ห้องตรวจตา...ชั้น 5 อาคารเฉลิมพระเกียรติ

Blogนี้ผมตั้งใจทำขึ้นเพื่อตอบแทนสดุดีนโยบายบัตรทองประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรคของรัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร
จะรีบไปไหน...จะรีบไปไหน...รอโหลดซักกะเดี๋ยวซิครับ คลิก...นโยบาย"ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ"

* ขอขอบคุณที่ติดตามรับชมและช่วยประชาสัมพันธ์ลิงค์ http://eye009.blogspot.com/ ให้แพร่หลาย *
@ ปู้นนน...!!! คนเมืองใต้เจียงใหม่ของหมู่เฮาลงไปตางปู๊นนน..... * * * * * @ 2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย . . . ร่วมด้วยช่วยกันเผยแพร่สื่อสารถึง"คนเสื้อแดง"ทั่วไทยและทั่วโลก . . . ขอขอบพระคุณเจ้าของclipภาพถ่ายและบทความทุกๆท่านที่กรุณาเอื้อเฟื้อแบ่งปัน . . .น้ำใจซื้อขายไม่ได้ แต่น้ำใจให้กันได้...อิอิ


PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับส่วนต่างๆและระบบการทำงานของดวงตา, โรคตาต่างๆ และวิธีการดูแลรักษาดวงตาอย่างถูกต้องที่สามารถปฏิบัติตามในเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง... ขอขอบคุณ www.knowledge.com

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

89 อีแปะมันหด-อัศจรรย์ปาฏิหาริย์-โด่ไม่รู้ล้ม

@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ "วรเจตน์" ฝ่าศึกสหบาทา: ร้องว่าผมเนรคุณ แต่คุณยืนให้สูงเพื่อบอกว่าจงรักภักดี โดยเหยียบหัวผมขึ้นไป
@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
@ เข้าครัว...ทำกับข้าวคลายเครียด!! ผมทำได้ คุณก็ทำได้ครับ
@ 54... "นายกฯปู" สวมชุดนักบินเหินฟ้าชมการใช้กำลังทางอากาศ
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือนกองทัพไทย
@ ภาพชุดงานสโมสรสันนิบาต วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5ธ.ค.2554
@ 81 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’
@ สถานีรถไฟจีน แล้วลองย้อนมาดูเรา...
@ เรื่อง... ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ ชุดที่1
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน เวียดนาม ชุดที่2
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน สิงคโปร์ ชุดที่3
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน อินเดีย ชุดที่4
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ฟิลิปปินส์ ชุดที่5
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ร่วมประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ ชุดที่6
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน มาเลเซีย ชุดที่7
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ญี่ปุ่น ชุดที่8
@ 82 ต้องรู้..ต้องรู้...ภาระหน้าที่"เมษายน"ทุกๆปี นะจ๊ะ!!
@ 55... มาร์คครับ หยุดใช้วาทกรรมแก้รัฐธรรมนูญทำให้สังคมเกิดความขัดแย้งเลยครับ
@ สุดยอดไปเล้ย ก้อคุณพี่ทิศใต้นะสิคะ บอกไม่กลับบ้านก็ได้ทุกวันนี้สบายดี
@ 11 "ปู"พา"ไปป์"ไปญี่ปุ่นด้วย ให้พี่เลี้ยงพาเที่ยวแทน
@ 84 คุณชวนนท์ครับ ออกมาดูโลกภายนอกบ้างเถอะครับ
@ 12 เคยเห็นมั้ย!! แมงสาปดิ้นใน"บ้านทรายทอง"กรุงโตเกียวญี่ปุ่นโน่น...
@ 80 สังคมไทยป่วย หรือเป็นผลผลิตจากการโฆษณาชวนเชื่อมาอย่างยาวนาน
@ นิก นอสติทซ์ "ผมมาทำตามหน้าที่ของความเป็นมนุษย์"

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...


ขอขอบคุณและขออนุญาตคุณ kimeng suk นำข้อเขียนของท่านมาลงไว้เว็บนี้นะครับ


อีแปะมันหด
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค

ตอนที่1 "ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา"
ตอนที่2 "คนไข้คนแรกของหมอใหม่หมาดๆ"
ตอนที่3 "ผีหลอกหมอ"
ตอนที่4 "อะไรทำให้ รวยและ รวย จากคนจนสุดๆกลายเป็นเศรษฐีใหญ่"
ตอนที่5 "ถูกพ่อดูถูกถึงได้เป็นหมอ"
ตอนที่6 "ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมเป็นหมอทำแท้ง"
ตอนที่7 "ทำไมถึงจนอย่างนี้"

ตอนที่ยังรับราชการอยู่ในโรงพยาบาลของรัฐบาล ถึงจะเป็นแพทย์ผู้ชำนาญทางกุมารเวชศาสตร์ แต่ก็ต้องมีเวรออกตรวจ OPD ในตอนบ่าย ซึ่งเป็นการตรวจโรคทั่วๆไป ประมาณเดือนละ 4 ครั้ง สมัยนั้นหมอทำงานนอกเวลาให้โรงพยาบาล ไม่ว่าอยู่เวรนอกเวรใน หรือผ่าตัดนอกเวลาจะไม่ได้เงิน ค่าอยู่เวร ค่าผ่าตัดนอกเวลา อะไรทั้งนั้น ได้รับแต่เงินเดือนล้วนๆ ไม่เหมือนสมัยนี้ได้รับค่าทำงานล่วงเวลาทุกอย่างเพียบ เริ่มเข้าทำงาน 1,300 บาท ทำไป 10 ปี ได้ 5,000 บาท จึงลาออกไปทำเอกชน ได้เดือนละเกือบแสน

เวลาออกเวรตรวจที่ OPD ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ผู้ชำนาญโรคอะไร ก็ต้องมาตรวจได้ทุกโรค ตรวจโรคเด็กๆ ซึ่งน่ารักน่าเอ็นดู ร้องจ๊ากๆ แงๆๆ ชักดิ้นชักงอ ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง พ่อแม่ตอบแทนให้หมดยังพอว่า พอมาตรวจคนแก่ ซึ่งหย่อนยานเหี่ยวย่นไปหมด แต่ไม่ร้องจ๊ากๆแงๆ (ถ้าคนแก่ร้องเหมือนกับเด็กๆ ตูขอตายดีกว่า) ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน เพราะหูตึงหูดับไม่ได้ยิน ญาติต้องตอบแทนให้หมด เราก็จะบ้าเอา เพราะคนแก่มีอาการอย่างหนึ่ง แต่ญาติบรรยายอีกอย่าง มันช่างเหมือนกันบนความแตกต่างอย่างมาก

เวลาออกตรวจ OPD จะมีเรื่องสารพัด ทั้งสุดแสนเศร้ารัดทด ฟังแล้วน้ำตาไหลแทนคนไข้เลยละ (แต่แป๊บเดียวหมอก็ลืมแล้ว เพราะวันๆมีเรื่องที่ต้องเจอสารพัดเรื่อง) บางเรื่องชวนโมโหโกรธา หน้ามืด ความดันขึ้นสุดปรอท แต่บางเรื่องก็ทั้งขำตลกและ ทั้งสมเพท ไปด้วย ลองดูแซมเปิ้ลสองสามเรื่อง แล้วลองคิดดูว่า ถ้าเจอกับตัวเองแล้วจะจัดการรักษาเขาอย่างไรดี

มีอยู่สมัยหนึ่งหนังสือพิมพ์ลงข่าวกันใหญ่ว่า กินแตงโมแล้ว ไอ้ของดีมันหด ที่จังหวัดนั่นจังหวัดนี่ หดกันใหญ่ ลงติดต่อกัน สามสี่วัน หนังสือพิมพ์ทำข่าวขายดี แต่เขาไม่รู้หรอกว่า ทำให้คนไทยป่วยเป็นโรคหดมากๆๆๆ เดือดร้อนหมอขนาดไหน เผลอๆหมอตรวจโรคนี้มากๆเข้าทุกวันๆ ก็จะติดโรคหดนี้ไปด้วย ถ้ามีหมอเป็นโรคหดด้วยอีกคน เป็นข่าวดังแน่ มีหวังแตงโมเมืองไทยสูญพันธุ์ไม่มีใครกล้ากิน หนังสือพิมพ์รวยเอ้ารวยเอา คนปลูกแตงโมเจ้งสนิทแน่

เย็นวันหนึ่งขณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาตรวจคนไข้ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเหี่ยวเฉาเหมือนต้นไม้ถูกน้ำร้อนลวก สีหน้าทุกข์ระทมมาก เข้ามานั่งแล้วบอกว่า "หมอครับช่วยผมด้วยครับ" "แล้วคุณเป็นอะไรมาละค่ะ" "ของผมมันหดครับ" ไอ้เราก็งงๆ เลยถามว่า "อะไรมันหดล่ะ"

เขาตอบว่า "ผมไปกินแตงโมมา กินมากไปหน่อย มันเลยหดไปหมดเลย ดีนะที่ผมตะครุบมันไว้ทัน แล้วเอาเชือกผูกมันไว้ไม่งั้นไม่เหลือเลย หดหายไปหมด ผมตายแน่ๆ" เราก็เลยบอกให้ขึ้นนอนบนเตียงตรวจโรค แล้วบอกเขาว่า "เอาว่ามาอะไรมันหด จะได้จัดการให้"

เขารีบดึงกุงเกงในลงมา โถ ช่างน่าสงสารไอ้จ้อยของเขามากเลย มันถูกเชือกผูกตรงปลายๆมัดติดกับต้นขาไว้ เหี่ยวห้อยคอตก ดูแล้วขนาดมันก็ปรกติดี ไม่เห็นมีหดหายไปตรงไหน ก็เลยถามเขาว่า "มันหดหายไปขนาดไหน" เขาบอกว่า "หายไปเป็นคืบ "ไอ้เราฟังแล้วก็สงสัยว่าปรกติของเขาจะยาวเป็นศอกเสียละมัง โห ชายไทยทั้งหลายทุกคน ต้องอิจฉาเขาแน่ๆ

พอฟังแล้ว ก็รู้เลยว่าคนนี้ไม่ค่อยจะเต็มสองบาท มีแค่หกสลึง ซักไปซักมา เขาเป็นโรคนกเขาไม่ขันมาก่อน พอได้อ่านหนังสือพิมพ์ ก็กลัวว่ากินแตงโมแล้วมันจะทำให้หดหายไปหมด มันยิ่งไม่ค่อยจะดีอยู่แล้ว ต้องรีบมัดไว้ก่อนมันจะหดมากกว่านี้ หมอฟังแล้ว ประสาทแดกแทนคนไข้

เอาอีกเรื่องนะ วันนั้นก็มีคนไข้ผู้หญิงคนหนึ่ง วิ่งกระหืดกระหอบ เข้ามาขอลัดคิวตรวจ บอกว่า ฉุกเฉินมากๆ น่าตาวิตกกังวลสุดๆ เราก็ให้พยาบาลพามาพบ ถามว่าเธอเป็นอะไรมา เธอจัดแจงกุมที่เป้าทันที แล้วบอกว่า

"หมอฉันไปกินแตงโมมา มันกำลังหดไปเรื่อยๆ หดจนจะหมดแล้วช่วยด้วยหมอ"

เราก็ถามว่าอะไรหด เธอตอบว่า "อีแปะมันหด" เราก็งงๆตามไม่ทัน อะไรวะอีแปะ นึกๆอยู่ตั้งนาน อีแปะๆๆๆๆมันอะไรหนอ จึงถามว่า "อีแปะมีรูไหม" เธอตอบว่า "มีรูตรงกลางไงหมอ ไม่งั้นจะฉี่ออกหรือ" ถึงบางอ้อเลยเรา ศัพท์ใหม่นะนี่ ต้องไปลงในพจนานุกรมไทย

เลยบอกว่า "ก็อีแปะมันแบนแต๊ดแต๊ มันจะไปหดหายไปตรงไหนได้อย่างไร" เธอตอบว่า "หมอไม่รู้อะไร ธรรมดาของฉันมันนูนกว่านี้มาก กินแตงโมแล้วมันหดแบนลงทันตาเห็น" ตูฟังแล้วเป็นงงมากๆ โรคอะไรวะ ไม่เคยได้ยิน อาจารย์ไม่เคยได้สอน มันคงเป็นโรคสมัยใหม่ของผู้หญิงยุคนี้ ที่อะไรต้องให้นูนๆไว้ก่อน หน้าให้นูนยังพอว่า แต่ไอ้อีแปะต้องนูนด้วยนี่ ถ้าไม่นูนสงสัยถึงจะหน้าสวยก็คงไม่มีใครรัก เฮ้อ กรรมของสัตว์โลก

นึกในใจว่า นี่ตูจะไปทำให้มันนูน ขึ้นมาได้อย่างไร นึกไม่ออกรักษาไม่เป็นให้ยาไม่ถูก ให้ไปฉีดซิลิโคนน่าจะดีนะ เอาให้มันนูนหนำใจไปเลยเป็นไง เห็นด้วยกันไหม

By boy: ในยุคนั้น มีการปล่อยข่าวว่า ใครกินอาหารญวน แล้วเจี๊ยวจะหด เรียกว่า"โรคจู๋หด"

By KMD: เขียนแนวนี้บ่อยๆ แล้วกัน สนุกดีครับ ไม่ขอขัดคอครับ

By HVOF: คนรุ่นก่อน รู้คำว่า อีแปะ หมายถึงอะไร ต่อมา จึงเพี้ยนเป็นอีปิ๊ การหลอกประโคมให้คนหลงเชื่ออะไรผิดๆ แล้วตนเองได้ประโยชน์มีอยู่ในสังคมไทยตลอดมา
น่าสมเพท

By kimeng suk: จริงด้วยค่ะ คนที่ได้ประโยชน์ออกข่าวมาหลอกเอาเงินคนไทยก็บ่อย เช่นหลอกว่า กิน ลูกยอดี รักษาได้สารพัดโรค ทำน้ำลูกยอขายขวดล่ะ พันกว่าบาท กินน้ำสำรอง หญ้าปักกิ่ง มะรุม เห่อกันเป็นพักๆ คนที่ปลูกรอไว้ก่อนออกข่าวก็รวยไปแล้ว พอนานเข้าก็เลิกพูดถึง


อัศจรรย์ปาฏิหาริย์
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค

ตะก่อนนี้เราและสามีเป็นกลุ่มคนที่ไม่เชื่อว่าในโลกนี้ปาฏิหาริย์ (miracle) จะมีจริง เพราะไม่เคยเห็นหรือประสพด้วยตัวเอง ได้แต่ฟังเขาเล่าให้ฟัง บางครั้งก็ฟังจากผู้เล่าที่ประสพด้วยตัวเอง บางครั้งก็เล่าต่อๆกันมาแบบ ต้นตออยู่ไหนก็ไม่รู้ เล่าไปเล่ามา จากบาท ทบขึ้นๆเป็นร้อยบาท ฟังแล้วเราก็ไม่เชื่อถือ นึกในใจว่า ไอ้พวกนี้งมงาย คิดเอาเอง สรุปเอาเอง มันเป็นแบบลมพัดผ้าม่านไหว ก็นึกว่าผีหลอก ถ้ามีจริงเราต้องเจอด้วยตัวเอง เห็นกันจะจะ แบบไม่มีข้อโต้แย้งได้เลย เราถึงจะเชื่อ

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น เกิดขึ้นกับครอบครัวของเราเอง ใครจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่นะ

นานหลายปีแล้ว เรา สามีและครอบครัว ขับรถไปเที่ยวเชียงใหม่ ตอนจะออกจากบ้านสามีก็ตรวจตราดูรถยนต์ และเขาก็เปิดฝาหม้อน้ำเอาวางไว้บนแบตเตอรี่ เติมน้ำลงหม้อน้ำ เสร็จแล้วก็ลืมปิดฝาหม้อน้ำสนิท ปิดฝากระโปรงรถ ขับรถตรงดิ่งไปเชียงใหม่ แต่พอขับไปได้ราว 3 ชั่วโมง ทางกำลังอยู่บนเขา ความร้อนของรถก็ขึ้นสูงมาก สามีก็จอดรถ เปิดฝากระโปรงรถดู ควันลอยพุ่งเต็มไปหมด หม้อน้ำไม่มีน้ำ และฝาหม้อน้ำก็หายไป เรารอให้รถเย็นลง จึงขอน้ำชาวบ้านมาเติม แต่ไม่มีฝา ก็พากันตรวจหาดูฝาหม้อน้ำ ก้มดู หาดูตามซอกตามมุมอย่างละเอียด มันอาจจะไปค้างอยู่บ้าง เผื่อฟลุ๊ก เราก็ช่วยกันหา ดูแล้วดูอีกไม่เจอ

พอดีสามีก้มตัวลง ทำให้พวงพระเครื่องที่ห้อยคอ ซึ่งเป็นพระเครื่องหลวงพ่อองค์หนึ่งวัดใหญ่ทางฝังธนบุรี ไปกระทบรถดังได้ยินชัดเจน สามีก็นึกได้ จึงกำพวงพระเครื่องไว้ในมือ แล้วก็สงบนิ่งตั้งอธิษฐานจิตว่า "หลวงพ่อครับ ขอบารมีหลวงพ่อ ช่วยคืนฝาหม้อน้ำให้ด้วยเถิดครับ"

