โผล่มาเหมือนผีหลอก ป๊อปแป๊ปไปแล้ว คงเคยแค่มายืนดู หรือทำอะไรก๊อกแก๊ก เพื่อให้รุ่นพี่หรืออาจารย์เห็นหน้าเท่านั้น
วันหนึ่งเขาต้องอยู่เวร OPD ศัลย์กระดูกคนเดียว one man show พอดีมีคนไข้แขนหักท่อนบนข้างขวามา แพทย์เวรต้องใส่เฝือกให้ก่อน หรือปรึกษารุ่นพี่ที่อยู่เวรใน ถ้าตัวเองทำไม่ได้ แต่หมอคนนี้พอเห็นคนไข้ คงมึนๆงง คงคิดในใจ ปรึกษาตัวเองก่อนว่า เอาไงดีวะกู ใส่เฝือกไว้ก่อนดีกว่าไหม แต่จะใส่ท่าไหนดีละ กูเองก็จำไม่ได้โว้ย อะอะ กูคิดท่าใหม่ๆขึ้นมาได้แล้ว ใส่ท่าเก่าๆมันซ้ำซาก น่าเบื่อ เอาท่านี้ ไฮ ฮิตเล่อร์ เลยเป็นไง รับรองพรุ่งนี้ กูได้รับคำชมแน่นอน ว่าหัวแหลมเหมือนหัวลิง ว่าแล้วเขาก็จับคนไข้ ให้ยื่นแขน ตรงไปข้างหน้า แบบที่ทหารเยอรมัน ทำท่าแสดงความเคารพ ฮิตเล่อร์ ทำเหมือนกันเป๊ะเลย แล้วก็ใส่เฝือกในท่านั้น ใส่เสร็จก็ให้คนไข้กลับบ้าน พรุ่งนี้เช้านัดให้มาใหม่ มาตรวจที่คลินิกศัลย์กระดูก
คนไข้ก็สบายใจกลับบ้าน ไปนั่ง ไปยืน ไปนอน ไปเข้าห้องน้ำ ในท่า ที่แสดงความจงรักภักดี ต่อฮิตเล่อร์ อย่างสูงสุด ลองนึกดู ถึงภาพที่ คนไข้นอนท่า ยกแขนยื่นตรงไปข้างหน้า ตลอดคืน คงนอนหลับได้อย่างสบาย นี่ถ้าเขารู้ว่าท่านี่คือท่าอะไร เขาคงจะท่อง ไฮ ฮิตเล่อร์ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จนสว่างแน่นอน เผลอๆฮิตเล่อร์ ได้ยิน อาจจะลุกขึ้นมายืนข้างเตียง ถามว่าเรียกมาทำไม ฮ้า ฮ้า ฮ้า ฮ้า
ตอนเช้า คนไข้ก็มาตามนัด ที่ OPD ศัลย์กระดูก พออาจารย์เห็น คนไข้คนนี้ ก็ทำหน้าเหมือนผีหลอก โอ้ พระเจ้าจอร์จ (แบบคนสมัยนี้ชอบพูดเปี๊ยบ) ตะโกนถามลูกศิษย์ว่า ใครวะ ใส่เฝือกให้คนไข้แบบนี้ ทำแบบนี้ได้อย่างไร เสียชื่อฉันหมด แล้วก็ใส่เป็นชุดๆๆๆทั้งที่ยังไม่มีใครยอมรับว่าเป็นคนทำ สุดท้ายพอเหนื่อย อาจารย์คงนึกขึ้นมาได้ว่า ยังไม่รู้ว่าใครทำ ก็หันมาคาดคั้นว่าใครทำ วะ ใครทำรับมาเสียดีๆ
หมอคนทำยกมือขึ้น พูดเสียงอ่อยๆน่าสงสารมาก ผมทำครับ อาจารย์ก็ตาเขียวปั๊ด ตะคอกถามว่า เธอคิดท่านี้ขึ้นมาได้อย่างไร ผมเพิ่งอ่านหนังสือ สงครามโลกครั้งที่สองจบครับ ประทับใจการทำความเคารพแบบนี้มาก ก็เลยลองเอามาใช้ครับ ตอบเสร็จก็เขาก็ยิ้มแบบสุดประทับใจจริงๆ
