@ "วรเจตน์" ฝ่าศึกสหบาทา: ร้องว่าผมเนรคุณ แต่คุณยืนให้สูงเพื่อบอกว่าจงรักภักดี โดยเหยียบหัวผมขึ้นไป
@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
@ เข้าครัว...ทำกับข้าวคลายเครียด!! ผมทำได้ คุณก็ทำได้ครับ
@ 54... "นายกฯปู" สวมชุดนักบินเหินฟ้าชมการใช้กำลังทางอากาศ
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือนกองทัพไทย
@ ภาพชุดงานสโมสรสันนิบาต วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5ธ.ค.2554
@ 81 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’
@ สถานีรถไฟจีน แล้วลองย้อนมาดูเรา...
@ เรื่อง... ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ ชุดที่1
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน เวียดนาม ชุดที่2
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน สิงคโปร์ ชุดที่3
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน อินเดีย ชุดที่4
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ฟิลิปปินส์ ชุดที่5
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ร่วมประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ ชุดที่6
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน มาเลเซีย ชุดที่7
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ญี่ปุ่น ชุดที่8
@ 82 ต้องรู้..ต้องรู้...ภาระหน้าที่"เมษายน"ทุกๆปี นะจ๊ะ!!
@ 55... มาร์คครับ หยุดใช้วาทกรรมแก้รัฐธรรมนูญทำให้สังคมเกิดความขัดแย้งเลยครับ
@ สุดยอดไปเล้ย ก้อคุณพี่ทิศใต้นะสิคะ บอกไม่กลับบ้านก็ได้ทุกวันนี้สบายดี
@ 11 "ปู"พา"ไปป์"ไปญี่ปุ่นด้วย ให้พี่เลี้ยงพาเที่ยวแทน
@ 84 คุณชวนนท์ครับ ออกมาดูโลกภายนอกบ้างเถอะครับ
@ 12 เคยเห็นมั้ย!! แมงสาปดิ้นใน"บ้านทรายทอง"กรุงโตเกียวญี่ปุ่นโน่น...
@ 80 สังคมไทยป่วย หรือเป็นผลผลิตจากการโฆษณาชวนเชื่อมาอย่างยาวนาน
@ นิก นอสติทซ์ "ผมมาทำตามหน้าที่ของความเป็นมนุษย์"
คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...
ขอขอบคุณและขออนุญาตคุณ kimeng suk นำข้อเขียนของท่านมาลงไว้เว็บนี้นะครับ
อีแปะมันหด
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค
ตอนที่1 "ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา"
ตอนที่2 "คนไข้คนแรกของหมอใหม่หมาดๆ"
ตอนที่3 "ผีหลอกหมอ"
ตอนที่4 "อะไรทำให้ รวยและ รวย จากคนจนสุดๆกลายเป็นเศรษฐีใหญ่"
ตอนที่5 "ถูกพ่อดูถูกถึงได้เป็นหมอ"
ตอนที่6 "ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมเป็นหมอทำแท้ง"
ตอนที่7 "ทำไมถึงจนอย่างนี้"
ตอนที่ยังรับราชการอยู่ในโรงพยาบาลของรัฐบาล ถึงจะเป็นแพทย์ผู้ชำนาญทางกุมารเวชศาสตร์ แต่ก็ต้องมีเวรออกตรวจ OPD ในตอนบ่าย ซึ่งเป็นการตรวจโรคทั่วๆไป ประมาณเดือนละ 4 ครั้ง สมัยนั้นหมอทำงานนอกเวลาให้โรงพยาบาล ไม่ว่าอยู่เวรนอกเวรใน หรือผ่าตัดนอกเวลาจะไม่ได้เงิน ค่าอยู่เวร ค่าผ่าตัดนอกเวลา อะไรทั้งนั้น ได้รับแต่เงินเดือนล้วนๆ ไม่เหมือนสมัยนี้ได้รับค่าทำงานล่วงเวลาทุกอย่างเพียบ เริ่มเข้าทำงาน 1,300 บาท ทำไป 10 ปี ได้ 5,000 บาท จึงลาออกไปทำเอกชน ได้เดือนละเกือบแสน
เวลาออกเวรตรวจที่ OPD ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ผู้ชำนาญโรคอะไร ก็ต้องมาตรวจได้ทุกโรค ตรวจโรคเด็กๆ ซึ่งน่ารักน่าเอ็นดู ร้องจ๊ากๆ แงๆๆ ชักดิ้นชักงอ ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง พ่อแม่ตอบแทนให้หมดยังพอว่า พอมาตรวจคนแก่ ซึ่งหย่อนยานเหี่ยวย่นไปหมด แต่ไม่ร้องจ๊ากๆแงๆ (ถ้าคนแก่ร้องเหมือนกับเด็กๆ ตูขอตายดีกว่า) ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน เพราะหูตึงหูดับไม่ได้ยิน ญาติต้องตอบแทนให้หมด เราก็จะบ้าเอา เพราะคนแก่มีอาการอย่างหนึ่ง แต่ญาติบรรยายอีกอย่าง มันช่างเหมือนกันบนความแตกต่างอย่างมาก