สิ่งอัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแบบทำให้เราตกตะลึงทั้งสองคน เพราะเมื่อสามีก้มมองลงไป ก็มองเห็นฝาหม้อน้ำ วางอยู่บนปีกนก ซึ่งเป็นเหล็กกว้างขนาด 3 นิ้ว ไม่มีขอบทั้งสองด้าน มันทำหน้าที่ยึดตัวถังรถจากขวาไปซ้าย มองเห็นได้ง่ายๆทันทีตรงหน้า มันเป็นไปได้อย่างไร ก็เราหากันจนละเอียดแล้ว ก่อนอธิษฐานก็ไม่เห็นมี พออธิษฐานเสร็จ ก็เจอเลย มันมาวางอยู่บนเหล็กแบนๆไม่มีขอบอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อรถวิ่งขึ้นเขา โค้งไปโค้งมา มีแรงเหวี่ยง ทำไมมันไม่กระเด็นตก และเราไม่ได้ทากาวที่ฝาหม้อน้ำด้วยนะ มันมาตรงนั้นได้อย่างไร จะว่าเราหากันไม่ละเอียด ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เรายืนยันหากันทุกซอกทุกมุมอย่างละเอียดแน่นอน และเป็นเวลากลางวัน แสงสว่างก็มากพอมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน

สิ่งอัศจรรย์ปาฏิหาริย์ เป็นสิ่งที่ผู้ที่ไม่ได้ประสพพบเจอด้วยตัวเองไม่อยากจะเชื่อ ก็เหมือนเราที่ไม่เคยเชื่อมาก่อนหน้านี้หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่เชื่อ แต่เมื่อมาประสพพบด้วยตัวเองก็ งงๆสงสัยว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร แค่อธิษฐานจิตขอบารมีหลวงพ่อช่วยเท่านั้น ฝาหม้อน้ำก็มาปรากฏขึ้นได้ ไม่น่าเชื่อแต่ก็เกิดขึ้นมาแล้ว มันต้องเป็น เหตุการณ์ที่เรียกว่า suppernature ที่อธิบายไม่ได้ ซึ่งแม้แต่นักวิทยาศาสตร์เอง ก็ได้พบเหตุการณ์ที่อธิบายไม่ได้ ถึงได้ตั้งคำๆนี้ขึ้นมา เพราะไม่รู้ว่าจะเรียกหรืออธิบายมันว่าอย่างไร

By ramplam: มุกนี้เคยทำ มีคนเชื่อ เคยทำของหล่นหายช่วยกันหา ก็หาไม่เจอ ไอ้เราตาดี เจอแล้วแกล้งทำปากขมุบขมิบ แล้วหยิบมาในมือ แล้วเฉลยตรงนั้น กลัวบาปกรรม ก็สนุก ขำขัน นะจะบอกให้

By kimeng suk: เวลาคับขันแบบนั้น คงไม่มีใครมีอารมณ์ขันขนาดนั้นนะ สามีเราก็เป็นคนไม่ค่อยมีอารมณ์ขันด้วย ถ้าไม่มีฝาหม้อน้ำ วิ่งไปน้ำก็จะถูกดันออกมาหมด เราต้องอยู่บนเขา กลางป่า เปลี่ยวมา ต้องรอคอยความช่วยเหลือนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้

By ramplam: เฮ้อ!!! กู่ไม่กลับ คนที่ได้ประโยชน์สูงสุดตอนนั้นคือใคร? แทนที่จะถูกบ่นหูชา ประมาทเลินเล่อ ก็จะเปลี่ยนเรื่องคุย มันเป็นละคร เมื่อทำอะไรผิด ต้องอ้างคุณธรรมกันเป็นที่นิยมของบรรดาอำมาตย์น้อยใหญ่ อ้างพระ อ้างเทวดา อ้างโสดาบัน อ้างนิพพาน ฯลฯ เขียนเพิ่มอีกห้าบรรทัด น่าจะตาสว่าง

By sri123: มองว่า ปาฏิหาริย์ คือโอกาสนะคะ คิดแล้วทำ กับ คิดแล้วไม่ทำ ถ้ามัวแต่คิด แล้วรอ "โอกาส" ที่มองไม่เห็น แต่ไม่ทำอะไร ก็ย่อมไม่เกิดอะไร เมื่อโอกาสมาถึง ก็ไม่รู้จะคว้าอะไรเหมือนกันค่ะ

อีกความหมายปาฏิหาริย์ คือสิ่งที่ไม่น่าเกิด ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยสักนิด แต่มันเกิดขึ้นได้อย่างไรก็ไม่รู้ ประมาณนั้น แบบความคิดถึง คนสองคนรักกัน คิดถึงกัน แบบนี้ คือ ปาฏิหาริย์ นะ

By อินทรีย์: อธิบายได้ครับ ความตกใจทำให้ความละเอียดรอบคอบหมดไป เวลาหาของมัวแต่ตกใจกลัวตื่นเต้นสายตาก็ไม่นิ่งพอ ของก็อยู่ของมันตรงนั้น แต่เวลาเรามีสมาธิมากขึ้น ก็มีความละเอียดมากขึ้น นิ่งพอ มันก็เลยเจอ

By kihamoni: ของถือในมือ หรือเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ ก็มีบ่อยๆครับ แว่นตาบางคนขนาดทำสายคล้องคอแล้ว ยังเดินหาทั่วบ้านเลย ไม่อยากนินทาแม่ตัวเอง

By กอไก่: เรื่องบางเรื่อง อธิบายทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ครับ .... แต่ผมเชื่อว่า จขกท.ก็ยัง งง อยู่กับเรื่องนี้....งั้นผมขอชวนคุณ....มาคิดอะไร+ทำอะไร กันเล่นๆน่ะครับ

คุณและทุกๆท่าน....ที่มาอ่านในกระทู้นี้ ... ลองทดสอบตัวเองน่ะครับ คุณหรือ ท่านใดที่สนใจ จะเล่น ... ลอง

1. นั่งนิ่งๆ โดยไม่คิดอะไรเลย ในสมอง สัก 5 วินาที ได้ไหมครับ

2. หากทำข้อ 1. ได้ คุณจะทราบว่า ยามคุณหลับโดยไม่ฝันถึงอะไรเลย คุณได้ไปไหนมา หุหุหุ

By เบื่อlogin: เป็นเรื่องปัจจัตตังเจอเองรู้เอง ผมก็เจอแต่ไม่อยากเล่า

By ป้าบ้านนอก: ใช่คะ ปัจจัตตัง ไม่เจอด้วยตัวไม่รู้ แต่ป้าเคยเจอ และเชื่อว่า ปาฏิหาริย์ มักเกิด กับคนดี


โด่ไม่รู้ล้ม
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค

เรื่องนี้ต่อจากเรื่องอีแปะมันหด เนื่องจากยังไม่หมดข้อมูล ก็อยากจะเล่าต่ออีกซักหน่อย ข้อมูลพวกนี้หาฟังได้ยากนะ จริงๆพวกหมอทุกคนก็เจอเรื่องประหลาดๆมากันทุกรส แต่ส่วนมากไม่อยากเล่า และสำคัญที่สุดเขียนเล่าออกมาเป็นเรื่องไม่เป็น พูดเป็นเขียนไม่เป็น เราเองก็เพิ่งมารู้ตัวว่า เขียนเป็นไม่นานมานี้เอง

วันหนึ่งออกตรวจ OPD ตอนเย็นเช่นเดิม วันนั้นคนไข้เยอะมาก เป็นผู้ใหญ่ทั้งหญิงทั้งชายส่วนมาก นั่งรอกันหน้าสลอน สีหน้าอมทุกข์กันทุกคน ต้องรอคิวคนมันเยอะ เราเองก็พยายามปั่นสุดชีวิต เห็นใจที่คนไข้รอนาน ปั่นขนาดสั่งโอเลี้ยงมา ละลายหมด ลืมกิน ตรวจเพลิน หมอคนเดียวตรวจคนไข้เป็นร้อย พูดคุยแค่สามนาทีต่อคนก็หมดเวลาแล้ว คนที่รอตรวจ ก็โมโหโกรธา รอตั้งนานแล้วไม่ได้ตรวจซักที มัวทำอะไรกันอยู่ บริการไม่ดีเลย อย่างนี้ต้องฟ้องผู้อำนวยการ ว่ากันเข้าไปนั่น ต้องให้มาเป็นหมอตรวจคนไข้เองบ้าง แล้วจะรู้สึ๊ก

มีผู้หญิงคนหนึ่ง อายุราวๆ 30 ปี พอถึงคิวก็เข้ามานั่งต่อหน้าเรา เอามือกุมหน้าอกสองข้าง เราก็ถามว่าเป็นอะไรมา เธอก็บอกว่า "นมหด" เราฟังเป็น "นมหก " ก็บอกว่า "นมมันอยู่ในเต้าจะหกได้อย่างไร" เธอบอกว่า "ไม่ใช่ หมอฟังให้ดีๆ อย่าหูตึง" แน่ะดุเราอีก เธอเล่าว่าไปกินแตงโมมา กินเสร็จมันก็ค่อยๆหดลงๆ จากโตเหมือนลูกฟักลูกโตๆ กลายมาเป็นซาลาเปา ลูกเล็กๆสองลูก เธออายเขา จะทำอย่างไรดี ล้างท้องเธอเอาแตงโมออกมาดีไหม นมจะได้โตขึ้น

ไอ้เราก็บอกให้เธอแก้เสื้อชั้นนอกออก เหลือแต่ยกทรง ซึ่งมันดูเก่าๆแสดงว่าถูกใช้ประจำและเป็นขนาดเบอร์เล็กๆเท่าซาลาเปาจริงๆ แล้วถ้ามันใหญ่เป็นลูกฟักจริง ไอ้ยกทรงขนาดนี้มันจะเอาลูกฟักยัดใส่เข้าไปได้อย่างไร ก็เลยถามว่ามีแฟนหรือยัง เธอตอบมีแล้ว เราก็ถามต่อว่า แล้วแฟนชอบซาลาเปาหรือลูกฟักละ เธอก็บอกว่า "ใครมันจะไปชอบซาลาเปา เขาก็ต้องชอบลูกฟักมากกว่าซิหมอ ถามได้" ก็เลยถามเธอต่อว่า "แล้วเขาบ่นไหมที่มันมีแต่ซาลาเปา" "โฮย บ่นทุกคืน เขาบอกว่ามันไม่อร่อย" เรื่องนี้ก็ ซ.ต.พ. ดังนี้แล

อีกคนหนึ่งเป็นผู้ชาย เดินกางขา กระมิดกระเมี้ยนเข้ามานั่งตรงหน้าเรา แล้วพูดค่อยๆมากๆว่า "หมอของผมมันโด่ไม่รู้ล้ม" เราได้ยินไม่ถนัดก็บอกให้พูดดังๆ เขาก็ยังพูดโทนเท่าเดิม เราก็ตะโกนใส่เขาว่าให้พูดดังกว่านี้ เขาคงโมโห เลยตะโกนเสียงดังมาก "ของผมมันโด่ไม่รู้ล้ม ได้ยินไหมหมอ" ทุกคนในห้องตรวจได้ยินกันหมด ต่างก็พากันหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน เราก็ถามว่าไป ทำอะไรมา เขาก็บอกว่า "ไปกินแตงโม สีแดงๆมา กินไปเกือบลูกใหญ่ๆคนเดียว สงสัยกินมากไป มันเลยลุกขึ้นมา แล้วโด่ไม่รู้ล้มแบบนี้"

เราก็บอกว่าเห็นมีแต่ คนบอกว่าเขากินแล้วหดกันทั้งนั้น ทำไมของคุณถึงโด่ละ เขาตอบว่า"อย่าไปเชื่อหมอ นั่นมันข่าวลือ ของผมนี่ของจริง กินแล้วโด่ทุกที แต่คราวนี้กินมากไปหน่อย มันเลยไม่รู้ล้ม" เราก็ถามว่า จริงหรือเปล่าที่ กินแตงโมแล้วโด่ทุกที เขาก็ยืนยันหนักแน่นว่า "จริงหมอ แต่อย่ากินมากเป็นลูกๆเหมือนคราวนี้" เราได้ยิน ก็ยืนซือบื้อ เอาไงดีวะ เดี๋ยวคนหนึ่งกินแล้วหด อีกคนกินแล้วโด่ไม่รู้ล้ม ตูจะบ้าตายแล้ว ขอลาออกจากการเป็นหมอดีไหม

ป.ล. แนะนำให้ผู้ชายไทย หมั่นกินแตงโมสีแดงๆ เผื่อมันจะได้ขยันขันแข็ง แบบชายคนนี้บ้าง จะได้ประหยัดเงินซื้อไวอากร้านะ

By sri123: คำเตือนก่อนนอน แตงโมทานมากๆก็ไม่ดีนะคะ ไม่งั้น ปวดฉี่บ่อย

By ภูพาน: แตงโมจะขาดตลาด จะกลายเป็นสินค้าควบคุม

By kihamoni: ถึงขนาดไม่รู้ล้มเลยหราฮะ ถ้ากินทีนึงสองลูก จะล้มแล้วลุกไม่ขึ้นเลยป่าว ท่าทางจะจุกอยู่น๊ะนั่น ฮ่าๆๆๆๆ


ถูกขู่ฆ่าตาย
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค

เมื่อสมัยรับราชการ ในตำแหน่งผู้ชำนาญการพิเศษ สาขากุมารเวชศาสตร์ ในโรงพยาบาลศูนย์แห่งหนึ่งนานมาแล้ว ต้องทำหน้าที่สารพัดอย่าง ทั้งตรวจรักษาคนไข้ ทั้งต้องสอน แพทย์ฝึกหัด นักศึกษาแพทย์ นักศึกษาพยาบาล ต้องประชุมวิชาการของในแผนกเด็กและของโรงพยาบาลเกือบทุกวัน ทำให้ต้องอ่านหนังสือมาก ต้องทำวิจัย ต้องไปดูการผ่าศพของคนไข้ ถ้ารายไหนสงสัยโรคและการตาย ต้องเจาะหลัง เจาะปอด ทำหัตถการสารพัด แต่ละวันงานเพียบ ลองดูแซมเปิ้ลก็ได้

ตอนเช้านำแพทย์ฝึกหัดและนักศึกษาแพทย์เดินตรวจคนไข้ และสอนข้างเตียงคนไข้ทุกๆเตียงทุกวัน สายหน่อยออกตรวจ OPD ของแผนกกุมารพร้อมนักศึกษาแพทย์จนถึงเที่ยง บ่ายตรวจคนไข้ต่อหรือไม่ก็เข้าประชุมเอาเคสคนไข้มาวิเคราะห์ ออกความเห็นกัน สรุปการรักษา และสอนเอาเป็นตัวอย่าง พอว่างก็ไปดูคนไข้รอบเย็นอีกครั้งหนึ่ง สอนทำหัตถการ เย็นกลับบ้าน ก็สลบเหมือด หลับสักสองชั่วโมง แล้วก็ไปทำคลินิกส่วนตัวต่อ ถึงสองทุ่ม

เวลาออกตรวจ OPD เด็ก เป็นเวลาที่เหนื่อยที่สุด คนไข้เยอะมากเป็นสองสามร้อยคน มีหมอ 1 ถึง 2 คน ไหนจะต้องตรวจ ไหนจะต้องสอนนักศึกษาไปด้วย แค่ตรวจก็จะตายอยู่แล้ว ปากยังต้องพูดต้องสอนเจื้อยแจ้ว เหมือนนกแก้วนกขุนทอง หูก็ต้องใช้หูฟังเสียบไว้ฟังคนไข้ ไอ้นี่แหละหนักกว่าเพื่อน ถอดเข้าถอดออกหูมันก็ถลอก เวลาใส่เข้าไปมันสุดยอดจะเจ็บปวด ใครไม่เป็นไม่รู้ ลองมาเป็นหมอกันบ้างไหม แล้วจะรู้สึ๊ก

เคยลองเอาสำลียัดรองหูไว้ ปรากฏว่ามันได้ยินแต่เสียงแคร๊บๆ คร๊ากๆ อย่างอื่นไม่ได้ยิน ใช้ไม่ได้ แต่มันก็เจ็บหูใส่หูฟังไม่ได้ทำไงดีล่ะ ใช้วิธีใหม่ เอาหูฟังคล้องคอ แต่ไม่เอาเสียบหู แล้วทำท่าตรวจฟังคนไข้ หน้าตาเฉย ใช้ฟังรายงานการตรวจจากลูกศิษย์เอา

แต่ที่นี่มันเกิดมีเด็กอัจฉริยะ ปากไวคนหนึ่งดันสังเกตเห็น ว่าหมอไม่เอาหูฟังเสียบหู เขาตะโกนลั่นห้องว่า "ป้าหมอๆ ยังไม่เอาไปเสียบหูเลย ฟังได้อย่างไร" หน้าแตกเย็บไม่ติดไปเลยเรา เด็กนี่ ป.ม.จริงๆ เฉยๆหน่อยก็ไม่ได้

วันหนึ่งก็มีชายชาวบ้านคนหนึ่ง นำลูกชายอายุไม่ถึงหนึ่งขวบ เข้ามาให้ตรวจ เด็กมีอาการร้องดิ้น กระสับกระส่าย ตัวเย็น แหกปากร้องไม่หยุด ท้องอืดป๋องแข็งเป็ก และมีประวัติถ่ายเป็นสีแดงๆคล้ายเลือดสดๆ แค่นี้เราก็วินิจฉัยว่าเป็นลำไส้กลืนกัน ซึ่งพบบ่อยในเด็กผู้ชายอายุขนาดนี้ จึงส่ง x-ray และส่งศัลยกรรมเด็ก ให้ผ่าตัดด่วน เสร็จจากรายนี้เราก็ก้มหน้าก้มตาตรวจคนไข้ ตรวจๆๆๆๆๆๆๆเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ถนนเส้นนี้ช่างยาวไกลจริงหนอ