และสิ่งที่เขาได้รับก็คือการได้ไปยืนทำความเคารพแบบนี้ ในห้องพักแพทย์ ยืนตรงยกแขนไปข้างหน้า พร้อมกับให้ตระโกน ไฮ ฮิตเล่อร์ ๆๆๆๆๆๆๆ ไปเป็นเวลา 15 นาที ให้ความประทับใจนั้นซึมซาบซ่านไปทั่วทั้งตัว ไม่ใช่แต่ที่ใจเท่านั้น
เรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า การจะเป็นหมอ ต้องรู้จักรับผิดชอบ ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียน ต้องใฝ่หาความรู้ให้มากที่สุด เพราะเราต้องไปรับผิดชอบต่อชีวิตของคนไข้
เรื่องนี้ไร้สาระ เอาสนุกๆ เป็น เรื่องจริง แต่เสริมแต่งสำนวนปรุงรส เอามันส์
วีรเวรของหมอใหม่
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค
เขียนเรื่องวีรเวรของหมออื่นมาหลายเรื่อง ก็จะขอเขียนวีรเวรของตัวเองบ้าง เดี๋ยวจะน้อยหน้า หรือคนจะพาลคิดว่าตัวเราเองดีเลิศสแมนแตนกว่าคนอื่นเขา
ตอนนั้นเป็นแพทย์ฝึกหัด ต้องหมุนเวียนไปฝึกที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แผนกศัลยกรรม ต้องออกทำการผ่าตัดเล็กๆน้อยๆ ที่ห้อง OR เล็ก วันนั้นเราออกผ่าตัดพร้อมรุ่นพี่ ไม่มีอาจารย์ อยู่ด้วย มีคนไข้คนหนึ่งถูกส่งเข้ามา เพราะมีก้อนขนาด 2-3 เซนติเมตร ที่ติ่งหูข้างขวาเป็นก้อนไขมัน (sebaceous cyst) ตอนนั้นรุ่นพี่กำลังยุ่งผ่าคนอื่นอยู่ เขาก็ตะโกนถามว่า น้องๆ ผ่าเองได้ไหม คงเห็นเป็น case ง่ายๆ เรารีบตอบ สบายมากค่ะ รู้สึก ดีอกดีใจใหญ่ที่จะได้ลงมือทำด้วยตัวเอง ต้องโชว์ฝีมือให้รุ่นพี่เห็น เผื่อจะแลสายตาชื่นชมยกย่องมาทางเราน้องหมีตัวอ้วนๆน่ารักบ้าง
เราก็ไปล้างมือตามวิธีการของหมอที่จะผ่าตัดคนไข้ แล้วก็เอาคนไข้ขึ้นนอนบนเตียงทำความสะอาด ทายาฆ่าเชื้อโรค รอบๆหู คอและหน้าซีกนั้น ทาให้เว่อร์ๆไว้ก่อน เอาผ้าที่ฆ่าเชื้อแล้วคลุมหนึ่งชั้น เอาผ้าฆ่าเชื้อที่เจาะรูตรงที่จะผ่าตัดคลุมอีกชั้นหนึ่ง เสร็จแล้ว ลงมือได้ แอ่น แอ้น