เวลาออกตรวจ OPD จะมีเรื่องสารพัด ทั้งสุดแสนเศร้ารัดทด ฟังแล้วน้ำตาไหลแทนคนไข้เลยละ (แต่แป๊บเดียวหมอก็ลืมแล้ว เพราะวันๆมีเรื่องที่ต้องเจอสารพัดเรื่อง) บางเรื่องชวนโมโหโกรธา หน้ามืด ความดันขึ้นสุดปรอท แต่บางเรื่องก็ทั้งขำตลกและ ทั้งสมเพท ไปด้วย ลองดูแซมเปิ้ลสองสามเรื่อง แล้วลองคิดดูว่า ถ้าเจอกับตัวเองแล้วจะจัดการรักษาเขาอย่างไรดี
มีอยู่สมัยหนึ่งหนังสือพิมพ์ลงข่าวกันใหญ่ว่า กินแตงโมแล้ว ไอ้ของดีมันหด ที่จังหวัดนั่นจังหวัดนี่ หดกันใหญ่ ลงติดต่อกัน สามสี่วัน หนังสือพิมพ์ทำข่าวขายดี แต่เขาไม่รู้หรอกว่า ทำให้คนไทยป่วยเป็นโรคหดมากๆๆๆ เดือดร้อนหมอขนาดไหน เผลอๆหมอตรวจโรคนี้มากๆเข้าทุกวันๆ ก็จะติดโรคหดนี้ไปด้วย ถ้ามีหมอเป็นโรคหดด้วยอีกคน เป็นข่าวดังแน่ มีหวังแตงโมเมืองไทยสูญพันธุ์ไม่มีใครกล้ากิน หนังสือพิมพ์รวยเอ้ารวยเอา คนปลูกแตงโมเจ้งสนิทแน่
เย็นวันหนึ่งขณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาตรวจคนไข้ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเหี่ยวเฉาเหมือนต้นไม้ถูกน้ำร้อนลวก สีหน้าทุกข์ระทมมาก เข้ามานั่งแล้วบอกว่า "หมอครับช่วยผมด้วยครับ" "แล้วคุณเป็นอะไรมาละค่ะ" "ของผมมันหดครับ" ไอ้เราก็งงๆ เลยถามว่า "อะไรมันหดล่ะ"
เขาตอบว่า "ผมไปกินแตงโมมา กินมากไปหน่อย มันเลยหดไปหมดเลย ดีนะที่ผมตะครุบมันไว้ทัน แล้วเอาเชือกผูกมันไว้ไม่งั้นไม่เหลือเลย หดหายไปหมด ผมตายแน่ๆ" เราก็เลยบอกให้ขึ้นนอนบนเตียงตรวจโรค แล้วบอกเขาว่า "เอาว่ามาอะไรมันหด จะได้จัดการให้"
เขารีบดึงกุงเกงในลงมา โถ ช่างน่าสงสารไอ้จ้อยของเขามากเลย มันถูกเชือกผูกตรงปลายๆมัดติดกับต้นขาไว้ เหี่ยวห้อยคอตก ดูแล้วขนาดมันก็ปรกติดี ไม่เห็นมีหดหายไปตรงไหน ก็เลยถามเขาว่า "มันหดหายไปขนาดไหน" เขาบอกว่า "หายไปเป็นคืบ "ไอ้เราฟังแล้วก็สงสัยว่าปรกติของเขาจะยาวเป็นศอกเสียละมัง โห ชายไทยทั้งหลายทุกคน ต้องอิจฉาเขาแน่ๆ
พอฟังแล้ว ก็รู้เลยว่าคนนี้ไม่ค่อยจะเต็มสองบาท มีแค่หกสลึง ซักไปซักมา เขาเป็นโรคนกเขาไม่ขันมาก่อน พอได้อ่านหนังสือพิมพ์ ก็กลัวว่ากินแตงโมแล้วมันจะทำให้หดหายไปหมด มันยิ่งไม่ค่อยจะดีอยู่แล้ว ต้องรีบมัดไว้ก่อนมันจะหดมากกว่านี้ หมอฟังแล้ว ประสาทแดกแทนคนไข้
เอาอีกเรื่องนะ วันนั้นก็มีคนไข้ผู้หญิงคนหนึ่ง วิ่งกระหืดกระหอบ เข้ามาขอลัดคิวตรวจ บอกว่า ฉุกเฉินมากๆ น่าตาวิตกกังวลสุดๆ เราก็ให้พยาบาลพามาพบ ถามว่าเธอเป็นอะไรมา เธอจัดแจงกุมที่เป้าทันที แล้วบอกว่า
"หมอฉันไปกินแตงโมมา มันกำลังหดไปเรื่อยๆ หดจนจะหมดแล้วช่วยด้วยหมอ"
เราก็ถามว่าอะไรหด เธอตอบว่า "อีแปะมันหด" เราก็งงๆตามไม่ทัน อะไรวะอีแปะ นึกๆอยู่ตั้งนาน อีแปะๆๆๆๆมันอะไรหนอ จึงถามว่า "อีแปะมีรูไหม" เธอตอบว่า "มีรูตรงกลางไงหมอ ไม่งั้นจะฉี่ออกหรือ" ถึงบางอ้อเลยเรา ศัพท์ใหม่นะนี่ ต้องไปลงในพจนานุกรมไทย
เลยบอกว่า "ก็อีแปะมันแบนแต๊ดแต๊ มันจะไปหดหายไปตรงไหนได้อย่างไร" เธอตอบว่า "หมอไม่รู้อะไร ธรรมดาของฉันมันนูนกว่านี้มาก กินแตงโมแล้วมันหดแบนลงทันตาเห็น" ตูฟังแล้วเป็นงงมากๆ โรคอะไรวะ ไม่เคยได้ยิน อาจารย์ไม่เคยได้สอน มันคงเป็นโรคสมัยใหม่ของผู้หญิงยุคนี้ ที่อะไรต้องให้นูนๆไว้ก่อน หน้าให้นูนยังพอว่า แต่ไอ้อีแปะต้องนูนด้วยนี่ ถ้าไม่นูนสงสัยถึงจะหน้าสวยก็คงไม่มีใครรัก เฮ้อ กรรมของสัตว์โลก
นึกในใจว่า นี่ตูจะไปทำให้มันนูน ขึ้นมาได้อย่างไร นึกไม่ออกรักษาไม่เป็นให้ยาไม่ถูก ให้ไปฉีดซิลิโคนน่าจะดีนะ เอาให้มันนูนหนำใจไปเลยเป็นไง เห็นด้วยกันไหม