สักชั่วโมงหนึ่ง พ่อเด็กคนนั้นก็เปิดประตูห้องตรวจเข้ามา ตรงรี่มาหาเรา แล้วควักปืนเล็งมาทางเรา เราตกใจหมดหน้าซีดเป็นไก่ต้มน้ำปลา ลุกพรวดพราดขึ้นยืน ตัวสั่นเป็นลูกนก ที่น่าสงสาร มาดหมอเหม่อหายหมด โถ ตูต้องมาตายคราวนี้ละมัง ตูยังสาวอยู่เลย ตายแก่ๆกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้ ชายคนนั้นก็ตะคอกออกมาว่า "อีหมอ มึงสั่งเอาลูกกูไปผ่า ถ้าลูกกูตาย กูไม่เอามึงไว้แน่" ไอ้เราก็เริ่มตั้งสติได้ ก็บอกเขาว่า "ลูกคุณมันจำเป็นต้องผ่าทันทีค่ะ ไม่งั้นลำไส้มันจะเน่า แล้วลูกคุณก็จะช็อกตาย หมอเองก็ไม่ได้เป็นคนผ่า มีหมออีกคนผ่า" "กูไม่รู้ มึงสั่งผ่า ถ้าลูกกูตาย มึงตายด้วย กูไม่ปล่อยมึงไว้แน่ๆ" เอ้า เป็นงั้นไป พุทโธ ธรรมโม สังโฆ ทำคุณบูชาโทษละเรา

เจอเหตุการณ์นี้เข้าเราก็ขอหยุดการตรวจคนไข้ ไปจนกว่าการผ่าตัดจะเสร็จ และเด็กปลอดภัยแน่นอน เราถึงจะมาตรวจคนไข้ต่อ ซึ่งจริงๆก็ไม่อยากทิ้งคนไข้ที่เขามารอตรวจ แต่มันหมดกำลังใจที่จะตรวจต่อและก็กลัวด้วย พูดง่ายๆก็คือกลัวถูกยิงตาย หมอก็กลัวตายเหมือนกัน ลูกปืนมันไม่เข้าใครออกใคร เป็นหมอไม่ได้หมายความว่าจะหนังเหนียวเมื่อไหร่

คิดดูซิกว่าพ่อแม่จะเลี้ยงให้โตขึ้นมาขนาดนี้ กว่าจะได้เรียนจบมาเป็นหมอ เอาแต่อ่านหนังสือ อ่านๆๆๆๆเหนื่อยเกือบตาย เพื่อนฝูงเขาไปเที่ยวสนุกสนานเฮฮา เราเอาแต่บ้าเรียนบ้าอ่าน ผ่านช่วงชีวิตที่ควรจะสนุกที่สุดโดยแทบไม่รู้จักเลย และก็ใช้เงินพ่อแม่ไปหลายล้าน จบแล้วยังไม่ได้ทำงาน ใช้เงินคืนพ่อแม่และรัฐบาลเลย ดันมาถูกฆ่าตาย เพราะเรื่องเล็กๆพวกนี้ มันดูทุเรศสุดๆนะ ซึ่งถ้าเด็กคนนี้เกิดไม่รอดจริงๆเราคงไม่อยู่ที่จังหวัดนี้แล้ว ต้องขอย้ายด่วน เพราะไม่ไว้ใจกลัวว่าจะถูกดักยิงกลายเป็นที่ระบายความโกรธแค้นของเขาไป

ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้เราจำได้ไม่ลืม และเริ่มรู้สึกว่า เราไม่อยากเป็นหมอแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะไปทำอะไรดี จำต้องทนเป็นหมอมาจนแก่ขนาดนี้ จริงๆแล้วทั้งหมอทั้งคนไข้ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน ทำอะไรก็ต้องมีน้ำจิตน้ำใจต่อกัน ไม่ใช่กูไม่พอใจอะไร กูก็ใส่เต็มที่ เอาสะใจ หมอก็ด่าคนไข้ คนไข้ก็ด่าหมอ ขอเพียงเราคิดถึงใจของเขาก่อนใจของเรา ฟังกันพูดคุยกัน ฟังเหตุและผลของแต่ละคน เราก็จะอยู่ร่วมกันพึ่งพากันได้จากใจจริง หมอก็รักษาคนไข้ได้เต็มที่ คนไข้ก็จะปลอดภัยแน่นอน

By HVOF: อ่านแล้ว เห็นใจคุณหมอดีๆ ที่ทำงานเพื่อประชาชน ชาวบ้าน กรณีนี้ ไปเจอคนบ้าเข้า ปกติแล้ว คนทั่วไปจะเชื่อฟังหมอ มากกว่าแสดงอาการข่มขู่

By sri123: พรสวรรค์ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ ...........คือการที่เราสามารถเอาใจเขามาใส่ใจเราได้ เมื่อทำเช่นนั้นได้ ความเห็นอกเห็นใจ มันก็เกิดขึ้นง่ายๆเลยค่ะ

By xam: ดีใจที่เป็น หมอ เพื่อ ช่วยเหลือมนุษย์ แต่หมอปัจจุบัน ส่วนมาก เพื่อ ฐานะ

By kimeng suk: ถ้าเราคิดถึงความเป็นจริงของชีวิต เรื่องของฐานะและเรื่องของการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ต้องไปคู่กัน ถ้าฐานะของหมอไม่ดี เงินไม่พอใช้ หมอก็ไม่มีกำลังใจทำงานให้เต็มที่ เพราะปัญหาของตัวเองและครอบครัวก็หนักแล้ว ใจที่อยากจะทำเพื่อคนอื่นก็น้อยลง อันเป็นธรรมดาของมนุษย์

By อินทรีย์: เดี๋ยวนี้ โรงพยาบาลชุมชนเลิกผ่าตัดกันแล้ว ไม่มีใครอยากเสี่ยง ขนาดซิสต์เม็ดเล็กๆยังส่งไปโรงพยาบาลศูนย์เลย

By kimeng suk: ใครมันจะกล้าทำละ ผิดพลาดเล็กน้อย ศาลยังตัดสินติดคุก ปรับเงินอีกมาก ประชาชนสะใจ ที่เห็นหมอถูกลงโทษ แต่ผลก็ตกอยู่ที่พวก ปชช.เอง ไม่ได้อยู่ที่ศาลที่เป็นผู้ตัดสิน ปชช.เอาสะใจ หมอทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ ไม่มีข้อยกเว้น แต่เวลา ปชช.เจ็บป่วย หมอไม่กล้ารักษา เพราะใครๆก็ต้องป้องกันตัวเองทุกคน เรื่องที่ต้องเสี่ยง เราไม่ทำดีกว่า ถึงทำได้ก็ไม่กล้าทำ ตอนนี้แหละ ศาลก็ช่วยอะไรไม่ได้


รอดตายโดยปาฏิหาริย์
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค

เรามีลูกชายคนเดียว ซึ่งทั้งพ่อทั้งแม่รักมาก โดยเฉพาะพ่อจะตามใจ ซื้อของเล่นให้เต็มบ้าน จะเอาอะไรก็ได้เกือบทุกอย่าง ทำให้เป็นเด็กแบบ spoil child เราเองก็เป็นห่วง กลัวอนาคตเขาจะลำบาก ถ้าโตขึ้นยังเป็นแบบนี้อยู่ จึงขอกับพี่สาวและพี่เขย ขอส่งลูกชายไปอยู่ด้วยที่อเมริกาให้ลุงและป้าอบรมสั่งสอน พ่อแม่สอนเอง เด็กโตแล้ว มักจะต่อต้าน เชื่อเพื่อนมากกว่าพ่อแม่

แต่ลูกชายคนนี้มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วๆไป คือเขาชอบใส่บาตรพระมาก ตอนเช้าๆถ้าปลุกลุกขึ้นมาใส่บาตร เขาจะไม่งอแง จะตื่นขึ้นมานั่งรอพระ ใส่บาตรรับพรพระเสร็จแล้ว ถึงจะกลับไปนอน เขาเป็นของเขาเอง ไม่มีใครสอน ถ้าบอกให้บริจาคเงินทำบุญ จะเต็มใจทำ โดยเขาจะเก็บเงินที่เหลือจากค่าขนม ใส่กระปุกไว้ทุกวัน พอมีมากก็เอาออกมาทำบุญหรือให้แม่

ก่อนไปอเมริกาเราก็ให้ พระเครื่องหลวงพ่อองค์หนึ่ง วัดใหญ่ทางฝั่งธนบุรีซึ่งครอบครัวเรานับถือมาก และสั่งให้เขาสวม ห้อยคอไว้ตลอดเวลา ห้ามถอดแม้เวลาอาบน้ำ ซึ่งเขาก็ทำตามที่แม่สั่งทุกอย่าง

เขาก็ไปอยู่อเมริกา ตั้งแต่อายุ 13 ปี ไปเรียน high school เริ่มชั้น ม.4 ที่นั่น ซึ่งเราไม่ต้องจ่ายค่าเทอม เพราะพี่สาวไปรับรองกับทางโรงเรียนว่าเป็นหลาน อยู่ในการดูแลของเธอ ทางโรงเรียนจึงยกเว้นค่าเทอมให้ และยังให้อาหารฟรี มื้อเช้าหนึ่งมื้อ มีรถรับส่งเช้า-เย็น ฟรี เบากระเป๋าของเราไปเยอะ เขาพูดภาษาไม่เก่ง วันหยุดก็มีครูมาสอนให้ที่บ้าน ฟรีอีก ประเทศอเมริกานี่เขาส่งเสริมการศึกษาจริงๆ ถึงแม้จะเป็นคนต่างชาติ เขาก็ยังช่วยเหลือ น่ายกย่องเขามาก

พออายุครบ15 ปี ก็ไปอบรมการขับรถ จนครบหลักสูตร แล้วก็สอบใบขับขี่ได้ พ่อเขาจึงไปซื้อรถใหม่เอี่ยมให้คันหนึ่ง เขาก็ขับแบบเมามันส์ สนุกสนาน เห่อรถใหม่ แบบวัยรุ่นทั่วๆไป ขับขึ้นๆล่องๆ

ประมาณหนึ่งเดือนหลังซื้อรถใหม่ วันหนึ่งเขาขับรถบนเขา ตามประสามือใหม่หัดขับ แต่ไม่เจียมตัว ขับบนเขาด้วยความเร็วสูง ที่นี่พอถึงโค้งหักศอก ก็เกิดเรื่อง เขาขับเข้าโค้งไม่ทัน หลุดออกจากโค้ง วิ่งตรงลงเขาซึ่งสูงมากกว่า 10 เมตร และมีต้นไม้ที่เขาปลูกอยู่ตามไหล่ขึ้นหนาแน่น

รถก็ตกจากเขา กลิ้งหลุนๆลงไป จนไปจอดที่พื้นราบตีนเขา ตัวรถบี้บุบบิบเหมือนกระป๋องถูกบี้ จากทุกทิศทุกทาง ใครเห็นก็ต้องคิดว่า คนในรถต้องตายแน่ๆ ชาวบ้านแจ้งรถพยาบาลให้มารับคนป่วยทันที เพราะอย่างไรก็เจ็บหนักหรือตายแหง๋แก๋

แต่เชื่อไหม ลูกชายของเรา ปลอดภัย ไม่บาดเจ็บอะไรมาก มีแผลที่นิ้วก้อยเท้าขวาเล็กน้อยเท่านั้น เมื่องัดรถช่วยเขาออกมาได้ ชาวบ้านก็แปลกใจบอกว่าทำไม เขาไม่เป็นอะไร

รถตกเขาสูงมากกว่า 10 เมตร แถมไม่พอ ทำไมรถคันนี้ ตอนตกเขาทำไมรถถึงไม่ปะทะกับต้นไม้ ซึ่งขึ้นขวางทางรถที่กลิ้งลงเขาตรงกับต้นไม้ขึ้นอยู่พอดี และต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ เขาปลูกสับหว่างไว้ด้วย หลบต้นบนได้ ก็ต้องไปชนต้นข้างล่างแน่นอน

มันกลับซิกแซก หลบต้นไม้ต้นบนได้ และยังมาซิกแซกหลบต้นล่างที่ปลูกสับหว่างได้อีกสองต้น ซึ่งถ้าปะทะต้นไม้ ด้วยกำลังแรงที่ รถตกลงมาโอกาสที่ จะรอดชีวิตไม่มีเลยมันซิกแซกหลบได้เพราะอะไร ถ้าจะว่าเป็นแรงเหวี่ยงทำให้รถถูกเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา หลบต้นไม้ได้ มันก็น่าคิดนะ แรงเหวี่ยงนี้มันรู้จักคิดเหวี่ยงตัวเอง หลบต้นไม้ได้ตั้งสามต้นแน่ะ มันจะเป็นสิ่งอัศจรรย์ สุดยอดของโลกเลยละ

ประกันภัยรถยนต์เห็นสภาพรถแล้ว ยอมออกรถคันใหม่เปลี่ยนให้เลย ไม่ต้องซ่อม ไม่มีงอแง จ่ายง่ายๆ ไม่ต้องตามทวง

รถกลิ้งตกเขาไม่รู้กี่รอบ จนรถเหมือนกระป๋อง ถูกทุบบู้บี้บุบบิบ แต่เขาบาดเจ็บแค่เล็กน้อย แถมรถยังมีการซิกแซกหลบต้นไม้ได้ตั้งสามต้น ไม่ปะทะต้นไม้โดยตรง อะไรที่ทำให้เขาไม่ได้รับให้บาดเจ็บ ให้รอดปลอดภัยไม่ตาย คิดแล้วมันอัศจรรย์มาก ถ้าไม่เรียกว่า miracle แล้วเรียกว่าอะไรดี

เราเองตกใจมากที่ลูกประสพอุบัติเหตุร้ายแรงแต่ก็ดีใจมากที่เขารอดปลอดภัย และก็สงสัยว่าลูกชายเรารอดมาได้อย่างไร และเมื่อเขาจบการศึกษา และกลับมาอยู่เมืองไทย เขาก็บวชเป็นพระในพระพุทธศาสนา ย่างเข้าปีที่ 9 แล้ว มีหน้าที่สอนธรรมะและสอนการนั่งสมาธิ แก่ชาวต่างชาติที่มาเข้าอบรม หรือมาบวชเป็นพระในประเทศไทย และยังเดินทางไปสอนในต่างประเทศบ่อยๆ

By KMD: ถ้าอ่านข่าวประจำ จะได้ยินข่าวอุบัติที่มีคนรอดตายราวปาฏิหาริย์บ่อยมาก ทุกคนที่รอดนั้น แน่นอนไม่ได้นับถือหลวงพ่อที่ลูกชายท่านนับถือ ทั้งหมดอย่างแน่นอน เพราะอุบัติเหตุที่เกิดในต่างประเทศก็มีชาวต่างชาติที่นั่นรอดตายราวปาฏิหาริย์ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่นเครื่องบิน 747 ตกในญี่ปุ่น ตายประมาณ 500 คน แต่ก็ยังมีคนนั่งท้ายๆลำรอดตายอยู่หนึ่งคน ก็มี ข่าวนี้ก็นานแล้ว ผมจำปีไม่ได้ ผมเองก็ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ 2 ครั้ง รอดตายโดยไม่บาดเจ็บมากมายอะไร ก็ประสบมาเอง ไม่ได้ห้อยหลวงพ่ออะไรทั้งนั้น

By 3 ส: พระคุ้มครองครับ

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

88 ทำไมถึงจนอย่างนี้

@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
@ เข้าครัว...ทำกับข้าวคลายเครียด!! ผมทำได้ คุณก็ทำได้ครับ
@ 54... "นายกฯปู" สวมชุดนักบินเหินฟ้าชมการใช้กำลังทางอากาศ
@ สถานีรถไฟจีน แล้วลองย้อนมาดูเรา...
@ เรื่อง... ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112
@ "วรเจตน์" ฝ่าศึกสหบาทา: ร้องว่าผมเนรคุณ แต่คุณยืนให้สูงเพื่อบอกว่าจงรักภักดี โดยเหยียบหัวผมขึ้นไป
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ ชุดที่1
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน เวียดนาม ชุดที่2
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน สิงคโปร์ ชุดที่3
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน อินเดีย ชุดที่4
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ฟิลิปปินส์ ชุดที่5
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ร่วมประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ ชุดที่6
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน มาเลเซีย ชุดที่7
@ 81 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือนกองทัพไทย
@ ภาพชุดงานสโมสรสันนิบาต วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5ธ.ค.2554

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...