เราฉีดยาชารอบๆก้อนนั้นก่อน แล้วก็ค่อยๆกรีดมีดลงบนก้อนนั้น ตั้งอกตั้งใจ เลาะเอาก้อนนั้นออก เลาะข้างโน้นข้างนี้ ต้องระวังไม่ให้มันแตก และสำคัญที่สุดต้อง เอาออกให้หมด เหลือไว้ไม่ได้แม้แต่เล็กน้อย โดยเฉพาะผนังที่หุ้มก้อน เดี๋ยวมันจะขึ้นมาใหม่ มันส์มาก เลาะอย่างเพลิดเพลินใจ ติดตรงไหน เราก็ทุ่มพละกำลังและฝีมือ เลาะสุดชีวิต เลาะไปเลาะมา ก้อนก็หลุดผัวะออกมาอย่างง่ายดาย เราดีใจมาก ฝีมือตูนี่ไม่เลวนะ เลาะไม่นานก้อนก็หลุดง่ายๆ ไอ้เพื่อนๆฝีมือโหรยท่วยแพ้เราราบก็แล้วกัน ภูมิใจจริงวุ้ย
ซับเลือดให้แห้ง เสร็จแล้ว ก็มาดูหูคนไข้ เอะทำไม ข้างนี้สั้นกว่าอีกข้างมาก อนิจจา วัฏสังขารา มันจะไม่สั้นได้อย่างไร ก็เราดันไปตัดติ่งหูของเขาออกมาด้วยพร้อมก้อน มันถึงตัดออกได้ง่ายไง แล้วทำไงดีละ ตอนนี้หน้าเหลือแค่สองนิ้วเท่านั้น ซีดเป็นไก่ต้มข้าวมันไก่ มาดคุณหมอคนเก่งไม่มีเหลือ มีแต่หมอจ๋องกรอด ยืนเต้นเป็นเจ้าเข้าอยู่ และ ความฝันอันบรรเจิดที่จะมีคนมาทำตาชื่นชมให้หายวับไปกับตา
เหลือแต่ความกลัวความผิด ทำไงดีๆๆๆ จะบอกคนไข้หนุ่มสุดหล่อก็ไม่ได้ ว่าหูเขาแหว่งไปแล้ว ถ้าบอกมีหวัง โดนตบแน่ โถใครจะไม่โมโห เมื่อกี้ยังหล่อสุดๆ หูสองข้างเท่ากัน มันยัง เสริมความหล่อของใบหน้าอยู่ พระเอกลิเกแพ้ลุ่ย แต่พอเดินออกไปคราวนี้ กลายเป็น ไอ้หนุ่มหูแหว่งไปซะนี่ ถ้าเขารู้เรื่องตอนนั้น ลองนึกถึงหน้าของเขาซิว่าจะเป็นอย่างไร หน้ายักษ์ของทศกัณฑ์ ชิดซ้ายไปเลย ไปไกลๆ อย่ามาเข้าใกล้บาทากู
เลยทำใจกล้า เดินไปบอกรุ่นพี่ว่า พี่ๆมาดูอะไรนี่หน่อยค่ะ พอรุ่นพี่มาเห็น ก็อึ้งไป มองหน้าเราแบบดุมากๆ ไม่มีแววตาแห่งความเอื้ออารีแม้แต่น้อย เราก็ยิ่งตัวลีบเล็กลงๆ แต่รุ่นพี่มีสติดี เข้าไปพูดเจรจากับคนไข้ว่าจะแก้ไขให้ จะให้หมอศัลยกรรมพลาสติก มาทำหูให้ใหม่ จะเหมือนเดิมหรือเกือบเหมือนเดิม เขากล่อมจนคนไข้เข้าใจและใจอ่อนยอมรับ ไอ้เราก็เข้าไปยกมือไหว้ ขอโทษเขา สองสามรอบ เพราะ เรากลัวว่าไหว้รอบเดียว เขาจะไม่ยอมรับ เรื่องนี่ก็จบลงแบบ happy ending พอเรื่องจบลงด้วยดี เราก็หน้าบานเป็นกระด้ง โชคดีนะนี่ที่รุ่นพี่ปากดี มิฉะนั้น นึกไม่ออกว่าอะไรจะเกิดขึ้น
เรื่องนี้สอนว่า เป็นหมอใหม่ก็อย่าประมาท อะไรที่ทำได้ก็บอกว่าทำได้ ทำไม่ได้ก็ต้องบอกว่าทำไม่ได้ อย่าใจกล้าทำในสิ่งที่เกินความสามารถของตัวเอง ถ้าเกิดเรื่องแล้วมันเป็นเรื่องใหญ่ แก้ไขลำบาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น