By boy: ในยุคนั้น มีการปล่อยข่าวว่า ใครกินอาหารญวน แล้วเจี๊ยวจะหด เรียกว่า"โรคจู๋หด"
By KMD: เขียนแนวนี้บ่อยๆ แล้วกัน สนุกดีครับ ไม่ขอขัดคอครับ
By HVOF: คนรุ่นก่อน รู้คำว่า อีแปะ หมายถึงอะไร ต่อมา จึงเพี้ยนเป็นอีปิ๊ การหลอกประโคมให้คนหลงเชื่ออะไรผิดๆ แล้วตนเองได้ประโยชน์มีอยู่ในสังคมไทยตลอดมา
น่าสมเพท
By kimeng suk: จริงด้วยค่ะ คนที่ได้ประโยชน์ออกข่าวมาหลอกเอาเงินคนไทยก็บ่อย เช่นหลอกว่า กิน ลูกยอดี รักษาได้สารพัดโรค ทำน้ำลูกยอขายขวดล่ะ พันกว่าบาท กินน้ำสำรอง หญ้าปักกิ่ง มะรุม เห่อกันเป็นพักๆ คนที่ปลูกรอไว้ก่อนออกข่าวก็รวยไปแล้ว พอนานเข้าก็เลิกพูดถึง
อัศจรรย์ปาฏิหาริย์
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค
ตะก่อนนี้เราและสามีเป็นกลุ่มคนที่ไม่เชื่อว่าในโลกนี้ปาฏิหาริย์ (miracle) จะมีจริง เพราะไม่เคยเห็นหรือประสพด้วยตัวเอง ได้แต่ฟังเขาเล่าให้ฟัง บางครั้งก็ฟังจากผู้เล่าที่ประสพด้วยตัวเอง บางครั้งก็เล่าต่อๆกันมาแบบ ต้นตออยู่ไหนก็ไม่รู้ เล่าไปเล่ามา จากบาท ทบขึ้นๆเป็นร้อยบาท ฟังแล้วเราก็ไม่เชื่อถือ นึกในใจว่า ไอ้พวกนี้งมงาย คิดเอาเอง สรุปเอาเอง มันเป็นแบบลมพัดผ้าม่านไหว ก็นึกว่าผีหลอก ถ้ามีจริงเราต้องเจอด้วยตัวเอง เห็นกันจะจะ แบบไม่มีข้อโต้แย้งได้เลย เราถึงจะเชื่อ
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น เกิดขึ้นกับครอบครัวของเราเอง ใครจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่นะ
นานหลายปีแล้ว เรา สามีและครอบครัว ขับรถไปเที่ยวเชียงใหม่ ตอนจะออกจากบ้านสามีก็ตรวจตราดูรถยนต์ และเขาก็เปิดฝาหม้อน้ำเอาวางไว้บนแบตเตอรี่ เติมน้ำลงหม้อน้ำ เสร็จแล้วก็ลืมปิดฝาหม้อน้ำสนิท ปิดฝากระโปรงรถ ขับรถตรงดิ่งไปเชียงใหม่ แต่พอขับไปได้ราว 3 ชั่วโมง ทางกำลังอยู่บนเขา ความร้อนของรถก็ขึ้นสูงมาก สามีก็จอดรถ เปิดฝากระโปรงรถดู ควันลอยพุ่งเต็มไปหมด หม้อน้ำไม่มีน้ำ และฝาหม้อน้ำก็หายไป เรารอให้รถเย็นลง จึงขอน้ำชาวบ้านมาเติม แต่ไม่มีฝา ก็พากันตรวจหาดูฝาหม้อน้ำ ก้มดู หาดูตามซอกตามมุมอย่างละเอียด มันอาจจะไปค้างอยู่บ้าง เผื่อฟลุ๊ก เราก็ช่วยกันหา ดูแล้วดูอีกไม่เจอ
พอดีสามีก้มตัวลง ทำให้พวงพระเครื่องที่ห้อยคอ ซึ่งเป็นพระเครื่องหลวงพ่อองค์หนึ่งวัดใหญ่ทางฝังธนบุรี ไปกระทบรถดังได้ยินชัดเจน สามีก็นึกได้ จึงกำพวงพระเครื่องไว้ในมือ แล้วก็สงบนิ่งตั้งอธิษฐานจิตว่า "หลวงพ่อครับ ขอบารมีหลวงพ่อ ช่วยคืนฝาหม้อน้ำให้ด้วยเถิดครับ"
สิ่งอัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแบบทำให้เราตกตะลึงทั้งสองคน เพราะเมื่อสามีก้มมองลงไป ก็มองเห็นฝาหม้อน้ำ วางอยู่บนปีกนก ซึ่งเป็นเหล็กกว้างขนาด 3 นิ้ว ไม่มีขอบทั้งสองด้าน มันทำหน้าที่ยึดตัวถังรถจากขวาไปซ้าย มองเห็นได้ง่ายๆทันทีตรงหน้า มันเป็นไปได้อย่างไร ก็เราหากันจนละเอียดแล้ว ก่อนอธิษฐานก็ไม่เห็นมี พออธิษฐานเสร็จ ก็เจอเลย มันมาวางอยู่บนเหล็กแบนๆไม่มีขอบอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อรถวิ่งขึ้นเขา โค้งไปโค้งมา มีแรงเหวี่ยง ทำไมมันไม่กระเด็นตก และเราไม่ได้ทากาวที่ฝาหม้อน้ำด้วยนะ มันมาตรงนั้นได้อย่างไร จะว่าเราหากันไม่ละเอียด ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เรายืนยันหากันทุกซอกทุกมุมอย่างละเอียดแน่นอน และเป็นเวลากลางวัน แสงสว่างก็มากพอมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน
สิ่งอัศจรรย์ปาฏิหาริย์ เป็นสิ่งที่ผู้ที่ไม่ได้ประสพพบเจอด้วยตัวเองไม่อยากจะเชื่อ ก็เหมือนเราที่ไม่เคยเชื่อมาก่อนหน้านี้หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่เชื่อ แต่เมื่อมาประสพพบด้วยตัวเองก็ งงๆสงสัยว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร แค่อธิษฐานจิตขอบารมีหลวงพ่อช่วยเท่านั้น ฝาหม้อน้ำก็มาปรากฏขึ้นได้ ไม่น่าเชื่อแต่ก็เกิดขึ้นมาแล้ว มันต้องเป็น เหตุการณ์ที่เรียกว่า suppernature ที่อธิบายไม่ได้ ซึ่งแม้แต่นักวิทยาศาสตร์เอง ก็ได้พบเหตุการณ์ที่อธิบายไม่ได้ ถึงได้ตั้งคำๆนี้ขึ้นมา เพราะไม่รู้ว่าจะเรียกหรืออธิบายมันว่าอย่างไร
By ramplam: มุกนี้เคยทำ มีคนเชื่อ เคยทำของหล่นหายช่วยกันหา ก็หาไม่เจอ ไอ้เราตาดี เจอแล้วแกล้งทำปากขมุบขมิบ แล้วหยิบมาในมือ แล้วเฉลยตรงนั้น กลัวบาปกรรม ก็สนุก ขำขัน นะจะบอกให้
By kimeng suk: เวลาคับขันแบบนั้น คงไม่มีใครมีอารมณ์ขันขนาดนั้นนะ สามีเราก็เป็นคนไม่ค่อยมีอารมณ์ขันด้วย ถ้าไม่มีฝาหม้อน้ำ วิ่งไปน้ำก็จะถูกดันออกมาหมด เราต้องอยู่บนเขา กลางป่า เปลี่ยวมา ต้องรอคอยความช่วยเหลือนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้
By ramplam: เฮ้อ!!! กู่ไม่กลับ คนที่ได้ประโยชน์สูงสุดตอนนั้นคือใคร? แทนที่จะถูกบ่นหูชา ประมาทเลินเล่อ ก็จะเปลี่ยนเรื่องคุย มันเป็นละคร เมื่อทำอะไรผิด ต้องอ้างคุณธรรมกันเป็นที่นิยมของบรรดาอำมาตย์น้อยใหญ่ อ้างพระ อ้างเทวดา อ้างโสดาบัน อ้างนิพพาน ฯลฯ เขียนเพิ่มอีกห้าบรรทัด น่าจะตาสว่าง
By sri123: มองว่า ปาฏิหาริย์ คือโอกาสนะคะ คิดแล้วทำ กับ คิดแล้วไม่ทำ ถ้ามัวแต่คิด แล้วรอ "โอกาส" ที่มองไม่เห็น แต่ไม่ทำอะไร ก็ย่อมไม่เกิดอะไร เมื่อโอกาสมาถึง ก็ไม่รู้จะคว้าอะไรเหมือนกันค่ะ
อีกความหมายปาฏิหาริย์ คือสิ่งที่ไม่น่าเกิด ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยสักนิด แต่มันเกิดขึ้นได้อย่างไรก็ไม่รู้ ประมาณนั้น แบบความคิดถึง คนสองคนรักกัน คิดถึงกัน แบบนี้ คือ ปาฏิหาริย์ นะ
By อินทรีย์: อธิบายได้ครับ ความตกใจทำให้ความละเอียดรอบคอบหมดไป เวลาหาของมัวแต่ตกใจกลัวตื่นเต้นสายตาก็ไม่นิ่งพอ ของก็อยู่ของมันตรงนั้น แต่เวลาเรามีสมาธิมากขึ้น ก็มีความละเอียดมากขึ้น นิ่งพอ มันก็เลยเจอ
By kihamoni: ของถือในมือ หรือเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ ก็มีบ่อยๆครับ แว่นตาบางคนขนาดทำสายคล้องคอแล้ว ยังเดินหาทั่วบ้านเลย ไม่อยากนินทาแม่ตัวเอง
By กอไก่: เรื่องบางเรื่อง อธิบายทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ครับ .... แต่ผมเชื่อว่า จขกท.ก็ยัง งง อยู่กับเรื่องนี้....งั้นผมขอชวนคุณ....มาคิดอะไร+ทำอะไร กันเล่นๆน่ะครับ
คุณและทุกๆท่าน....ที่มาอ่านในกระทู้นี้ ... ลองทดสอบตัวเองน่ะครับ คุณหรือ ท่านใดที่สนใจ จะเล่น ... ลอง
1. นั่งนิ่งๆ โดยไม่คิดอะไรเลย ในสมอง สัก 5 วินาที ได้ไหมครับ
2. หากทำข้อ 1. ได้ คุณจะทราบว่า ยามคุณหลับโดยไม่ฝันถึงอะไรเลย คุณได้ไปไหนมา หุหุหุ
By เบื่อlogin: เป็นเรื่องปัจจัตตังเจอเองรู้เอง ผมก็เจอแต่ไม่อยากเล่า
By ป้าบ้านนอก: ใช่คะ ปัจจัตตัง ไม่เจอด้วยตัวไม่รู้ แต่ป้าเคยเจอ และเชื่อว่า ปาฏิหาริย์ มักเกิด กับคนดี
โด่ไม่รู้ล้ม
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค
เรื่องนี้ต่อจากเรื่องอีแปะมันหด เนื่องจากยังไม่หมดข้อมูล ก็อยากจะเล่าต่ออีกซักหน่อย ข้อมูลพวกนี้หาฟังได้ยากนะ จริงๆพวกหมอทุกคนก็เจอเรื่องประหลาดๆมากันทุกรส แต่ส่วนมากไม่อยากเล่า และสำคัญที่สุดเขียนเล่าออกมาเป็นเรื่องไม่เป็น พูดเป็นเขียนไม่เป็น เราเองก็เพิ่งมารู้ตัวว่า เขียนเป็นไม่นานมานี้เอง