ขอขอบคุณและขออนุญาตคุณ kimeng suk นำข้อเขียนของท่านมาลงไว้เว็บนี้นะครับ


ทำไมถึงจนอย่างนี้
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค

ตอนที่1 "ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา"
ตอนที่2 "คนไข้คนแรกของหมอใหม่หมาดๆ"
ตอนที่3 "ผีหลอกหมอ"
ตอนที่4 "อะไรทำให้ รวยและ รวย จากคนจนสุดๆกลายเป็นเศรษฐีใหญ่"
ตอนที่5 "ถูกพ่อดูถูกถึงได้เป็นหมอ"
ตอนที่6 "ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมเป็นหมอทำแท้ง"
ตอนที่8 "อีแปะมันหด-อัศจรรย์ปาฏิหาริย์-โด่ไม่รู้ล้ม"

สมัยที่ยังเป็นนักเรียนแพทย์ เราต้องออกไปหาประสบการณ์ตามที่ต่างๆแล้วแต่คณะจะกำหนดให้ เป็นเรื่องสนุกสนานมากที่ได้ออกไปในที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น เพราะชีวิตของคนเรามันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง วิถีชีวิตที่ไม่เหมือนกัน ความเป็นอยู่ก็ไม่เหมือนกัน และไม่มีใครไปกำหนดว่า คนนั้นเป็นคนชั้นต่ำชั้นสูง เป็นคนรวยคนจน คนดี คนชั่ว แต่มันแบ่งโดยตัวของมันเองทั้งสิ้น

ยังจำได้ไม่ลืม ถึงประสบการณ์ที่ครั้งหนึ่ง ที่ได้ออกไปเยี่ยมสลัม แห่งหนึ่ง ไปเห็นแล้ว ไม่เคยคิดว่าคนเราจะมีชีวิตที่ลำบากยากเข็ญถึงขนาดนี้ ทางคณะได้จัดให้ดูบ้านหลังหนึ่ง เป็นห้องแบ่งให้เช่าขนาดกว้างประมาณ 6 คูณ 6 เมตร เป็นบ้านไม้หลังคามุงสังกะสี ใต้ถุนเป็นน้ำครำสกปรกมาก ส่งกลิ่นเหม็นแทบอยากอ๊วก มีแต่แมลงสาปไต่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ภายในห้องแบ่งให้คนเช่านอน รวม 10 คน นอนเรียงกันที่พื้น มีแต่เสื่อกับหมอนเท่านั้น 8 คน และทำเปลแขวนชักรอกขึ้นไปนอนข้างบนอีกชั้นหนึ่ง 2 คน นอนเรียงเบียดกันเหมือนหมูในเข่งที่ใส่รถบรรทุกเตรียมเอาไปเชือด ยังไงยังงั้นเลย

ไอ้ที่สำคัญคือ มันมีการผลัดกันนอน คนทำงานกลางวัน เช้าก็ต้องลุกออกไป คนทำงานกลางคืนก็จะเข้ามานอนแทน เย็นมาก็ต้องลุกไป ให้คนทำงานกลางวันมานอนแทน ผลัดเปลี่ยนกันอย่างนี้ พอดีวันนั้นที่ไปมีคนหนึ่งไม่สบายมาก ลุกไม่ไหว คนที่จะนอนแทนเขาก็มาไล่ให้ออกไป เขาจะนอน คนไม่สบายก็จำใจต้องลุกออกมานั่ง ซบกับเข่าเบียดอยู่ในห้อง ซึ่งแออัดมากๆ เราเห็นชีวิตของพวกเขาแล้ว ช่างน่าสงสารมากๆ

แล้วเราก็จำชีวิตที่ลำบากแบบที่ได้เห็นมานี้ได้ไม่ลืม คอยจะคิดถามตัวเองอยู่เรื่อยๆว่า เพราะอะไร เขาถึงจน ลำบากยากเข็ญอย่างนี้ ทำไมเราอยู่สุขสบายกว่าเขามากนัก ทำไมชีวิตคนเราถึงไม่เท่ากันทั้งๆที่เกิดมาในโลกนี้เหมือนกัน เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นคนเหมือนกัน มันควรต้องเท่ากันซิ แล้วทำไมมันต่างกันอย่างนี้ คนบางคนรวยจนล้นฟ้า บางคนจนแทบไม่มีข้าวกิน แม้แต่ลูกพ่อแม่เดียวกัน ที่เกิดมาจากที่เดียวกันที่เหมือนกันทุกอย่าง เลี้ยงดูแบบเดียวกันเปี๊ยบ แต่ก็รวยจนไม่เท่ากัน เพราะอะไร

ใครเป็นคนกำหนดให้มัน แตกต่างกันแบบนี้ ถ้าเราไม่คิดมันก็ไม่มีอะไร มีชีวิตผ่านๆไปวันๆ แล้วก็ตายไป ทุกอย่างก็จบ แต่ถ้าเราคิด มันก็ทำให้อยากรู้ว่าเพราะอะไร คนเราถึงเกิดมาเป็นคนเหมือนกัน ในโลกใบเดียวกัน แต่แตกต่างกันสุดขั้วโลก เรามันคนขี้สงสัย และก็สงสัยอยู่ในใจมาตลอด ไม่เคยลืมเลย

พอได้เข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ก็ไปค้นในพระไตรปิฎกบ้าง ฟังพระเทศน์บ้างเพื่อหาคำตอบให้แก่ตัวเองให้หายสงสัย จึงไปพบคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ทรงสั่งสอนไว้ว่า หนทางแห่งการได้มาของบุญ หรือ บุญกิริยาวัตถุที่สำคัญ 3 อย่าง จะมีการส่งผลดังนี้

การให้ทานแก่ผู้อื่น ทำให้มีทรัพย์สมบัติ มีบริวารสมบัติ เกิดมาจะไม่ยากจน ลำบากยากเข็ญ

การถือศีล ทำให้มีสุขภาพแข็งแรงสมบรูณ์ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ผิวพรรณผ่องใส รูปร่างหน้าตาสวยงาม อายุยืนยาว

การทำสมาธิภาวนา ทำให้มีปัญญา ฉลาด ความจำดี เรียนเก่ง

พระพุทธองค์ยังทรงบอกว่า ผลของการทำบุญนั้น ไม่มีใครจะไปกำหนดได้ว่าจะส่งผลหรือให้ผลเมื่อไหร่ จะชาตินี้หรือชาติหน้าก็บอกไม่ได้ ถึงเวลาบุญจะส่งผลของมันเอง และการทำบุญที่ถูกต้องนั้น จะต้องไม่ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อนด้วย และให้ทำบุญเต็มที่เต็มกำลังศรัทธาของตัวเอง

เราเข้าใจแล้วว่าทำไม คน 10 คนนั้น ทำไมเขาถึงลำบากยากเข็ญ ยากจนมากๆ ทั้งๆที่เป็นคนบนโลกนี้เหมือนกับเรา ก็เพราะเขาไม่ได้สั่งสมบุญบารมี โดยเฉพาะทานบารมี ติดตัวข้ามภพข้ามชาติมานั่นเอง คือทำทานมาน้อย มัวแต่ตระหนี่ ไม่ยอมให้ทานแก่ใครๆ เกิดมาเลยไม่มีทรัพย์ ทำมาหากินก็ลำบาก ไม่พบช่องทางทำมาหากินให้ร่ำรวย เพราะไม่มีทานบารมีมาส่งผล

เราพูดถึงคำสอนในศาสนาพุทธ ไม่เกี่ยวกับศาสนาอื่น ส่วนคนถือศาสนาพุทธจะเห็นแย้งก็เป็นสิทธิ์ของเขา เราเพียงแต่เอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาวิเคราะห์และศึกษาดูในข้อของการทำบุญเท่านั้น ตัวเราเชื่อในคำสอนของพระพุทธองค์ซึ่งมีทั้งเหตุและผล และทรงเป็นผู้รู้ชัด รู้แจ้ง รู้จริง เป็นผู้ตื่น และผู้เบิกบานแล้ว ไม่มีอะไรจะมาปิดบังพระพุทธองค์ได้ในอนันตจักรวาลนี้ และทรงปราศจากกิเลสใดๆทั้งสิ้นแล้ว ส่วนเรามันก็ไอ้มนุษย์ขี้เหม็น คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง ปัญญายังมีไม่ถึง เศษเสี้ยว ของพระองค์ท่าน จะไปรู้ดีกว่าพระพุทธองค์ย่อมเป็นไปไม่ได้

By love dang: แล้วถ้าทำบุญชาตินี้เยอะๆผลบุญไปสนองเอาตอนชาติหน้าแล้วเราจะรู้ได้อย่างไร แล้วไอ้คนที่สบายในชาตินี้เค้าก็ไม่รู้ว่าชาติก่อนเค้าทำบุญมาเยอะหรือเปล่า....ผมว่าถ้าจะทำบุญก็ทำบุญเพื่อความสบายใจดีกว่า

By kimeng suk: เราไม่มีทางที่จะรู้ได้เพราะเราไม่มีสิ่งวิเศษอะไรที่จะทำให้รู้ แต่พระพุทธองค์ท่านมี ท่านทรงเห็นตลอดว่า ถ้าคนเราทำแบบนี้ก็จะได้ผลแบบนี้ตามมา ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว ตอบแทนแน่นอน ปลูกกล้วยก็ต้องได้กล้วยมากิน มันจะกลายเป็นได้มะม่วงมากินไม่ได้เด็ดขาด เช่นกัน คนทำทานมา ก็จะได้รับผลที่ตัวเองทำทานนั้นตอบมาแน่นอน ถ้าตามคำสอนของพระองค์ท่านแล้ว คนที่รวยก็เพราะเขาได้ทำทานบารมีมา คนที่จนก็เพราะเขาไม่ได้ทำทานบารมีมาก่อนทางที่ดีเราก็ตั้งใจสั่งสมบุญบารมีให้มากๆ ส่วนบุญจะส่งผลเมื่อไหร่อย่างไรก็แล้วแต่มันก็แล้วกัน เพราะการสั่งสมบุญบารมีก็คือการทำความดี ย่อๆก็คือ ทำทาน ถือศีล และนั่งสมาธินั่นเอง ซึ่งให้ผลดีต่อตัวเอง และต่อผู้อื่นด้วย

By love dang: ถ้าได้ทำบุญโดยที่เราไม่ต้องการผลบุญว่าจะได้หรือไม่ได้อย่างน้อยเราก็ได้ความสบายใจครับ ไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้าหรอกครับ...คนที่จนแต่มีโอกาสได้ช่วยคนผมว่าอย่างน้อยความรู้สึกดีๆจะเกิดขึ้นกับตัวเค้านะครับ...ชาติก่อนกะชาติหน้ามันคือสิ่งที่มองไม่เห็นครับแม้แต่ตัวคุณยังตอบไม่ได้เลยว่ามีจริงหรือเปล่า

By kimeng suk: การทำบุญก็หมายถึงทำความดี ซึ่งดีทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ชีวิตคนเรา พระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนให้นั่งรอนอนรอให้บุญมาส่งผล แต่ทรงให้พยายาม ขยันหมั่นเพียรเต็มที่ ถ้ามีบุญ บุญก็จะมาส่งผลให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ถ้าไม่มีบุญ ก็เสมอตัว เอาชีวิตรอดอยู่ได้พอสบายๆ แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย นั่งงอมืองอตีน ขอให้บุญมาช่วย ความดีก็ไม่ทำ งานก็ไม่เอา อย่างนี้ บุญก็ไม่ช่วย จะมาส่งผลเรื่องชาตินี้ชาติหน้า เรายังไม่เคยเห็น แต่นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งทรงไปรู้ไปเห็นมาหมดแล้ว ถึงได้เอามาบอกเรา เป็น หนทางสู่นิพพานข้อแรกของมรรคมีองค์แปด คือ สัมมาทิฏฐิ ทรงบอกว่า ทานนั้นมีผลจริง,ชาตินี้มี,ชาติหน้ามี, พ่อแม่มีบุญคุณ, สวรรค์มี, นรกมี, และอื่นๆอีก

ฉะนั้น เท่ากับ พระพุทธองค์ ทรงบอกให้รู้ว่า จะไปนิพพานได้ต้อง มี สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นถูกก่อน เรานับถือศาสนาพุทธ ไม่เชื่อศาสดาของเราแล้วจะไปเชื่อใคร และการไปนรกสวรรค์ก็พิสูจน์ได้โดยการทำสมาธิ จนมีอภิญญาจิต ก็จะไปรู้ไปเห็นได้ มีคนมากมายที่เขาทำได้ แต่เขาไม่มาอวดให้รู้เท่านั้น

By love dang: ผมเคยได้ยินสิ่งที่คนตายแล้วฟื้นมาเล่าเกี่ยวกับสถานที่ที่ไปพบเห็นมา ผมมีความสงสัยว่าทำไมแต่ละที่ที่เค้าไปมารู้สึกไม่เหมือนเลยสักคน คือว่าถ้าสถานที่นั้นมีจริงคนที่เคยได้เห็นได้สัมผัสมาก็ต้องเห็นเหมือนกันซิ แม้แต่คนที่นั่งสมาธิขั้นสูงก็ยังเล่าไม่เหมือนกันเลย ช่วยอธิบายให้ผมหายสงสัยหน่อยครับ...แล้วอีกอย่างผมว่าคนจะรวยจะจนมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลบุญหรอกครับมันขึ้นอยู่กับผู้ที่มีอำนาจจะให้ประชาชนของตัวเองอยู่อย่างเช่นไรจะให้อยู่แบบสบายหรือลำบากก็ได้

By kimeng suk: ภพภูมิมีดังนี้ อรูปพรหม มี 6 ชั้น รูปพรหม มี 14 ชั้น สวรรค์ มี 6 ชั้น มนุษย์ มี 211 ประเทศ (ถ้าจำผิดก็ขอโทษ) สัตว์มีหลายชนิดไม่เหมือนกัน เปรต ก็มีหลายชนิด อสุรกาย สัตว์นรก ซึ่งมีถึง 457 ขุม คนตายนั้นเขาไปเห็น ภพไหน ตรงไหนค่ะ เอาแค่เห็นภพมนุษย์ 211 ประเทศก็ต่างกันสุดหล้าฟ้าดินแล้ว การที่เราจะไปเกิดตรงไหน ก็ขึ้นอยู่กับผลบุญที่เราทำมา ถ้าเรามีบุญเราก็ได้ไปเกิดในที่ๆ ผู้ปกครองของเราเป็นคนดี ถ้าบุญน้อยก็เจอแบบที่เราไม่อยากเจอ

By love dang: แล้วคุณรู้ได้ไงว่า อรูปพรหม มี 6 ชั้น รูปพรหม มี 14 ชั้น สวรรค์ มี 6 ชั้น เปรต ก็มีหลายชนิด อสุรกาย สัตว์นรก ซึ่งมีถึง 457 ขุม ถ้าคุณบอกว่าคนที่ได้อภิญญาขั้นสูงเค้าจะไม่พูดโอ้อวดกัน ถ้าคุณนั่งทางในขั้นสูงได้ คุณช่วยบอกผมหน่อยว่างวดนี้เลขอะไร สามตัวตรงเลย หุ หุ หุ ผมถึงจะเชื่อ

By kimeng suk: นี่มีอยู่ในพระไตรปิฎก ชัดเจน ไปหาอ่านดูได้ พระพุทธเจ้าทรงไปเห็นมาด้วยอำนาจอภิญญาจิตของท่านจึงเอามาเล่าให้พวกเราฟัง ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าแล้วเชื่อใครดี

By love dang: ผมอ่าน ภาษาบาลี สันสกฤต ไม่ออกครับ ไม่ใช่ไม่เชื่อนะครับ แต่บุคคลากรที่ ที่เผยแผ่ สมัยนี้ดูท่าทางเค้ายังไม่เชื่อเลยครับ มันก็เลยทำให้ผมสองจิตสองใจ อีกอย่างคำสอนของพระพุทธเจ้าก็เนิ่นนานมาถึง 2,500 กว่าปี มันจะไม่มีอะไรที่ผิดเพี้ยนไปจากของเดิมเหรอครับ เราทุกคนก็ต่างเกิดไม่ทันในสมัย พระพุทธเจ้า...ไม่ได้ลบหลู่นะครับ ผมก็นับถือศาสนาพุทธเหมือนกัน ... ขอกราบคารวะ

By kimeng suk: อย่าเลี่ยงบาลี พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยก็มี เป็นชุดๆ คุณอ่านได้สบายตา บุคคลากรที่เผยแพร่ทางพระพุทธศาสนาส่วนมาก เขาก็เชื่อในพระพุทธเจ้าทั้งนั้น มีแต่ไอ้พวกที่คิดว่า กูรู้ กูเก่งกว่าพระพุทธเจ้า เอาความคิดที่ตัวเองคิดมาบิดเบือนพุทธพจน์ พวกนี้เขาคิดเอาเอง ไม่เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า เก่งกว่าพระองค์ ซึ่งมันเป็นแค่ความรู้จากการคิดของตัวเอง เป็นแค่สุตตมยปัญญาเท่านั้น เป็นปัญญาขั้นต้น แต่พระพุทธเจ้า ได้ความรู้มาจาก ภาวนามัตยปัญญา รู้จากการภาวนาสมาธิ ซึ่งเป็นปัญญาที่สูงสุด รู้แจ้ง รู้จริงความเป็นจริงของชีวิตในจักรวาลนี้ทุกอย่าง ไม่มีอะไรปิดบังพระองค์ได้ คำสอนของพระพุทธองค์ เป็นอกาลิโก ไม่มีกาลเวลา เพราะมันเป็นความจริงของชีวิต ที่กี่ปี กี่ชาติ มันก็จะเป็นเช่นนี้ตลอดไป ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้

By love dang: แล้วคำสอนของพระพุธเจ้าอีกหลายองค์มีคำสอนแบบเดียวกันหรือเปล่า ถ้ามีแบบเดียวกันทำไมถึงต้องมีหลายพระองค์...อีกอย่างความคิดใครความคิดมัน..แล้วคุณช่วยให้ความเห็นหน่อยว่าบุญเค้าทำกันอย่างไร ช่วยผู้ตกทุกข์ได้ยากถือว่าทำบุญมั๊ย หรือว่าต้องใส่บาตรนั่งสมาธิแล้วถึงได้บุญเหรอ..ผมว่าแค่เราไม่ได้เบียดเบียนใครให้เดือดร้อนไม่ทำชั่วก็ได้บุญแล้ว...ผมเรียนมาน้อยครับความคิดผมก็เหมือนกับใจคิดอะไรก็พูดแบบนั้นไม่ใช่ว่าจะตะแบงอวดรู้

By kimeng suk: พระพุทธเจ้ามีหลายพระองค์ เพราะโลกเรามีการแตกทำลาย แล้วก่อตัวขึ้นใหม่ เรียกว่า หนึ่งมหากัป บางกัปก็มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว บางกัปก็ไม่มี กัปของเราเรียก ภัทรกัป มีพระพุทธเจ้า ห้าพระองค์ คือ กกุสันโท โกนาคม กัสสปะ สมณโคดม ศรีอาริยเมตตรัย ยุคของเราคือองค์ที่สี่ สมณโคดม