วันหนึ่งออกตรวจ OPD ตอนเย็นเช่นเดิม วันนั้นคนไข้เยอะมาก เป็นผู้ใหญ่ทั้งหญิงทั้งชายส่วนมาก นั่งรอกันหน้าสลอน สีหน้าอมทุกข์กันทุกคน ต้องรอคิวคนมันเยอะ เราเองก็พยายามปั่นสุดชีวิต เห็นใจที่คนไข้รอนาน ปั่นขนาดสั่งโอเลี้ยงมา ละลายหมด ลืมกิน ตรวจเพลิน หมอคนเดียวตรวจคนไข้เป็นร้อย พูดคุยแค่สามนาทีต่อคนก็หมดเวลาแล้ว คนที่รอตรวจ ก็โมโหโกรธา รอตั้งนานแล้วไม่ได้ตรวจซักที มัวทำอะไรกันอยู่ บริการไม่ดีเลย อย่างนี้ต้องฟ้องผู้อำนวยการ ว่ากันเข้าไปนั่น ต้องให้มาเป็นหมอตรวจคนไข้เองบ้าง แล้วจะรู้สึ๊ก
มีผู้หญิงคนหนึ่ง อายุราวๆ 30 ปี พอถึงคิวก็เข้ามานั่งต่อหน้าเรา เอามือกุมหน้าอกสองข้าง เราก็ถามว่าเป็นอะไรมา เธอก็บอกว่า "นมหด" เราฟังเป็น "นมหก " ก็บอกว่า "นมมันอยู่ในเต้าจะหกได้อย่างไร" เธอบอกว่า "ไม่ใช่ หมอฟังให้ดีๆ อย่าหูตึง" แน่ะดุเราอีก เธอเล่าว่าไปกินแตงโมมา กินเสร็จมันก็ค่อยๆหดลงๆ จากโตเหมือนลูกฟักลูกโตๆ กลายมาเป็นซาลาเปา ลูกเล็กๆสองลูก เธออายเขา จะทำอย่างไรดี ล้างท้องเธอเอาแตงโมออกมาดีไหม นมจะได้โตขึ้น
ไอ้เราก็บอกให้เธอแก้เสื้อชั้นนอกออก เหลือแต่ยกทรง ซึ่งมันดูเก่าๆแสดงว่าถูกใช้ประจำและเป็นขนาดเบอร์เล็กๆเท่าซาลาเปาจริงๆ แล้วถ้ามันใหญ่เป็นลูกฟักจริง ไอ้ยกทรงขนาดนี้มันจะเอาลูกฟักยัดใส่เข้าไปได้อย่างไร ก็เลยถามว่ามีแฟนหรือยัง เธอตอบมีแล้ว เราก็ถามต่อว่า แล้วแฟนชอบซาลาเปาหรือลูกฟักละ เธอก็บอกว่า "ใครมันจะไปชอบซาลาเปา เขาก็ต้องชอบลูกฟักมากกว่าซิหมอ ถามได้" ก็เลยถามเธอต่อว่า "แล้วเขาบ่นไหมที่มันมีแต่ซาลาเปา" "โฮย บ่นทุกคืน เขาบอกว่ามันไม่อร่อย" เรื่องนี้ก็ ซ.ต.พ. ดังนี้แล
อีกคนหนึ่งเป็นผู้ชาย เดินกางขา กระมิดกระเมี้ยนเข้ามานั่งตรงหน้าเรา แล้วพูดค่อยๆมากๆว่า "หมอของผมมันโด่ไม่รู้ล้ม" เราได้ยินไม่ถนัดก็บอกให้พูดดังๆ เขาก็ยังพูดโทนเท่าเดิม เราก็ตะโกนใส่เขาว่าให้พูดดังกว่านี้ เขาคงโมโห เลยตะโกนเสียงดังมาก "ของผมมันโด่ไม่รู้ล้ม ได้ยินไหมหมอ" ทุกคนในห้องตรวจได้ยินกันหมด ต่างก็พากันหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน เราก็ถามว่าไป ทำอะไรมา เขาก็บอกว่า "ไปกินแตงโม สีแดงๆมา กินไปเกือบลูกใหญ่ๆคนเดียว สงสัยกินมากไป มันเลยลุกขึ้นมา แล้วโด่ไม่รู้ล้มแบบนี้"
เราก็บอกว่าเห็นมีแต่ คนบอกว่าเขากินแล้วหดกันทั้งนั้น ทำไมของคุณถึงโด่ละ เขาตอบว่า"อย่าไปเชื่อหมอ นั่นมันข่าวลือ ของผมนี่ของจริง กินแล้วโด่ทุกที แต่คราวนี้กินมากไปหน่อย มันเลยไม่รู้ล้ม" เราก็ถามว่า จริงหรือเปล่าที่ กินแตงโมแล้วโด่ทุกที เขาก็ยืนยันหนักแน่นว่า "จริงหมอ แต่อย่ากินมากเป็นลูกๆเหมือนคราวนี้" เราได้ยิน ก็ยืนซือบื้อ เอาไงดีวะ เดี๋ยวคนหนึ่งกินแล้วหด อีกคนกินแล้วโด่ไม่รู้ล้ม ตูจะบ้าตายแล้ว ขอลาออกจากการเป็นหมอดีไหม
ป.ล. แนะนำให้ผู้ชายไทย หมั่นกินแตงโมสีแดงๆ เผื่อมันจะได้ขยันขันแข็ง แบบชายคนนี้บ้าง จะได้ประหยัดเงินซื้อไวอากร้านะ
By sri123: คำเตือนก่อนนอน แตงโมทานมากๆก็ไม่ดีนะคะ ไม่งั้น ปวดฉี่บ่อย
By ภูพาน: แตงโมจะขาดตลาด จะกลายเป็นสินค้าควบคุม
By kihamoni: ถึงขนาดไม่รู้ล้มเลยหราฮะ ถ้ากินทีนึงสองลูก จะล้มแล้วลุกไม่ขึ้นเลยป่าว ท่าทางจะจุกอยู่น๊ะนั่น ฮ่าๆๆๆๆ
ถูกขู่ฆ่าตาย
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค
เมื่อสมัยรับราชการ ในตำแหน่งผู้ชำนาญการพิเศษ สาขากุมารเวชศาสตร์ ในโรงพยาบาลศูนย์แห่งหนึ่งนานมาแล้ว ต้องทำหน้าที่สารพัดอย่าง ทั้งตรวจรักษาคนไข้ ทั้งต้องสอน แพทย์ฝึกหัด นักศึกษาแพทย์ นักศึกษาพยาบาล ต้องประชุมวิชาการของในแผนกเด็กและของโรงพยาบาลเกือบทุกวัน ทำให้ต้องอ่านหนังสือมาก ต้องทำวิจัย ต้องไปดูการผ่าศพของคนไข้ ถ้ารายไหนสงสัยโรคและการตาย ต้องเจาะหลัง เจาะปอด ทำหัตถการสารพัด แต่ละวันงานเพียบ ลองดูแซมเปิ้ลก็ได้