คำสอนของพระพุทธศาสนา มันเป็นคำสอนที่มาจากความจริงของชีวิตที่ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าจะกัปไหนๆ ฉะนั้นคำสอนจะคล้ายกันๆ แต่ต้องมีหลายพระองค์เพราะต่างเวลากัน คนเราไม่มีอายุยืนไปฟังพระพุทธเจ้าองค์อื่นหรอก ตายไปก่อน องค์ใหม่มาก็สอนคนที่เกิดใหม่ยุคนั้น

การทำบุญมีได้ 10 วิธี (บุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ หรือทางมาหรือการทำให้ได้แห่งบุญ 10 อย่าง) ได้แก่ การทำทาน การถือศีล การนั่งสมาธิ การประพฤติตนอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ การขวนขวายทำในสิ่งที่ชอบ การให้ส่วนบุญ การอนุโมทนาบุญ การฟังธรรม การแสดงธรรม การทำความเห็นให้ตรง (เข้าใจเรื่องบาปบุญคุณโทษ) การไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำชั่ว เป็นการถือศีล อย่างศีลห้า ไม่ฆ่า ไม่ลักขโมย ไม่ผิดลูกเมียเขา ไม่โกหก ไม่ดื่มสุรา ก็เป็นการไม่ทำชั่วพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ได้บุญในข้อสองอยู่แล้ว การทำบุญคงจะเข้าใจแล้วนะว่า ไม่ได้หมายถึงการทำทาน การให้สิ่งของอย่างที่เข้าใจอย่างเดียว มีตั้ง10 อย่างค่ะ แต่คนไทยเข้าใจผิดว่าหมายถึงการให้ทานเท่านั้น

By sri123: เพราะธรรมชาติน่ะ คนเราถึงแตกต่าง ระหว่าง จนเพราะไม่มี กับ จนเพราะไม่พอ อะไรคือความจน? ความรวยก็เหมือนกัน รวยเพราะมี หรือว่ารวยเพราะพอ คิดว่า ความเลวทั้งหลายทั้งปวง ก็เกิดเพราะความจนที่ไม่รู้จักพอนี่ละค่ะ ส่วนตัวคิดว่า เมื่อเกิดมา มีสมอง มีปัญญา มีมานะ รู้จักคำว่าพอ มีความสุขโดยง่าย แค่นี้ก็ถือว่ามีบุญแล้วค่ะ

By kimeng suk: สงสัยค่ะ คนที่เก่ง มีสมอง มีทุกอย่างแบบที่คุณว่า ทำไมไปเป็นลูกจ้างเขา ทำไมไม่เป็นเจ้าของกิจการ เช่น คนเรียนสูงเก่งๆทั้งนั้น ก็ไปเป็นลูกจ้างแบ็งค์หนึ่ง ซึ่งคนก่อตั้ง มาจากเมืองจีน ไม่มีความรู้เลย หาบตะเข่งหาซื้อของเก่า แบบตะโกนขวดมาขาย ไปรู้จักกับนักการเมืองใหญ่ ซึ่งแนะนำและหาทุนให้ตั้งแบ็งค์

อย่างที่บ้านเตี่ยมาจากเมืองจีน อ่านภาษาไทยไม่ออก จนมากๆ แต่เตี่ยโชคดี ทำให้มีเงินมาลงทุนจากการที่ไม่ถูกระเบิดแพบรรทุกสินค้าตอนสงคราม กับไม่ถูกโจรปล้นเพราะโจรมองไม่เห็นเตี่ย เตี่ยมีลูกน้องเรียนเก่ง เรียนมาสูงๆหลายคน เพราะอะไรทำให้เตี่ยโชคดี เพราะอะไรพวกนี้ถึงไม่ได้เป็นเถ้าแก่ เป็นแค่ลูกจ้าง ทั้งๆที่เก่งๆทั้งนั้น หนึ่งสมองสองมือนั้นจำเป็น นั่นคือเก่ง แต่ภาษิตจีน บอกว่า เฮงดีกว่าเก่ง ค่ะ เฮงก็คือบุญ เจ้าของบ้านจัดสรรที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไทยตอนนี้ บอกว่า เขารู้แล้วว่า ต้องมีบุญมาก่อน แล้วเก่งถึงจะส่งเสริมบุญนั้น ถ้าไม่มีบุญ เก่งอย่างไร ก็ไม่รุ่ง อย่างมากก็เสมอตัว

ความจนก็คือการไม่มีจะกิน ไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีเงินรักษาตัว นั้นคือความจนพื้นฐาน ซึ่งคนไทยเราจนแบบนี้มากจริงๆ ส่วนพวกที่มีปัจจัยพื้นฐานครบถ้วนพออยู่ได้ แต่ก็ยังไม่พอใจ อยากได้นั่นได้นี่ อยากได้รถ เสื้อผ้าสวยหรู นั่นไม่เรียกว่าจน นั่นเรียกว่าความอยาก เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง

By sri123: คือเห็นต่างเรื่องการทำบุญ คิดว่าการทำบุญ ทำทาน คือพุทธอุบายที่สอนให้คนละ ละวางน่ะค่ะ เพราะสาระหลักของศาสนา คือการสอนให้คนทำดี ละชั่ว ทำจิตใจให้สะอาด นั่นก็คือการละจากกิเลส อันทำให้เกิดทุกข์ทั้งปวง ถ้าการทำบุญเพื่อมุ่งหวังความรวย บุญในที่นี้คงจะไม่ใช่สุข เพราะทำแล้วมัวแต่คิด เพื่อความรวยในชาติหน้า มันก็เกิดทุกข์แล้วไง กิเลสทำให้ใจเศร้าหมอง แบบนั้นไม่อยากเขียนเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะความคิดคนเราต่างกัน แต่ก็ต้องเขียนเมื่ออ่านที่คุณหมอตอบ "ทำไมคนที่มีความสามารถ ถึงไม่ทำกิจการของตัวเอง ถึงต้องเป็นลูกจ้างเขา" เป็นลูกจ้าง ไม่ใช่ว่าจะไม่ดี ไม่ต้องรับความเสี่ยงอะไร ทำงานให้ได้ตามหน้าที่ .. ไม่ต้องคิดไรมากกว่างานในหน้าที่ตัวเอง แล้วก็ทำให้ดีที่สุด ความเสี่ยงมีน้อยกว่าเจ้าของกิจการเยอะค่ะ จนหรือรวย อยู่ที่ว่า เราสุขใจกับคำว่ามีแค่ไหน รวยไม่รู้จักพอ ก็ไม่ไกลกว่าคำว่าจน ใช่ไหมคะ...

By kimeng suk: ชีวิตในชาติหน้า ก็เหมือนชีวิตในชาตินี้ ซึ่งตอนหนุ่มสาว ก็ต้องขยันขันแข็ง หาเงินสะสมฝากแบ็งค์ไว้ใช้ตอนแก่ พอแก่ก็ไปเบิกใช้ได้ ถ้าไม่หาไว้ เราก็เบิกใช้ไม่ได้ เพราะไม่มี ชีวิตในชาติหน้าหลังความตายของเรา ต้องเป็นไปตามกรรมที่ตัวเองได้ทำมาตอนมีชีวิต ถ้าทำบุญไว้มากก่อนตาย คือมีบุญสั่งสมฝากธนาคารบุญไว้มาก ชีวิตหลังความตายก็ไปดี เพราะมีบุญให้เบิกใช้ ทำชั่วไว้ มีแต่บาป ตายไปบาปก็ส่งผลให้ไปไม่ดี จะเอาบุญมาช่วยก็ไม่มีเพราะไม่ได้ทำไว้

การทำบุญทำความดี ถึงจะหวังในบุญหรือไม่หวังในบุญ บุญก็จะส่งผลด้วยตัวของบุญเอง ไม่มีใครห้ามได้ มากหรือน้อยตามความบริสุทธิ์ของใจ หวังในบุญมาก ก็ได้บุญน้อยลง แต่ก็ยังได้บุญ ไม่หวังเลย ใจบริสุทธิ์ก็ได้บุญมากขึ้น แม้แต่พระพุทธเจ้า ก็ทรงหวังในบุญที่ทำ เช่นทรงเสียสละลูกเลือดในอกของตัว ให้ชูซก ก็เพื่อหวังว่าผลบุญนี้จะทรงให้บรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้า ในบางชาติก็ทรงอธิษฐานหลังทำบุญ ว่าขอให้บุญนั้นส่งผลให้ได้เป็นนั้นเป็นนี่ แล้วเราคนธรรมดา ถ้าทำบุญ ทำความดี แล้วตั้งจิตอธิษฐาน ให้บุญส่งผลตามใจปรารถนา มันเป็นเรื่องเสียหายอย่างไร เขาทำบุญทำความดี น่าจะดีกว่าพวกที่ไม่หวังในผลบุญ แต่ก็ไม่ทำบุญนะ ทำแล้วเขาก็สบายใจที่ได้ทำบุญ ใจของเขาก็ดีขึ้นกว่าพวกที่ไม่ทำนะ

สาระของศาสนาก็คือ ทำความดี นั่นก็คือการทำบุญ เพราะบุญคือผลของการกระทำความดี ถ้าไม่ทำความดีก็จะไม่มีบุญ ละชั่ว ก็คือการถือศีล เช่นศีลห้า ที่ใครทำตามก็ไม่ได้ทำความชั่วไปห้าข้อแล้ว ทำจิตใจให้สะอาด นั่นก็คือการ ทำสมาธิภาวนา เพื่อลดกิเลสในตัวลง เป็นหนทางที่จะดำเนินเข้าสู่พระนิพพานทางเดียวเท่านั้น สรุปแล้วก็คือ สาระอันแรกของศาสนาก็คือ การทำบุญ นั่นเอง

By ขุนริน สุราไว: ความจน ความรวย เขาวัดกันที่ตรงไหนครับ บางคนมีเงินเป็นสิบล้านเขายังบอกว่าเขาจนอยู่เลย บางคนถูกหวยแค่ยี่สิบบาทยังบอกว่าตัวเองรวยเลย ผมว่ามันอยู่ที่ความพอใจของแต่ละคนมากกว่านะ

By kimeng suk: อย่างที่ตอบข้างบน คนจนคือคนที่หาไม่พอสำหรับปัจจัยพื้นฐาน คือ อาหาร ยารักษาโรค เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย ส่วนคนที่มีปัจจัยพื้นฐานครบ พออยู่ได้ แต่ยังอยากได้นั่นได้นี่ ไม่มีสิ้นสุดเขา ไม่เรียกว่าคนจน คนจนถ้าหาก ชาตินี้ รู้จักทำบุญทำทานสะสมเป็นเสบียงไป ภพชาติต่อไปก็จะมีโอกาสเกิดมาไม่จน ส่วนชาตินี้ ถ้าชาติที่แล้วไม่สั่งสมทานบารมีมา ชาตินี้ขี้เกียจอีก ก็จนแน่ๆ แต่ถ้าขยัน มุมานะ ก็อยู่ได้ มีกินมีใช้ ไม่ยากจน แต่ก็ไม่รวย เพราะไม่มีทานบารมีมาส่งเสริม

By รากแก้ว: เป็นกุศโลบายให้ทุกคนทำดีเพื่อความสุขสงบในสังคม ถ้าทุกคนเชื่อและทำตามก็ดีเยี่ยมมีความสุข แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ มันมีผู้คิดต่างไป...ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วแล้วได้ดีมีทั่วไป.. ทำชั่วเลวทรามตั้งแต่เกิดผิดศีลผิดธรรมทุกข้อ เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ บางครอบครัวเลวทั้งตระกูล ยังรวยจนล้นฟ้ามีชีวิตเสพสุขเหมือนเทวดา..คนจึงไม่อยากทำดีไงล่ะ เพราะชีวิตที่เห็นจริงมันไม่ใช่ แต่อดทนทำดีต่อไปเพราะหลอกตนเองว่าชาติหน้ามีจริง เวรกรรมมีจริง..

By kimeng suk: ตะก่อนนี้ก็เคยคิดเช่นนี้ แต่เมื่อศึกษาพุทธศาสนา ลึกลงไป ก็เข้าใจคำตอบ ซึ่งสิ่งที่จะตอบนี้ อยู่ในพระไตรปิฎกทั้งสิ้น

คนที่ทำชั่วเลวทราม โกงกินเห็นกันชัดๆ ยังรวยล้นฟ้ามีหน้ามีตา อย่างนักการเมืองของเรานั้นก็เพราะผลบุญที่เขาได้ทำมาในอดีตชาติ ยังส่งผลต่อชีวิตของเขาไม่เสร็จ คือบุญของเขายังไม่หมด มันจึงส่งผลทำให้เขาทำอะไรคิดอะไรก็สำเร็จ ถ้าเขาเคยทำทานมาในชาติก่อนมาก เขาก็จะร่ำรวย แต่เมื่อ บุญหมด ซึ่งอาจจะหมดในชาตินี้ ก็จะทำให้เขาหมดเนื้อหมดตัว ยากจนลงให้เราทันเห็น แต่ถ้าเขามีบุญมากจากชาติก่อนๆ บุญจะส่งผลจนตายจากเราไม่ทันเห็น แต่เมื่อตายไป เขาก็จะได้รับผลของกรรมที่ทำไว้แน่นอน อย่างนักการเมืองคนหนึ่ง มีชื่อเสียงมาก ร่ำรวยล้นฟ้า พอบุญหมด ถูกลูกตัวเองแท้ๆ ฆ่าตาย หรือเราก็เห็นมีหลายคน ร่ำรวย อยู่ดีๆ บุญหมด ก็หมดเนื้อหมดตัว

By ลุงพร: แนวคิดของคุณหมอ ลึก และคู่ประกบไปกับพระธรรมคำสอน ปัญญา ทำให้ หายทุกข์ได้ ลูกครูบ้านนอก ยากจน แต่พ่อสอนเขาทุกวัน เขาเรียนเก่งมาก เป็นแพทย์ ทุกวันนี้ เขาสร้างบ้านให้พ่อแม่ อยู่สุขสบาย เหตุผลที่ง่ายๆคือ ปัญญา หรือ การศึกษาครับ แก้ยากจนหรือทุกข์ได้ ผมพยายามจะเสริมนะครับ คุณหมอ ไม่แย้งนะครับ ที่หมอพูด ผมเห็นด้วยหมดเลย แต่เพื่อสรุปให้ชัด ง่ายๆ

By kimeng suk: คนนี้เขาต้องทำสมาธิภาวนามาในชาติก่อน ทำให้เกิดมีปัญญาในชาตินี้ จึงสามารถเรียนหมอได้ ก็เหมือนที่บ้านมีลูก 12 คน แต่มีคนเดียวได้เรียนหมอ ทั้งๆที่ก็เกิดมาจากพ่อแม่เป้าหลอมเดียวกัน คนอื่นๆก็อยากจะเรียนหมอ แต่ไปไม่ถึงสักคน ซึ่งอดีตชาติเราต้องทำสมาธิภาวนามาก่อน ชาตินี้เราก็เป็นคนแรกในบ้านที่เข้าวัด ทำสมาธิ ทุกวันนี้ก็ทำอยู่วันละสองเวลา

By REDSuperman: ไม่รู้สินะว่า ชาติหน้า จะได้เกิดหรือเปล่า ไม่ได้นับถือพุทธ แต่ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาบ้าง สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ เราทำบุญ ทำทานก็ต่อเมื่ออยากทำ ไม่ชอบให้ใครมาบอกว่า วันนี้ต้องทำบุญ ทำทานนะ จะได้บุญมากกว่าวันธรรมดา เราไม่เชื่อ เราทำเพราะใจอยากทำใจเราก็จะเป็นสุข ทำมากทำน้อย บ่อย หรือไม่ ไม่ใช่ประเด็น มันอยู่ที่ความสุขใจหลังการทำมากกว่า นั้นแหละบุญแหละ

By kimeng suk: การทำบุญ จะได้บุญ ขึ้นอยู่กับ ตั้งใจและมีเจตนาที่จะทำ ได้บุญหนึ่งส่วน ลงมือทำ ก็ได้บุญอีกหนึ่งส่วน ตามระลึกคิดถึงการทำบุญนั้น ก็ได้บุญอีกหนึ่งส่วน ยิ่งปลื้มปีติ คิดถึงบุญนั้นบ่อยๆ ก็จะยิ่งได้บุญมากขึ้น การทำทานบุญที่ได้มาจากเจตนาที่จะให้ทานบริสุทธิ์ ของที่จะให้ทานนั้นบริสุทธิ์ ผู้รับทานของเราบริสุทธิ์ ยิ่งใจของท่านบริสุทธิ์มีกิเลสน้อยลงเท่าไหร่ ผู้ให้ทานก็จะได้บุญมากขึ้นด้วย

By หนูฮัก: มนุษย์ 10 คน ที่ท่านคุณหมอ kimeng suk ไปพบนอนกองกันในห้อง พื้นที่ 6x6 เมตร ในสลัมนั้น ภาวนาขอให้มนุษย์ทั้ง 10 คนนั้นจงเป็นคนที่ขี้เกียจ และเป็นผู้ที่มีปัญญาโง่เง่าเถิด มันขี้เกียจ ไม่ขยันเรียน มันไม่แสวงหาโรงเรียนดีๆ ครูอาจารย์ดีๆสอนมันจึงโง่ มันเป็นเรื่องของบาปบุญคุณโทษ มันเป็นเรื่องของผลกรรม ที่พวกเขาได้กระทำมา มันไม่เกี่ยวกับสังคม มันไม่เกี่ยวกับการเมืองการปกครอง มันไม่เกี่ยวกับรัฐบาล

By ภวังค์: ลูกเศรษฐีมหาเศรษฐีที่เกิดมาเขาไม่ได้สร้างทรัพย์ด้วยตัวเองเลยทำไมเขาจึงเสวยผลความสุขนั้นๆได้เล่า ก็ในเมื่อความจริงเราไม่ได้หาทรัพย์นั้นมาด้วยตัวเองแล้วเราจะไปเอาทรัพย์ผู้อื่นมาใช้เสวยสุขได้อย่างไร

By kimeng suk: ลูกเศรษฐีเกิดมาก็มีทรัพย์ ก็เพราะเขา ได้ทำทานบารมีมาในชาติก่อนๆ เมื่อเขาเกิดบุญก็ส่งผลให้ มาเกิดกับพ่อแม่ที่มีทรัพย์ เมื่อเขาเกิดมาเป็นลูก ก็มีสิทธิ์ใช้ทรัพย์ของพ่อแม่ ตามกฎของโลกนี้ใช่ไหม ถ้าเขาไม่ได้สร้างทานบารมีมาก่อน บุญก็จะไม่ส่งผลให้มาเกิดกับพ่อแม่เศรษฐีเช่นนี้ แสดงว่าเขาก็ทำมาถึงจะได้ทรัพย์ใช่ไหม ส่วนบุญจะส่งไปเกิดกับเศรษฐีคนไหน มันเป็นเรื่องของบุญจัดสรร

By อินทรีย์: ทำบุญชาตินี้เพื่อให้สบายชาติหน้า ถ้าเป็นจริง ป่านนี้คนไทยเป็นเศรษฐีเกือบทั้งประเทศแล้วครับ เพราะเมืองไทยนับถือศาสนาพุทธมาแต่โบราณ ทำบุญกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษมาบุกเบิกประเทศแล้ว แต่เกิดมาก็ยังจนชาติแล้วชาติเล่า ก็ยังทำบุญกันไม่เลิก แต่ไหงมันจนกันทั้งประเทศมีรวยเฉพาะที่สามารถเอาเปรียบคนอื่นอยู่ไม่กี่คน

By kimeng suk: เราทำบุญกันมากจริงหรือ มีกี่คนที่ทำบุญทำทาน เอาแค่ตักบาตรพระ ทั้งถนนใส่กันกี่บ้าน แล้วมันจะรวยกันทั้งประเทศได้อย่างไร คนไทยรวยๆก็มีเยอะแยะที่เขาไม่ได้โกงประเทศชาติมา พวกนี้ก็รวยเพราะบุญของเขาที่ทำมามาก ส่วนที่ยังมีคนจนเยอะ ก็เพราะ มีคนไม่ทำบุญ หรือทำบุญน้อย มาเกิดมากกว่าคนที่ทำบุญ พระพุทธเจ้า ทรงสอนว่า การทำทานจะส่งผลให้มีทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหน คำสอนนี้เป็นความจริงตลอดเวลา (ไม่ได้ว่าเอาเองนะ)

By อินทรีย์: แสดงว่ายังไม่เคยสัมผัสกับเมืองไทยแท้จริง คนไทยเขาทำบุญสุนทานกันทั้งประเทศครับ ยิ่งในชนบท พวกเขาทำบุญทั้งปีทั้งชาติ คนทำบุญในเมืองไทยมีมากกว่าคนที่ไม่ทำบุญครับ ขนาดไม่มีกินยังต้องทำบุญ เพราะการทำบุญมันฝังอยู่ในจิตใจของคนไทย ทำไมยังจนกันอยู่ละครับ

By kimeng suk: ที่เห็นทำบุญกันนะกี่วันทำครั้งหนึ่ง บางคนก็ทำแค่วันสำคัญๆ ครอบครัวหนึ่งไปทำบุญกี่คน เคยไปตามวัดต่างๆบ่อยๆเวลามีงาน งานใหญ่ๆมากันเต็มวัด เพื่อมาดูมโหรสพ ไม่เรียกว่ามาทำบุญ บางคนก็ใส่บาตรทุกวันแต่พวกนี้ ลองนับดูทั้งหมู่บ้านทำบุญทุกวันมีกี่คน

คนทำบุญมากเขาก็ได้ดีไปตามส่วนของเขา แต่มีน้อยกว่าคนทำบ้างไม่ทำบ้างหรือไม่ทำเลย ฉะนั้นในหมู่บ้าน เราถึงเห็นคนรวยซึ่งมาจากคนที่ทำบุญมาก น้อยกว่าคนพอมีหรือคนจน ทำบุญก็ย่อมได้บุญมากน้อยตามที่ตัวเองทำ แต่ขณะเดียวกัน ทุกวันที่เรามีชีวิตอยู่ แม้จะตายไปแล้ว เราก็ใช้บุญอยู่ทุกขณะจิต บุญก็เหมือนน้ำมัน ใช้ไปๆก็หมด ทำบุญไว้ไม่มาก มันก็หมดไป เมื่อบุญส่งผลก็เหลือเท่าที่เราเป็นเราเห็น

ส่วนต่างชาติ พวกฝรั่ง คุณอย่าคิดว่าเขาไม่ทำบุญนะ เขาทำทานสงเคราะห์คนกัน ไม่ได้ทำกับพระ ใครนับถือศาสนาไหน ถ้าเสียสละทรัพย์ออกมาก็ได้บุญแล้ว บุญไม่จำกัดชาติภาษา ฝรั่งเขาทำทานมากนะ เขาทำสม่ำเสมอ โดยที่ตัดออกมาจากเงินเดือนเลย ใครเป็นสมาชิกของโบสถ์ไหน ก็จะไปทำสัญญาให้โบสถ์ตัด 10%ของเงินเดือนจากต้นสังกัดที่ทำงานเลย แต่เขาไม่มาทำตามกำลังศรัทธาแบบบ้านเรา เวลาไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์เขาก็บริจาคอีก ฝรั่งบริจาคทำบุญให้โบสถ์มากกว่าคนไทยนะ เขาไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ คนไทยไม่ค่อยไปวัด ยิ่งเดี๋ยวนี้ ยิ่งแทบไม่ไปกันเลย

By อินทรีย์: โบสถ์เขาก็ต้องมีค่าใช้จ่ายนะครับ ค่าน้ำค่าไฟแถมเมืองนอกคงแพงบรรลัย ค่าตัวบาทหลวง สาธุคุณที่มาเทศน์ ค่าจ้างนักเปียโน ค่ากินค่าอยู่บาทหลวงจิปาถะ

มีเรื่องเล่าว่า มีชายคนหนึ่งท่าทางภูมิฐานเข้าไปคุยกะบาทหลวงผู้ดูแลโบสถ์ หลังจากนั้น หลวงพ่อก็ออกมาเทศน์ตามปกติ ชาวบ้านก็สงสัยว่าชายคนดังกล่าวมาพูดอะไรก็หลวงพ่อ หลวงพ่อก็เล่าให้ฟังว่า เขาเป็นเจ้าของบริษัทน้ำอัดลม จะมาเสนอเงินให้ปีละล้าน แต่หลวงพ่อปฏิเสธเขาไป ชาวบ้านต่างสงสัยทำไมหลวงพ่อไม่ยอมรับ หลวงพ่อก็บอกว่า "มันให้หลวงพ่อ เปลี่ยนคำลงท้ายตอนเทศน์จบ จากอาเมน เป็น ต้องโค๊กซิ น่ะโยม"

By kimeng suk: วัดก็ต้องมีค่าใช้จ่ายนะค่ะ ค่าน้ำค่าไฟก็มีค่ะ แต่ของไทยใช้วิธีบอกบุญ ให้ทำตามกำลังศรัทธา ไม่ศรัทธาก็ไม่ต้องทำ ฝรั่งหักบัญชี กันเบี้ยวเลย สัญญาแล้วต้องทำ พี่เขยไปเป็นคริสต์ เล่าว่า เขาเล่นถามการสมัครใจบริจาค ต่อหน้าคนเยอะๆ ไม่กล้าปฏิเสธ 10%ของเงินเดือนทุกเดือน เยอะนะ คนสมัครใจจริงๆจะมีกี่คนสงสัยอยู่

By ภวังค์: เมื่อท่านประกอบอาชีพเลี้ยงตัวกันแล้ว ทำการงานที่ดีไม่ใช่จี้ปล้นโกงเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ชีวิตท่านมีสุขดีมิใช่หรือ ทรัพย์ที่ได้มากน้อยแตกต่างกันตามกำลังกาย กำลังสติปัญญา ใช้จ่ายไปในแต่ละวันมากน้อยต่างกันตามกำลังของตัว ที่เหลือฝากเก็บไว้ที่ธนาคาร ทำเช่นนี้จนตลอดชีวิต วันที่เลยวัยทำงาน เงินทองที่เก็บงำไว้ก็นำออกมาใช้เมื่อมีความต้องการใช้ เปรียบอย่างนี้เหมือนคนที่ทำบุญทำทานมาในอดีตทุกภพทุกชาติ เมื่อมาชาตินี้บุญที่เคยทำไว้ย่อมมาส่งผลให้ชีวิตในชาตินี้มีกินมีใช้ไม่เดือดร้อนเช่นเดียวกับการถอนเงินที่ฝากไว้มาใช้ในชีวิตประจำวัน

ทรัพย์นั้นหามาได้ด้วยตัวเองอย่างบริสุทธิ์มีมากจนร่ำรวยทรัพย์นั้นเกิดจากความเพียรในปัจจุบันและผลของบุญในอดีตที่ทำมาก่อน ทรัพย์ที่คนอื่นศรัทธาแล้วทำบุญให้ทางวัด ผู้ปกครองวัดย่อมใช้ทรัพย์นั้นได้เมื่อทำด้วยความถูกต้องบริสุทธิ์ยุติธรรม

By ลุงพร: คนที่ไม่เผชิญเคราะห์กรรมหนักๆ มักไม่รู้จัก การทำประกันสุขภาพ ถ้าไม่เคย อัดกับสิบล้อ ยุบครึ่งคัน มักไม่ยอมทำ ประกันชั้น1 คนที่ไม่เฉียดตาย ต้องนอนโรงบาลสักเดือนเต็ม มักไม่เข้าใจ การเข้าวัดทำบุญ ลองตรองดูนะครับ มันจะเข้าใจเองแหละ พอท่านเจอกับตัวเอง เชื่อผมเถอะ ศาสนาสอนให้เป็นคนดี การไปวัดทำบุญ เป็นสิ่งดี วัดใด ไม่สำคัญดอก ทำไปเถอะ ครับ ได้บุญ

วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

87 ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมเป็นหมอทำแท้ง

@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
@ เข้าครัว...ทำกับข้าวคลายเครียด!! ผมทำได้ คุณก็ทำได้ครับ
@ 54... "นายกฯปู" สวมชุดนักบินเหินฟ้าชมการใช้กำลังทางอากาศ
@ สถานีรถไฟจีน แล้วลองย้อนมาดูเรา...
@ เรื่อง... ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112
@ "วรเจตน์" ฝ่าศึกสหบาทา: ร้องว่าผมเนรคุณ แต่คุณยืนให้สูงเพื่อบอกว่าจงรักภักดี โดยเหยียบหัวผมขึ้นไป
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ ชุดที่1
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน เวียดนาม ชุดที่2
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน สิงคโปร์ ชุดที่3
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน อินเดีย ชุดที่4
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ฟิลิปปินส์ ชุดที่5
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ร่วมประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ ชุดที่6
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน มาเลเซีย ชุดที่7
@ 81 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือนกองทัพไทย
@ ภาพชุดงานสโมสรสันนิบาต วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5ธ.ค.2554

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...


ขอขอบคุณและขออนุญาตคุณ kimeng suk นำข้อเขียนของท่านมาลงไว้เว็บนี้นะครับ


ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมเป็นหมอทำแท้ง
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค

ตอนที่1 "ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา"
ตอนที่2 "คนไข้คนแรกของหมอใหม่หมาดๆ"
ตอนที่3 "ผีหลอกหมอ"
ตอนที่4 "อะไรทำให้ รวยและ รวย จากคนจนสุดๆกลายเป็นเศรษฐีใหญ่"
ตอนที่5 "ถูกพ่อดูถูกถึงได้เป็นหมอ"
ตอนที่7 "ทำไมถึงจนอย่างนี้"
ตอนที่8 "อีแปะมันหด-อัศจรรย์ปาฏิหาริย์-โด่ไม่รู้ล้ม"

ต้องขอบอกก่อนว่าเจตนาที่เขียนเรื่องมาลงในประชาทอล์ค ไม่ได้มีเจตนามาโฆษณาเผยแพร่ตัวเอง และมาชักชวนใครเข้าวัดตาม แต่เขียนเพราะชอบเขียนหนังสือ และอยากให้คนรุ่นหลังได้รู้แง่มุมชีวิตที่คนรุ่นหลังไม่มี ใครอ่านแล้ว อาจจะได้คิดบางอย่าง แล้วนำไปปรับปรุงชีวิตตัวเองได้ ก็เป็นกุศลสำหรับเราเองด้วย แต่ถ้าท่านใดเห็นว่า ไม่น่าเอามาลงในประชาทอล์ค ด้วยสาเหตุอะไรก็ได้ก็บอกมาเลยค่ะ จะได้หยุดการเขียน ไปทำอย่างอื่นต่อ ขอบคุณค่ะ

เราและสามีเป็นแฟนกันตั้งแต่ยังเรียนแพทย์อยู่ พอจบแพทย์ฝึกหัดก็แต่งงานกัน หลังแต่งงานก็พากันไปเช่าห้องแถวเปิดคลินิก โดยอาศัยอยู่ชั้นบน เปิดคลินิกตอนเย็น และเสาร์อาทิตย์ โดยมีน้องๆสามีที่มาเรียนในกรุงเทพ 2-3 คนอาศัยและช่วยทำงานอยู่ด้วย สามีมีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 13 คน เขาเป็นพี่คนโต เรามี 12 คนเราเป็นคนกลาง เดี๋ยวนี้ถ้าใครมีลูกเป็นโหลๆแบบนี้ พ่อแม่ต้องมีหุ่นที่ผอมมาก ผอมแบบคนยิวที่ถูกฮิตเล่อร์จับขังสมัยสงครามโลกครั้งที่สองแน่นอน เพราะลูกมันช่วยกันแดกหมด

ตอนกลางวันเราทั้งสองไปทำงานและเรียนต่อ โดยเราเรียนทางกุมารเวชศาสตร์ หรือหมอเด็ก ส่วนสามีเรียนทางสูตินรีเวชศาสตร์ หรือหมอทำคลอด ตอนนั้นได้รับเงินเดือน 1,300 บาทถ้วน ไม่มีค่าอยู่เวร ค่าอะไรต่ออะไรแบบสมัยนี้ เงินไม่พอใช้ ต้องผ่อนรถ ผ่อนตู้เย็น ค่าโน่นค่านี่ และส่งน้องเรียนหลายคน ถ้าไม่มีรายได้จากการเปิดคลินิกมาช่วยก็คงจะลำบากบ้างเพราะตั้งครอบครัวใหม่ ไอ้นั่นก็ไม่มีไอ้นี่ก็ขาด ก็ต้องชื้อ ไม่มีเงินแล้วทำยังไง ก็ต้องผ่อนๆๆๆๆๆๆๆ

ตอนที่เรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นแพทย์ประจำบ้าน งานหนัก อยู่เวรบ่อยๆ แต่ก็พอทนได้ มีอาจารย์ รุ่นพี่ รุ่นน้อง ช่วยกันทำงาน มีเพื่อนมีฝูง ทำให้สนุกสนานกันมากกว่าเครียด หรือหนัก พอเรียนจบ เราก็ได้รับวุฒิบัตรเป็นผู้ชำนาญทั้งคู่ และก็ย้ายไปอยู่ที่โรงพยาบาลใหญ่ในต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง เงินเดือนเพิ่มเป็น 3,000 บาท

เราเปิดคลินิกขึ้นในเมือง เรารักษาเด็ก สามีรักษาผ่าตัดโรคสตรีและรับฝากครรภ์ โดยตกลงกันว่าไม่รับทำแท้งเด็ดขาด ถึงจะจนไม่รวยอย่างหมอคนอื่นที่เขาทำเขา มีเงินฝากเป็นร้อยๆล้าน เราทั้งสองก็จะไม่ยอมทำ จะจนก๋อกก๋อย ขี่รถเก่าๆโทรมๆ ถึงจะไม่มีเงินไม่มีบ้านของตัวเอง ก็จะไม่ทำแท้ง ชีวิตนี้จะจนเพราะไม่ทำแท้งก็ให้มันรู้ไปแหละ พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายของเราก็สั่งห้ามทำแท้งไว้เด็ดขาด

เชื่อไหม แต่ละวันมีคนเดินเข้ามาขอทำแท้ง ไม่ต่ำกว่าวันละ 10 บางวันถึง 20 คนเพราะสามีเป็นแพทย์ทางนี้ รายหนึ่งคิดอย่างต่ำ 5,000 บาท วันละ 50,000 บาท ปีละเกือบ 20 ล้าน 30 ปีก็เกือบ 600 ล้าน โอ๋ย ช่างเป็นตัวเลขที่น่ารักมากๆนี่ขนาดคิดต่ำสุดแล้วนา แต่ไม่เอาไม่ทำ มากแค่ไหนก็ไม่ทำ ต้องทำใจแข็งมากต่อความอยากได้ เพราะเราก็ยังจน เงินไม่ค่อยจะพอใช้ส่งน้องเรียนทีเดียว 10 คน