ตอนเช้านำแพทย์ฝึกหัดและนักศึกษาแพทย์เดินตรวจคนไข้ และสอนข้างเตียงคนไข้ทุกๆเตียงทุกวัน สายหน่อยออกตรวจ OPD ของแผนกกุมารพร้อมนักศึกษาแพทย์จนถึงเที่ยง บ่ายตรวจคนไข้ต่อหรือไม่ก็เข้าประชุมเอาเคสคนไข้มาวิเคราะห์ ออกความเห็นกัน สรุปการรักษา และสอนเอาเป็นตัวอย่าง พอว่างก็ไปดูคนไข้รอบเย็นอีกครั้งหนึ่ง สอนทำหัตถการ เย็นกลับบ้าน ก็สลบเหมือด หลับสักสองชั่วโมง แล้วก็ไปทำคลินิกส่วนตัวต่อ ถึงสองทุ่ม
เวลาออกตรวจ OPD เด็ก เป็นเวลาที่เหนื่อยที่สุด คนไข้เยอะมากเป็นสองสามร้อยคน มีหมอ 1 ถึง 2 คน ไหนจะต้องตรวจ ไหนจะต้องสอนนักศึกษาไปด้วย แค่ตรวจก็จะตายอยู่แล้ว ปากยังต้องพูดต้องสอนเจื้อยแจ้ว เหมือนนกแก้วนกขุนทอง หูก็ต้องใช้หูฟังเสียบไว้ฟังคนไข้ ไอ้นี่แหละหนักกว่าเพื่อน ถอดเข้าถอดออกหูมันก็ถลอก เวลาใส่เข้าไปมันสุดยอดจะเจ็บปวด ใครไม่เป็นไม่รู้ ลองมาเป็นหมอกันบ้างไหม แล้วจะรู้สึ๊ก
เคยลองเอาสำลียัดรองหูไว้ ปรากฏว่ามันได้ยินแต่เสียงแคร๊บๆ คร๊ากๆ อย่างอื่นไม่ได้ยิน ใช้ไม่ได้ แต่มันก็เจ็บหูใส่หูฟังไม่ได้ทำไงดีล่ะ ใช้วิธีใหม่ เอาหูฟังคล้องคอ แต่ไม่เอาเสียบหู แล้วทำท่าตรวจฟังคนไข้ หน้าตาเฉย ใช้ฟังรายงานการตรวจจากลูกศิษย์เอา
แต่ที่นี่มันเกิดมีเด็กอัจฉริยะ ปากไวคนหนึ่งดันสังเกตเห็น ว่าหมอไม่เอาหูฟังเสียบหู เขาตะโกนลั่นห้องว่า "ป้าหมอๆ ยังไม่เอาไปเสียบหูเลย ฟังได้อย่างไร" หน้าแตกเย็บไม่ติดไปเลยเรา เด็กนี่ ป.ม.จริงๆ เฉยๆหน่อยก็ไม่ได้
วันหนึ่งก็มีชายชาวบ้านคนหนึ่ง นำลูกชายอายุไม่ถึงหนึ่งขวบ เข้ามาให้ตรวจ เด็กมีอาการร้องดิ้น กระสับกระส่าย ตัวเย็น แหกปากร้องไม่หยุด ท้องอืดป๋องแข็งเป็ก และมีประวัติถ่ายเป็นสีแดงๆคล้ายเลือดสดๆ แค่นี้เราก็วินิจฉัยว่าเป็นลำไส้กลืนกัน ซึ่งพบบ่อยในเด็กผู้ชายอายุขนาดนี้ จึงส่ง x-ray และส่งศัลยกรรมเด็ก ให้ผ่าตัดด่วน เสร็จจากรายนี้เราก็ก้มหน้าก้มตาตรวจคนไข้ ตรวจๆๆๆๆๆๆๆเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ถนนเส้นนี้ช่างยาวไกลจริงหนอ
สักชั่วโมงหนึ่ง พ่อเด็กคนนั้นก็เปิดประตูห้องตรวจเข้ามา ตรงรี่มาหาเรา แล้วควักปืนเล็งมาทางเรา เราตกใจหมดหน้าซีดเป็นไก่ต้มน้ำปลา ลุกพรวดพราดขึ้นยืน ตัวสั่นเป็นลูกนก ที่น่าสงสาร มาดหมอเหม่อหายหมด โถ ตูต้องมาตายคราวนี้ละมัง ตูยังสาวอยู่เลย ตายแก่ๆกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้ ชายคนนั้นก็ตะคอกออกมาว่า "อีหมอ มึงสั่งเอาลูกกูไปผ่า ถ้าลูกกูตาย กูไม่เอามึงไว้แน่" ไอ้เราก็เริ่มตั้งสติได้ ก็บอกเขาว่า "ลูกคุณมันจำเป็นต้องผ่าทันทีค่ะ ไม่งั้นลำไส้มันจะเน่า แล้วลูกคุณก็จะช็อกตาย หมอเองก็ไม่ได้เป็นคนผ่า มีหมออีกคนผ่า" "กูไม่รู้ มึงสั่งผ่า ถ้าลูกกูตาย มึงตายด้วย กูไม่ปล่อยมึงไว้แน่ๆ" เอ้า เป็นงั้นไป พุทโธ ธรรมโม สังโฆ ทำคุณบูชาโทษละเรา
เจอเหตุการณ์นี้เข้าเราก็ขอหยุดการตรวจคนไข้ ไปจนกว่าการผ่าตัดจะเสร็จ และเด็กปลอดภัยแน่นอน เราถึงจะมาตรวจคนไข้ต่อ ซึ่งจริงๆก็ไม่อยากทิ้งคนไข้ที่เขามารอตรวจ แต่มันหมดกำลังใจที่จะตรวจต่อและก็กลัวด้วย พูดง่ายๆก็คือกลัวถูกยิงตาย หมอก็กลัวตายเหมือนกัน ลูกปืนมันไม่เข้าใครออกใคร เป็นหมอไม่ได้หมายความว่าจะหนังเหนียวเมื่อไหร่
คิดดูซิกว่าพ่อแม่จะเลี้ยงให้โตขึ้นมาขนาดนี้ กว่าจะได้เรียนจบมาเป็นหมอ เอาแต่อ่านหนังสือ อ่านๆๆๆๆเหนื่อยเกือบตาย เพื่อนฝูงเขาไปเที่ยวสนุกสนานเฮฮา เราเอาแต่บ้าเรียนบ้าอ่าน ผ่านช่วงชีวิตที่ควรจะสนุกที่สุดโดยแทบไม่รู้จักเลย และก็ใช้เงินพ่อแม่ไปหลายล้าน จบแล้วยังไม่ได้ทำงาน ใช้เงินคืนพ่อแม่และรัฐบาลเลย ดันมาถูกฆ่าตาย เพราะเรื่องเล็กๆพวกนี้ มันดูทุเรศสุดๆนะ ซึ่งถ้าเด็กคนนี้เกิดไม่รอดจริงๆเราคงไม่อยู่ที่จังหวัดนี้แล้ว ต้องขอย้ายด่วน เพราะไม่ไว้ใจกลัวว่าจะถูกดักยิงกลายเป็นที่ระบายความโกรธแค้นของเขาไป
ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้เราจำได้ไม่ลืม และเริ่มรู้สึกว่า เราไม่อยากเป็นหมอแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะไปทำอะไรดี จำต้องทนเป็นหมอมาจนแก่ขนาดนี้ จริงๆแล้วทั้งหมอทั้งคนไข้ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน ทำอะไรก็ต้องมีน้ำจิตน้ำใจต่อกัน ไม่ใช่กูไม่พอใจอะไร กูก็ใส่เต็มที่ เอาสะใจ หมอก็ด่าคนไข้ คนไข้ก็ด่าหมอ ขอเพียงเราคิดถึงใจของเขาก่อนใจของเรา ฟังกันพูดคุยกัน ฟังเหตุและผลของแต่ละคน เราก็จะอยู่ร่วมกันพึ่งพากันได้จากใจจริง หมอก็รักษาคนไข้ได้เต็มที่ คนไข้ก็จะปลอดภัยแน่นอน
By HVOF: อ่านแล้ว เห็นใจคุณหมอดีๆ ที่ทำงานเพื่อประชาชน ชาวบ้าน กรณีนี้ ไปเจอคนบ้าเข้า ปกติแล้ว คนทั่วไปจะเชื่อฟังหมอ มากกว่าแสดงอาการข่มขู่
By sri123: พรสวรรค์ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ ...........คือการที่เราสามารถเอาใจเขามาใส่ใจเราได้ เมื่อทำเช่นนั้นได้ ความเห็นอกเห็นใจ มันก็เกิดขึ้นง่ายๆเลยค่ะ
By xam: ดีใจที่เป็น หมอ เพื่อ ช่วยเหลือมนุษย์ แต่หมอปัจจุบัน ส่วนมาก เพื่อ ฐานะ
By kimeng suk: ถ้าเราคิดถึงความเป็นจริงของชีวิต เรื่องของฐานะและเรื่องของการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ต้องไปคู่กัน ถ้าฐานะของหมอไม่ดี เงินไม่พอใช้ หมอก็ไม่มีกำลังใจทำงานให้เต็มที่ เพราะปัญหาของตัวเองและครอบครัวก็หนักแล้ว ใจที่อยากจะทำเพื่อคนอื่นก็น้อยลง อันเป็นธรรมดาของมนุษย์
By อินทรีย์: เดี๋ยวนี้ โรงพยาบาลชุมชนเลิกผ่าตัดกันแล้ว ไม่มีใครอยากเสี่ยง ขนาดซิสต์เม็ดเล็กๆยังส่งไปโรงพยาบาลศูนย์เลย
By kimeng suk: ใครมันจะกล้าทำละ ผิดพลาดเล็กน้อย ศาลยังตัดสินติดคุก ปรับเงินอีกมาก ประชาชนสะใจ ที่เห็นหมอถูกลงโทษ แต่ผลก็ตกอยู่ที่พวก ปชช.เอง ไม่ได้อยู่ที่ศาลที่เป็นผู้ตัดสิน ปชช.เอาสะใจ หมอทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ ไม่มีข้อยกเว้น แต่เวลา ปชช.เจ็บป่วย หมอไม่กล้ารักษา เพราะใครๆก็ต้องป้องกันตัวเองทุกคน เรื่องที่ต้องเสี่ยง เราไม่ทำดีกว่า ถึงทำได้ก็ไม่กล้าทำ ตอนนี้แหละ ศาลก็ช่วยอะไรไม่ได้
รอดตายโดยปาฏิหาริย์
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค
เรามีลูกชายคนเดียว ซึ่งทั้งพ่อทั้งแม่รักมาก โดยเฉพาะพ่อจะตามใจ ซื้อของเล่นให้เต็มบ้าน จะเอาอะไรก็ได้เกือบทุกอย่าง ทำให้เป็นเด็กแบบ spoil child เราเองก็เป็นห่วง กลัวอนาคตเขาจะลำบาก ถ้าโตขึ้นยังเป็นแบบนี้อยู่ จึงขอกับพี่สาวและพี่เขย ขอส่งลูกชายไปอยู่ด้วยที่อเมริกาให้ลุงและป้าอบรมสั่งสอน พ่อแม่สอนเอง เด็กโตแล้ว มักจะต่อต้าน เชื่อเพื่อนมากกว่าพ่อแม่
แต่ลูกชายคนนี้มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วๆไป คือเขาชอบใส่บาตรพระมาก ตอนเช้าๆถ้าปลุกลุกขึ้นมาใส่บาตร เขาจะไม่งอแง จะตื่นขึ้นมานั่งรอพระ ใส่บาตรรับพรพระเสร็จแล้ว ถึงจะกลับไปนอน เขาเป็นของเขาเอง ไม่มีใครสอน ถ้าบอกให้บริจาคเงินทำบุญ จะเต็มใจทำ โดยเขาจะเก็บเงินที่เหลือจากค่าขนม ใส่กระปุกไว้ทุกวัน พอมีมากก็เอาออกมาทำบุญหรือให้แม่
ก่อนไปอเมริกาเราก็ให้ พระเครื่องหลวงพ่อองค์หนึ่ง วัดใหญ่ทางฝั่งธนบุรีซึ่งครอบครัวเรานับถือมาก และสั่งให้เขาสวม ห้อยคอไว้ตลอดเวลา ห้ามถอดแม้เวลาอาบน้ำ ซึ่งเขาก็ทำตามที่แม่สั่งทุกอย่าง