ทำแท้งก็ง่ายนิดเดียว สิบนาทีก็เสร็จง่ายจะตาย สิบนาทีได้ 5,000 น่าคิดนะ ตรวจคนไข้คนหนึ่งคุยเป็นชั่วโมง ได้กำไรร้อยกว่าบาท แต่เราไม่เอา เรากลัวบาป กลัวไปตกนรก กลัวใจตัวเองจะเศร้าหมอง ไม่มีความสุข เมื่อคิดขึ้นเรื่องนี้ขึ้นมาครั้งใด เลยตกลงกันว่าเราจะทำมากินสุจริต รักษาได้ก็บอกได้ รักษาไม่ได้ก็บอกไม่ได้ ใครชอบเราก็มาไม่ชอบเราก็ไม่ต้องมา ได้เท่าไหร่เอาเท่านั้นพอ

แต่เชื่อไหม ยังมีคนไข้มาหลอกให้สามีทำแท้งให้โดยไม่เจตนา คนไข้เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง มาตรวจบอกว่าประจำเดือนมาปรกติดีเหมือนทุกๆครั้ง เพิ่งหมด 3 วัน จะมาใส่ห่วง สามีก็เชื่อว่าประจำเดือนเพิ่งหมด ก็ยังไม่ท้องแน่ๆ คลำหน้าท้องมดลูกก็ไม่โต ก็เลยใช้ห่วงให้

ก็เรียบร้อยโรงเรียนจีน อีกวันก็ตกเลือด ต้องขูดมดลูกให้ เขาขาดประจำเดือน ท้องมาได้เดือนกว่า ตรวจปัสสาวะรู้ว่าท้อง เธอพอมีความรู้ เลยมาโกหกหมอ หลอกให้ทำแท้งให้ สามีโกรธมากตั้งแต่นั้นมา ต้องตรวจปัสสาวะทุกรายที่จะใส่ห่วง และก็เลิกรับใส่ห่วงในที่สุด กลัวถูกหลอกวิธีอื่นอีก ได้ไม่คุ้มเสีย บางครั้งก็มีหมอด้วยกัน มาขอให้ทำแท้งคนรู้จักกับเขามาขอร้องแกมบังคับให้ทำแท้ง เสนอเงินเป็นหมื่นๆให้ สามีก็ปฏิเสธ ไม่ยอมทำ

สามีรับทำคลอด รับฝากและตรวจการตั้งครรภ์ที่คลินิก เวลาคลอดคนไข้ก็ไปคลอดที่โรงพยาบาล พยาบาลก็จะรายงานและตามหมอเมื่อคนไข้มีปัญหาหรือใกล้คลอด (ธรรมดาพยาบาลมีหน้าที่ทำคลอดในรายที่คลอดปรกติ ไม่ใช่หน้าที่ของหมอ ถ้าผิดปรกติถึงจะรายงานแพทย์) สามีเป็นคนนอนขี้เซา ตื่นแล้วจะงัวเงียอยู่พักหนึ่ง ดูแล้วเขาทรมานมากถ้าถูกปลุกตอนดึกๆ

ครั้งหนึ่งถูกตามกลางดึก เขาก็ลุกขึ้น ล้างหน้าล้างตา แต่งตัวออกไปทำคลอด เราก็หลับต่อ ซักพักเสียงโทรศัพท์ดังอีกบอกว่าหมอไปไหน คนไข้จะคลอดแล้ว หัวเด็กจะออกมาแล้ว เราก็บอกว่าเขาไปแล้วนี่ แต่ได้ยินเสียงเบาๆดังมาจากชั้นล่างว่าอยู่นี่ เราก็รีบออกมาดู ปรากฏว่า นอนแอ้งแม้งอยู่ที่เชิงกะได ตกกะไดลงมาสิบขั้น ลุกไม่ขึ้น เจ็บมาก กลายเป็นหมอขาเป๋ไปหลายวัน ดีว่าขาไม่หัก

ค่ารับทำคลอด เขาก็คิดแค่ 500 บาท ไม่เก็บเงินก่อน คลอดแล้วค่อยใส่ซองมาให้ ซึ่งที่อื่นเขาต้องใส่ซองให้ไว้ก่อนจะคลอด ปรากฏว่าถูกชักดาบเกินครึ่ง บางคนก็จ่ายค่าทำคลอด ด้วยทุเรียน ครึ่งลูก คือจะให้ทั้งลูก ตัวเองก็อยากกินเลยแบ่งกินเสียก่อนครึ่งลูกจะให้หมอหมดก็เสียดาย บางคนก็จ่ายด้วยฟักทองสองลูก บางคนชักดาบคนแรก คนที่สองก็ทำหน้าตายมาอีก แล้วก็ชักดาบอีก สามีก็รู้แต่ก็ทำให้ บางคนชักดาบค่าทำคลอดไปแล้ว ก็ไม่ทักไม่ทายหมอ และไม่มารักษาที่คลินิกต่อไป

สามีบอกว่าไม่สบายใจที่เวลาไปดูคนไข้ของตัวเองแล้วไม่ได้ดูคนไข้ของหมออื่นด้วย เพราะเวลาเราไปดูคนไข้ของเรา คนไข้เตียงอื่นๆก็อยากจะให้หมอดูด้วย แต่เราไปยุ่งเกี่ยวกับคนไข้ของหมออื่นไม่ได้ เท่ากับไปก้าวล่วงการรักษาของเขา จะทะเลาะกัน อย่างมากก็แค่ทักทายคนไข้ได้เท่านั้น ยกเว้นกรณีฉุกเฉิน

เราก็เลยตกลงกันว่าไม่รับฝากทำคลอดพิเศษส่วนตัว ตรวจแต่คนไข้ทั่วไป คนไข้เด็ก และผ่าตัดทางนรีเวชก็พอ ได้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น ชีวิตสามีก็เลยสบายขึ้น ไม่ต้องถูกปลุกกลางคืนบ่อยๆอีก เดี๋ยวนี้ ไม่รับผ่าตัด ตรวจแต่คนไข้โรคทั่วไป งานเบาๆสบายๆตรวจวันละ 4 ชั่วโมงก็หยุด มีรายได้พอกินพอใช้ ไม่รวยแต่ก็ไม่ถึงกับจน หมดหนี้หมดสิน ทำคลินิกเพื่อหาเงินใช้จ่ายรายวัน และก็แก้เหงาไปด้วย แม้ไม่มีเงินเหมือนเพื่อนๆ เราก็มีความสุขตามประสาของเรา ไปวัด ถือศีลห้า นั่งสมาธิทุกวัน พระลูกชายก็เอาบุญมาฝากทุกๆวัน พอใจแล้ว

By เดฟ: ชาวบ้านเขาบอกกันว่าหมอทุกวันนี้หน้าเงิน จริงเปล่าครับ

By kimeng suk: ไม่ทราบเรื่องหมออื่นๆ แต่เอาตัวอย่างของเรานะ เมื่อจบใหม่ๆ เราไม่มีเงิน ถึงแม้ทางบ้านเราจะรวย แต่เราก็ไม่ได้ขอ หาเงินเอง เรามีความรู้สึกอยากมีเงิน ไปซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อนั่นซื้อนี่ เห็นรุ่นพี่รวยๆแล้วก็อิจฉา อยากเป็นแบบนั้นบ้าง

เลยมุมานะเปิดคลินิก เจอคนไข้ที่เราสมารถหลอกเอาเงิน ยังโง้นยังงี้ได้ ใจหนึ่งก็บอกว่าได้เงินเยอะนะ แต่อีกใจก็บอกว่ามันเป็นบาป หลวงพ่อก็พรำสอนไม่ให้ทำผิดศีล สุดท้ายเราก็ระงับความยากได้ ไม่ทำอะไรที่ไม่ดีต่อคนไข้ แล้วภายหลังเรากับสามีพูดกันบ่อยๆว่าเรา ไม่มีแผลในการทำคลินิก เราทั้งคู่รู้สึกพูมใจมาก มีความสุขใจ จนก็ไม่ว่า

ที่คลินิกของเรา คนไข้มาต้องจ่ายค่ายา ค่าลงทุน และค่าแรงงานของเรา ในราคาที่คนไข้รับได้ ไม่บ่น เราอยู่ได้ ถ้าไม่มีเงินใครกล้าบอกเรา เราก็ลดให้หรือฟรี พระ เณร ชี ฟรี แพงแค่ไหนก็ฟรี บางครั้งพระเต็มคลินิก เราก็ฟรีถวายท่านเอาบุญ หลวงพ่อสอนเราว่า รักษาพระ เณร เท่ากับต่ออายุพระพุทธศาสนาไปด้วย

By sri123: เห็นว่า ถ้าคนเรา ยินดีในสิ่งที่ตนได้ พอใจในสิ่งที่ตนมี ก็ถือว่าเป็นคนโชคดีแล้ว ความสุขเนี่ย มีเงินมากมายก็ซื้อคำนี้ไม่ได้ ถ้าเราอยากได้ก็ต้องสร้างเอง และความไม่มีหนี้เนี่ยก็เป็นความสุขอย่างนึงเหมือนกันนะคะ ...

By joojee1: การทำแท้งหลบซ่อน มันก็ทารุณ นะ เคยมีเพื่อนที่ตกเลือดเกือบตาย เป็นการทำแท้งจากผู้ไม่ใช่หมอ ไม่มีคำตอบสำหรับเมืองพุทธ

By kimeng suk: อันตรายมาก ถ้าคนทำแท้งไม่มีความรู้ เวลาติดเชื้อแล้วรักษาไม่ค่อยทัน มักเสียชีวิต หรือติดเชื้อบาดทะยัก หรืออย่างน้อยๆก็ตัดมดลูกทิ้ง

เคยผ่าศพคนทำแท้งแล้วติดเชื้อตาย พอลงมีดเปิดหน้าท้อง เราเป็นลม หน้ามืด ล้มลงเลย เพราะกลิ่นมันเหม็นมากพุ่งเข้าปะทะหน้าเราเต็มที่ เหม็นที่สุดในชีวิต ยังจำกลิ่นนี้ๆได้ติดจมูกจนเดี๋ยวนี้

By ตัวเล็ก: ขอความรู้หน่อยค่ะ ถ้าไม่ไปทำแท้งเถื่อน ซึ่งอันตราย แล้วต้องไปที่ไหนคะ ในกรณีที่ไม่พร้อมหรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าคนที่มีปัญหาพวกนี้ควรทำอย่างไรคะ

By เดฟ: ตัวเล็กถ้าตัวเองท้องไม่มีใครรับเป็นพ่อเด็กก็อย่าไปทำแท้งเลยนะ มันบาป สงสารเด็กเถิด ให้เรารับเป็นพ่อเด็กแทนก็ได้นะตัวเล็ก อย่าทำบาปเลยเราขอร้องละ...

By ตัวเล็ก: ไม่ได้ท้องคร๊าบบบบบบ แหมเนาะ แค่อยากรู้ว่าถ้าเกิดมีปัญหาแล้วไม่สามารถเอาไว้ได้เราจะต้องทำยังไง อ้อ ไม่ต้องบอกว่าทำไมไม่ป้องกันน๊า อยากรู้แค่ว่าควรทำยังไงถ้าไม่ไปที่คลินิกเถื่อน มีตัวเลือกที่ดีกว่านี้ไหม

By kimeng suk: บอกไม่ได้ค่ะ บอกก็เท่ากับส่งเสริม ได้รับบาปเท่าๆกัน มันมีทางแก้ปัญหาค่ะ อย่างเช่น ท้องตอนเรียน เคยมาปรึกษารายหลาย สามีแนะนำให้ยอมรับกับพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย และให้ฝ่ายหญิงหยุดการเรียน จนกว่าจะคลอด แล้วย้ายโรงเรียนใหม่ หรือถ้ามหาวิทยาลัยก็กลับไปเรียนต่อได้จนจบ

เคยแนะนำไปคู่หนึ่ง ให้ฝ่ายหญิงหยุดเรียน รอคลอด เขาหายไปเลยหลังแนะนำ พอเราย้ายมาอยู่ที่ต่างจังหวัด เขาเอาลูกมารักษา พอเห็นสามีเรา เขาดีใจใหญ่ บอกว่านี่ลูกคุณหมอที่ห้ามทำแท้งไว้ ตอนอยู่กรุงเทพฯ เขาตั้งชื่อเหมือนชื่อสามีเลย ตอนนี้โตแล้ว สิบกว่าปี เราฟังแล้วเป็นปลื้มสุด

ถ้าเป็นแม่บ้านแล้วท้อง คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทำลายชีวิตของลูกคุณ เขาได้โอกาสมาเกิดเป็นคนซึ่งยากมาก คุณก็เอาสิทธิ์อะไรไปทำลายเขา เขามาเกิดแล้วมีวิญญาณมีชีวิตจิตใจเท่ากับคุณ คุณไม่สงสารเขาหรือ

การทำแท้งคือการทารุณที่สุด ถ้าใช้เครื่องดูดออก เขาก็เจ็บปวดมาก ถูกดูดถูกกด ถูกฉีกจนเป็นก้อนเล็ก หรือถ้าใช้วิธีขูดออกก็ขูดออกมาเป็นชิ้นเล็กๆ ตัดออกที่ละน้อยๆ เด็กจะเจ็บปวดแค่ไหน ถึงจะเล็กยังไรเขาก็มีความรู้สึก เป็นเราโดนเข้าจะรู้สึกอย่างไร

เรามักจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าไม่พร้อม ยังโง้นยังงี้ เมื่อทำให้เขาเกิดมาเราต้องรับผิดชอบ จะเอาแต่สนุกอย่างเดียวไม่ได้ เพียงแต่เรามักจะเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ปัญญาหาของเราเองฝ่ายเดียว ทำไมไม่คิดว่า เมื่อท้องเขาแล้ว ปล่อยเขาออกมา มีปัญหาก็สู้แก้ไขปัญหาเอา มันคงไม่ถึงกับทำให้เราตายเพราะปัญหามีลูกเพิ่มอีกคนละมัง ถ้าใจสู้มีเมตตาต่อลูก เราก็ชนะค่ะ

By ตัวเล็ก: ถ้างั้นแสดงว่าคนที่มาหาคุณหมอวันละ 10 - 20 คนนั้น เขาก็มีทางแก้ปัญหากันทุกคนใช่ไหมคะ แล้วถ้าเขาไม่มีทางแก้เขาทำยังไงกันคะ

By kimeng suk: คนไหนเชื่อเขาก็ทำตาม เราไปบังคับเขาไม่ได้ ถ้าเขาจะทำแท้งเขาก็ต้องไปดิ้นรนเอง ไม่ใช่หน้าที่หมอที่จะเรียนมาฆ่าคน เราเรียนมาช่วยคน

แต่ถ้าคุณจะดิ้นรนเอง ไปทำเองก็เป็นสิทธิ์ของคุณ แต่จะมาว่าหมอใจดำไม่ได้ เรื่องอะไรเอาเรื่องเดือดร้อนของตัวโยนมาตกที่หมอ

คุณรู้ไหม เกิดอะไรขึ้นกับหมอที่ทำแท้ง ได้เงิน 5,000-10,000 บาท แต่ถ้าถูกจับได้หมดอนาคต ติดคุก หมดชื่อเสียง ถูกยึดใบประกอบโรคศิลป์ เป็นหมอไม่ได้อีก แล้วคนไข้มารับผิดชอบหมอไหม หนังสือพิมพ์ก็ลงบ่อยๆ ไม่ใช่ไม่มีความผิด

หมอคนที่ทำแท้ง ภาวะจิตใจเสีย มองหน้าคนไม่เต็มตา ยิ่งแก่ยิ่งนึกถึงความผิดนี้ หนีไปไหนก็ไม่ได้ คิดถึงความผิดอันนี้ตลอดเวลา มันหลอนอยู่ในใจ เป็นความทุกข์ใจที่ใครก็ช่วยไม่ได้เสียด้วย เคยเห็นมาแล้วหลายคน

ตายแล้ว ไปตกนรกขุมหนึ่งแน่นอน ตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ทำกรรมปาณาติบาต

ถ้าเป็นหมอลูกของคุณ รู้ว่าถ้าทำลูกต้องโดนแบบนี้ ยังจะให้ช่วยทำแท้งให้คนไข้ไหม ถ้าจะทำก็ไปหาหมอคนอื่นที่เขาเต็มใจ ไม่กลัว อยากได้เงิน ทำให้

By boy: ไปที่นี่เลย ปลอดภัย ตำรวจไม่จับ http://www.clinicrak.com/lady/abort_qna.shtml บอกชัดๆเลยก็ได้ เลขที่ 8 สุขุมวิท 12 เป็นของ มีชัย วีระไวทยะ

By ตัวเล็ก: ขอบคุณค่ะก็มีนี่นา แต่ทำไมคนชอบทำแท้งเถื่อนกันหว่า

By Spy: ใครคิดจะทำแท้ง ถ้าไม่เดือดร้อนมากจริงๆ อยากให้คิดหลายๆตลบ และลองไปดูที่ http://www.justthefacts.org/continue.asp มีรูปที่เห็นแล้ว อึ้ง อยู่หลายรูป




ชีวิตที่ไร้เป้าหมาย
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค

เรื่องนี้เขียนขึ้นจากชีวิตจริงของน้องชายแท้ๆของเรา ซึ่งคนสมัยนี้ก็มีวิถีชีวิตแบบน้องชายของเรา ตอนหนุ่มๆผลของการดำเนินชีวิตแบบนี้ยังไม่เห็น แต่เมื่อแก่ตัวลง รู้สึกตัวเห็นผลของมันก็แก้ไขอะไรไม่ได้ ได้แต่เสียใจ และเสียใจ