เขาก็ไปอยู่อเมริกา ตั้งแต่อายุ 13 ปี ไปเรียน high school เริ่มชั้น ม.4 ที่นั่น ซึ่งเราไม่ต้องจ่ายค่าเทอม เพราะพี่สาวไปรับรองกับทางโรงเรียนว่าเป็นหลาน อยู่ในการดูแลของเธอ ทางโรงเรียนจึงยกเว้นค่าเทอมให้ และยังให้อาหารฟรี มื้อเช้าหนึ่งมื้อ มีรถรับส่งเช้า-เย็น ฟรี เบากระเป๋าของเราไปเยอะ เขาพูดภาษาไม่เก่ง วันหยุดก็มีครูมาสอนให้ที่บ้าน ฟรีอีก ประเทศอเมริกานี่เขาส่งเสริมการศึกษาจริงๆ ถึงแม้จะเป็นคนต่างชาติ เขาก็ยังช่วยเหลือ น่ายกย่องเขามาก
พออายุครบ15 ปี ก็ไปอบรมการขับรถ จนครบหลักสูตร แล้วก็สอบใบขับขี่ได้ พ่อเขาจึงไปซื้อรถใหม่เอี่ยมให้คันหนึ่ง เขาก็ขับแบบเมามันส์ สนุกสนาน เห่อรถใหม่ แบบวัยรุ่นทั่วๆไป ขับขึ้นๆล่องๆ
ประมาณหนึ่งเดือนหลังซื้อรถใหม่ วันหนึ่งเขาขับรถบนเขา ตามประสามือใหม่หัดขับ แต่ไม่เจียมตัว ขับบนเขาด้วยความเร็วสูง ที่นี่พอถึงโค้งหักศอก ก็เกิดเรื่อง เขาขับเข้าโค้งไม่ทัน หลุดออกจากโค้ง วิ่งตรงลงเขาซึ่งสูงมากกว่า 10 เมตร และมีต้นไม้ที่เขาปลูกอยู่ตามไหล่ขึ้นหนาแน่น
รถก็ตกจากเขา กลิ้งหลุนๆลงไป จนไปจอดที่พื้นราบตีนเขา ตัวรถบี้บุบบิบเหมือนกระป๋องถูกบี้ จากทุกทิศทุกทาง ใครเห็นก็ต้องคิดว่า คนในรถต้องตายแน่ๆ ชาวบ้านแจ้งรถพยาบาลให้มารับคนป่วยทันที เพราะอย่างไรก็เจ็บหนักหรือตายแหง๋แก๋
แต่เชื่อไหม ลูกชายของเรา ปลอดภัย ไม่บาดเจ็บอะไรมาก มีแผลที่นิ้วก้อยเท้าขวาเล็กน้อยเท่านั้น เมื่องัดรถช่วยเขาออกมาได้ ชาวบ้านก็แปลกใจบอกว่าทำไม เขาไม่เป็นอะไร
รถตกเขาสูงมากกว่า 10 เมตร แถมไม่พอ ทำไมรถคันนี้ ตอนตกเขาทำไมรถถึงไม่ปะทะกับต้นไม้ ซึ่งขึ้นขวางทางรถที่กลิ้งลงเขาตรงกับต้นไม้ขึ้นอยู่พอดี และต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ เขาปลูกสับหว่างไว้ด้วย หลบต้นบนได้ ก็ต้องไปชนต้นข้างล่างแน่นอน
มันกลับซิกแซก หลบต้นไม้ต้นบนได้ และยังมาซิกแซกหลบต้นล่างที่ปลูกสับหว่างได้อีกสองต้น ซึ่งถ้าปะทะต้นไม้ ด้วยกำลังแรงที่ รถตกลงมาโอกาสที่ จะรอดชีวิตไม่มีเลยมันซิกแซกหลบได้เพราะอะไร ถ้าจะว่าเป็นแรงเหวี่ยงทำให้รถถูกเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา หลบต้นไม้ได้ มันก็น่าคิดนะ แรงเหวี่ยงนี้มันรู้จักคิดเหวี่ยงตัวเอง หลบต้นไม้ได้ตั้งสามต้นแน่ะ มันจะเป็นสิ่งอัศจรรย์ สุดยอดของโลกเลยละ
ประกันภัยรถยนต์เห็นสภาพรถแล้ว ยอมออกรถคันใหม่เปลี่ยนให้เลย ไม่ต้องซ่อม ไม่มีงอแง จ่ายง่ายๆ ไม่ต้องตามทวง
รถกลิ้งตกเขาไม่รู้กี่รอบ จนรถเหมือนกระป๋อง ถูกทุบบู้บี้บุบบิบ แต่เขาบาดเจ็บแค่เล็กน้อย แถมรถยังมีการซิกแซกหลบต้นไม้ได้ตั้งสามต้น ไม่ปะทะต้นไม้โดยตรง อะไรที่ทำให้เขาไม่ได้รับให้บาดเจ็บ ให้รอดปลอดภัยไม่ตาย คิดแล้วมันอัศจรรย์มาก ถ้าไม่เรียกว่า miracle แล้วเรียกว่าอะไรดี
เราเองตกใจมากที่ลูกประสพอุบัติเหตุร้ายแรงแต่ก็ดีใจมากที่เขารอดปลอดภัย และก็สงสัยว่าลูกชายเรารอดมาได้อย่างไร และเมื่อเขาจบการศึกษา และกลับมาอยู่เมืองไทย เขาก็บวชเป็นพระในพระพุทธศาสนา ย่างเข้าปีที่ 9 แล้ว มีหน้าที่สอนธรรมะและสอนการนั่งสมาธิ แก่ชาวต่างชาติที่มาเข้าอบรม หรือมาบวชเป็นพระในประเทศไทย และยังเดินทางไปสอนในต่างประเทศบ่อยๆ
By KMD: ถ้าอ่านข่าวประจำ จะได้ยินข่าวอุบัติที่มีคนรอดตายราวปาฏิหาริย์บ่อยมาก ทุกคนที่รอดนั้น แน่นอนไม่ได้นับถือหลวงพ่อที่ลูกชายท่านนับถือ ทั้งหมดอย่างแน่นอน เพราะอุบัติเหตุที่เกิดในต่างประเทศก็มีชาวต่างชาติที่นั่นรอดตายราวปาฏิหาริย์ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่นเครื่องบิน 747 ตกในญี่ปุ่น ตายประมาณ 500 คน แต่ก็ยังมีคนนั่งท้ายๆลำรอดตายอยู่หนึ่งคน ก็มี ข่าวนี้ก็นานแล้ว ผมจำปีไม่ได้ ผมเองก็ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ 2 ครั้ง รอดตายโดยไม่บาดเจ็บมากมายอะไร ก็ประสบมาเอง ไม่ได้ห้อยหลวงพ่ออะไรทั้งนั้น
By 3 ส: พระคุ้มครองครับ