น้องชายของเราคนหนึ่ง ขณะนี้อายุ ประมาณ เกือบ 60 ปี เมื่อไม่นานมานี้เขาได้มานั่งคุยกับเรา คุยไปก็น้ำตาไหลไป บอกว่า เขาเสียใจมากที่ ชีวิตที่ผ่านมาของเขา ไม่ได้ทำความดี ไม่ได้ตั้งเป้าหมายของชีวิตไว้ ปล่อยชีวิตให้ลอยไปเรื่อยๆเหมือนสายน้ำ ไปเจอสวะหรือหมาเน่าในแม่น้ำ ก็คว้าไว้ คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ตั้งเป้าหมายให้ชีวิตของตัวเองยังไม่พอ ลูกสองคนก็ไม่ได้สอนให้เป็นคนดี และสอนให้พวกเขาตั้งเป้าของชีวิตไว้เลย ทั้งชีวิตของเขาและของลูกถึงพังไม่เป็นท่า

น้องชายคนนี้เป็นลูกชายคนที่ 4 ของเตี่ย ซึ่งมีลูกทั้งหมด 15 คน เป็นผู้ชาย 5 คน เขาเป็นคนขี้โมโห ชอบเถียงเอาชนะ ดื้อ แต่เป็นคนพื้นฐานใจดี รักพี่น้อง ใครใช้ให้ทำอะไรก็ช่วยด้วยความเต็มใจ ชอบครบเพื่อนไม่ถึงกับเกเร แต่ก็ไม่เอาถ่าน ไม่ชอบเรียนหนังสือ บอกว่าไม่รู้จะเรียนไปทำไม บ้านเราก็รวยแล้ว จบอะไรก็กลับมาทำงานบ้านได้ เขาเลยไม่สนใจการเรียน แต่ก็สอบพอผ่านได้

พอจบมัธยมปลาย สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ เตี่ยก็ส่งไปอยู่กับพี่สาวที่อเมริกา ไปเรียนจบปริญญาตรี วิศวกรโรงงาน ก็กลับมาช่วยงานที่บ้าน ซึ่งมีโรงเลื่อย โดยไม่มีความคิดจะออกไปหางานที่อื่นทำเพื่อตั้งตัวเอง ทั้งๆที่ๆบ้านมีพี่มีน้องกลับมาช่วยงานหลายคนแล้ว

เขามีหน้าที่ต้องออกป่าไปควบคุมการตัดไม้ ทำให้เขามีโอกาสไปคบคนพาล ซึ่งก็คือลูกน้องของเขา พวกนี้ชอบกินเหล้า เย็นมาก็ตั้งวงเหล้ากันทุกวัน จนกลายเป็นคนติดเหล้าอย่างหนัก ลูกน้องก็ประจบประแจงจะได้กินเหล้าฟรี เชื่อไหมเขาตั้งร้านขายอาหาร เขาและลูกน้อง ตั้งวงกินเหล้าจนร้านอาหารของเขาเจ๊ง เขาเป็นคนที่ ไม่ว่า ใครจะเตือนเรื่องกินเหล้ามากไป เขาอย่างไรก็ไม่ฟัง แถมยังบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ ห้ามกินเหล้าอีกแนะ

ติดเหล้าแล้วยังไม่พอยังเจ้าชู้ มีเมียมาก โดยไม่ได้เข้าพิธีแต่งงานตามประเพณีซักคน เขาเลือกเมียเพราะความสวยอย่างเดียว พอใจเป็นเอามาทำเมีย ที่เห็นเป็นตัวเป็นตนมี 3 คน พอมีลูกพ่อก็ไม่ได้ดูแล มัวทำงาน เมาเหล้า เจ้าชู้ ทะเลาะกับเมียๆเป็นประจำ ด่าเมีย เมียก็ด่าตอบ ด่ากันไปด่ากันมา เมียๆก็ทะเลาะกันเองอีก สรุปแล้วไม่ว่าจะเป็นบ้านเมียไหน ทุกบ้านต่างก็ไม่มีความสุข

ไม่มีใครสนใจความรู้สึกของลูกๆ จนสุดท้ายลูกคนหนึ่งเป็นโรคซึมเศร้าอย่างแรง อีกคนก็เอาดีไม่ได้ ขี้เกียจ ตื่นสาย ทำงานอะไรก็ไม่เอาจริง แต่งงานก็ต้องหย่า ทำงานไม่เป็นโล้เป็นพาย ยังดีที่ลูกจากเมียคนสุดท้าย เขาค่อนข้างให้ความสนใจ และดูแลมากกว่าลูกเมียอื่น จึงไม่เกเร เรียนเก่ง พอให้พ่อชื่นใจบ้าง

เมื่อประมาณหนึ่งปีก่อน ได้แนะนำให้เขาบวช ในโครงการบวชพระแสนรูปทุกตำบลทั่วไทย 49 วัน พอสึกออกมาเขาก็เลิกเหล้า และเข้าวัด นั่งสมาธิ ถือศีล ทำทาน เขาดีขึ้นมาก และก็รู้สึกตัวแล้วว่า ทำให้ชีวิตตัวเองผิดพลาดไม่พอ ยังทำให้ชีวิตของ เมียและลูกผิดพลาด ไร้ความสุขไปด้วย แต่ก็สายเกินกว่าที่จะแก้ไขได้แล้ว ได้แต่เสียใจ แต่สายน้ำไม่ไหลกลับ ฉันท์ใด ชีวิตก็ไม่หวนกลับมาฉันท์นั้น

เขาเสียใจมากๆถึงกับหลั่ง น้ำตาร้องไห้ สะอึกสะอื้น ตอนนี้ก็ได้แต่แก้ไขให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น แต่ชีวิตของลูกๆพังไปแล้ว เพราะเขาเป็นพ่อที่เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจตัวเอง ทำตามใจตัวเองเป็นใหญ่ เห็นแก่ความสนุกสนาน ไม่นึกถึงชีวิตจิตใจของลูกๆ ไม่ได้สอนและใกล้ชิดเขาเลย เลี้ยงแบบปล่อยให้พวกเขาโตขึ้นมาเองและไม่ได้รดนำพรวนดินให้ปุ๋ยใดๆ

จะเห็นว่าชีวิตของน้องชาย ถ้าตอนที่เขาเพิ่งเรียนจบมา เขารู้จักตั้งเป้าหมายของชีวิตว่า เขาจะมีชีวิตแบบไหน เขาจะทำงานเลี้ยงตัวเองมีอาชีพอะไร ต้องสร้างฐานะอย่างไร มีเมียแบบไหน มีลูกกี่คน และไม่ปล่อยตัวคบเพื่อนสนุกสนานไร้สาระ ชอบคนประจบสอพลอ พากัน กินเหล้าจนติดแบบนี้ รู้จักควบคุมตัวเองให้ดำเนินชีวิตในทางที่ดี มุ่งสู่เป้าหมายของชีวิต ทำอะไรทำจริง ฐานะและสุขภาพของเขา รวมทั้งความสุขของครอบครัวและตัวเขาเองต้องดีกว่านี้เป็นร้อยเท่า

และอยากจะขอบอกกับใครก็ตามที่คิดจะเอาลูกกลับมาช่วยงานบ้าน ถ้ากิจการตัวเองไม่ใหญ่โตพอหรือมีหลายกิจการ ให้เอาลูกมาช่วยงานแค่คนเดียว ไม่เกินสองคนก็พอ เอามาหลายๆคน สุมหัวกินกับกงสี พอพ่อแม่ตายจากไป มักจะแตกกัน แบ่งมรดกกันแล้วเหลือคนละไม่เท่าไหร่ เอาตัวไม่รอด ไม่มีอาชีพ จะตั้งตัวใหม่ก็ช้าไป ให้คนอื่นๆที่เหลือไปหางานทำ ตั้งตัวเอง สร้างอาณาจักรของเขาเอง เราแค่คอยให้คำปรึกษา หรือช่วยเหลือเมื่อจำเป็น เมื่อเราตายไปเขาก็ยังมีกิจการที่เป็นของตัวเอง เอาตัวรอดได้

By sri123: บางเรื่องก็เห็นตรงเห็นแย้งนะ มีเป้าหมาย ก็เสมือนมีแนวทางชีวิต แต่ก็อย่างว่า ความต้องการของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุดค่ะ มีเป้า ก็อาจจะเปลี่ยนเป้าได้อีก เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามกิเลสที่ต่างคนต่างมี บางคนมีเป้าแค่ว่า แค่มีครอบครัวที่อบอุ่น มีความสุข แต่เป้าเนี่ย มันก็ไม่ใช่ของคนคนเดียวแล้วไง เพราะมันกลายเป็นเรื่องของคนสองคน ก็เลยคิดว่า อยู่กับปัจจุบัน ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แบบนั้น ... จะได้ไม่เสียใจกับทุกการกระทำนะคะ

By kimeng suk: ขอบคุณค่ะคุณศรี ที่ให้ความคิดเห็นที่ดีมีเหตุมีผลมาตลอด คนเรามีความคิดเป็นของตัวเอง มีสิทธิ์ที่จะเห็นด้วยไม่เห็นด้วย การแสดงความคิดเห็นออกมาก็เป็นการให้ข้อคิดเห็นอีกมุมมองหนึ่ง สำหรับท่านผู้อ่านเป็นสิ่งที่ดีที่น่ายกย่องมาก เพราะหลายความคิดย่อมทำให้ผู้อ่านได้ประโยชน์มากขึ้นค่ะ

การแสดงความคิดเห็นที่ดีก็ควรจะเคารพความคิด ความเชื่อ ความศรัทธาของผู้อื่น และให้เกียรติเขาด้วยตามวิสัยของปัญญาชน มีบางคน พอคนอื่นเขามีความเชื่อ หรือเคารพในสิ่งที่ตัวเองไม่เชื่อ ไม่ศรัทธา ก็ไปหาว่าเขาโง่งมงาย ด่าเขา นั่นเป็นการล่วงล้ำสิทธิ์ส่วนตัวของผู้อื่น และเป็นคนพาลสันดานหยาบค่ะ

By mamiya: ถูกต้องที่สุดครับ อยู่กับปัจจุบัน ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร มีสิ่งใดมาเปลี่ยนแปลงชีวิตเราอีก


เรื่องเชยๆในวันแต่งงาน
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค

เขียนเรื่องเครียดๆมาหลายเรื่องติดๆกัน วันนี้ก็จะเขียนเรื่องเบาๆ อ่านแล้วคลายเครียด ดีไหมค่ะ ใจเราจะได้ไม่เครียดโกรธโมโหตามเรื่องการบ้านการเมืองไปด้วย อ่านเรื่องนี้ ฮอร์โมนของความสุขจะหลั่งออกมา อย่างน้อยๆยิ้มในใจได้ก็ยัง happy, happy and happy แม้จะชั่วแว๊บหนึ่งของชีวิต

เราเป็นแฟนกับสามีตั้งแต่เป็นนิสิตแพทย์ปีที่ 4 สมัยนั้นมีหนุ่มๆนักเรียนแพทย์ มาจีบเราหลายคน แต่ละคนหล่อๆรวยๆทั้งนั้น เพราะหน้าตาเราก็พอไปวัดไปวาตอนสายๆได้ หุ่นดี เอวบางร่างน้อย อ้อนแอ้นอรชร ไม่เป็นตุ่มสามโคก หมีน้อยน่ารักแบบตอนนี้ (คิดถึงหุ่นตอนนั้นกับตอนนี้แล้ว เฮ้อ ตูอยากตาย ) แต่คนเราเมื่อเป็นเนื้อคู่ มันก็คือคู่แล้วไม่แคล้วกัน

ชีวิตรักของเราสองคน ก็หวานแหววแบบนักเรียนแพทย์ทั่วไป แต่ของเราแปลกมากๆ คือผู้ชายเป็นคนเรียน คือแฟนเป็นคนเข้าเรียน เซ็นชื่อเข้าเรียนแทนเรา ในวิชาตอนบ่ายๆ และจดเล็คเซอร์พร้อมก๊อปปี้ เย็นมาก็เอามาส่งให้เราที่หอพัก ส่วนเราทานข้าวกลางวันเสร็จ เล็งดูวิชาไหนอาจารย์ไม่เคร่งครัดเราก็นอนหลับสบายไม่ไปเรียน ตื่นขึ้นมาแฟนก็เอาเล็คเซอร์มาส่งให้ เราหลับเต็มอิ่มแล้ว ก็อ่านและท่องที่เขาจดมาให้ปรากฏว่า สอบทีไรเราได้คะแนนมากกว่าเขาทุกที เพราะเขาฟัง จด แต่อ่านน้อย เราไม่ได้ฟังไม่ได้จด แต่อ่านมากกว่า ฮา ฮ้า เราเก่งกว่า ขี้เกียจกว่า แต่ชนะทุกที เห็นมั๊ย

พอเป็นแพทย์ฝึกหัดเกือบจะจบก็จัดงานแต่งงานที่บ้านของเรา ต่างจังหวัด เตี่ยแม่ดีใจมากที่ลูกสาวคนเดียวที่เป็นหมอได้แต่งกับหมอด้วยกัน เป็นหน้าเป็นตาของเตี่ยกับแม่ เลยร่วมกับพ่อแม่สามี จัดการแต่งงานให้ใหญ่โตมาก เลี้ยงโต๊ะจีนเกือบร้อยโต๊ะ มีการเลี้ยงเหล้าฝรั่ง อย่างดี ราคาขวดละหลายสตางค์ อาหารอย่างดี มีการเลี้ยงแพะตุ๋นแบบคนไหหลำด้วยนะ ซึ่งที่บ้านทำได้ขึ้นชื่อว่าอร่อยมาก งานนี่คนมางาน ตั้งใจมากินแพะตุ๋นกับเหล้าฝรั่งกันมากกว่ามางานแต่งงาน สงสัยกินดื่มกันอร่อย จนลืมดูเจ้าบ่าวเจ้าสาวว่าหล่อไหมสวยไหมไปด้วยซ้ำ เอ้า ดื่ม ดื่ม ดื่ม กิน กิน กินเข้าไป จนเมาเป๋ แย่งกันพูดไม่มีใครฟังใคร เสียงดังโดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟน แต่ก็ถือว่าเป็นงานแต่งที่ดังมากของจังหวัดนั้นเลยละ แต่ถ้าเป็นสมัยนี้เราจะเลี้ยงแค่น้ำหวานหรือน้ำเปล่าก็พอ ไม่เลี้ยงเหล้า เสียดายเงินนะ

วันแต่งเจ้าสาวต้องตื่นแต่ตีสี่ ลุกขึ้นมาไหว้เจ้า ทั้งหมด 7 แห่งในโรงเลื่อย ไหว้และก็ไหว้ กว่าจะเสร็จก็เกือบหกโมงเช้า เจ้าสาวโทรมสุดๆ หน้างอเป็นม้าหมากรุก แล้วก็ต้องไปแต่งหน้าทำผม เตรียมเข้าพิธีหมั้นในตอนเช้า ตอนแรกช่างทำผมทักว่า วันนี้ทำไมไม่ยิ้มเลย อย่าหน้างอในวันสำคัญ เราก็เหนื่อยยิ้มไม่ออก แต่พอแต่งหน้าทำผมเสร็จ โอะ แม่เจ้าโวย เทพธิดาองค์ไหนมาจุติ จำตัวเองไม่ได้เลย ช่างทำผมบอกว่าเราสวยมาก แต่งหน้าขึ้น เราดูแล้วขยี้ตาตัวเอง สวยจริงๆนะ สวยขนาดเข้าประกวดนางสาวไทย ได้อันดับรองบ๊วยแน่ๆ เราก็เกิดอารมณ์ดีฉีกยิ้มปากกว้างถึงใบหูไม่ยอมหุบ จากนางแก้วหน้าม้ากลายเป็นเทพธิดาสุดสวย ไม่ปลื้มก็เกินไปละ เราภูมิใจนะที่เกิดมาก็สวยกับเขาอยู่หนึ่งวัน คือวันแต่งงานนี่แหละ

ระหว่างพิธีหมั้น ไอ้ความที่เราเป็นแพทย์ฝึกหัด งานมากอยู่เวรบ่อย จนลืมเตรียมโน่นเตรียมนี่ไว้ เราก็เลยดันลืมบอกเตี่ยให้เตรียมเรื่องแหวนที่จะใส่ให้เจ้าบ่าว หลังจากเขาสวมแหวนหมั้นให้แล้ว แหวนไม่มีก็มองหน้ากันไปมาเลิกลักๆ ไอ้เราก็หน้าจ๋อยเหลือสองนิ้ว ค่อยๆกระซิบบอกแม่ว่าลืมเตรียมไว้ แม่แก้ปัญหาโดยวิ่งไปหยิบแหวนทองแบบคนจีนที่มีตัวอักษรจีนอ่านว่าอะไรไม่รู้ที่หัวแหวนมาให้ เจ้าบ่าวก็เลยได้แหวนหมั้นวงพิเศษ ที่มีคำพิเศษอ่านไม่ออก เราโล่งอกโล่งใจ แก้ผ้าเอาหน้ารอดไปได้ มีแหวนให้เจ้าบ่าวใส่โก้หรูมีภาษาต่างประเทศด้วย เอาไงอีกละ ทองแท้จากเยาวราชเชียวนะ โก้อย่าบอกใคร 5555555

พอถึงตอนกินเลี้ยง เจ้าบ่าวและเจ้าสาวต้องขึ้นกล่าวขอบคุณแขก เจ้าบ่าวกล่าวคนแรก ด้วยมาดเท่สุดๆ ว่า "ข้าพเจ้าและเจ้าบ่าว" ไอ้เราฟังแล้ว เฮ้ย ไม่มีเจ้าสาวนี่ แต่งกับผู้ชายหรือไง เลยใช้ข้อศอกสะกิดสีข้างเจ้าบ่าวแล้วกระซิบบอกว่า เจ้าสาวๆ เจ้าบ่าวทำหน้างงๆ ถามว่าอะไรๆ เราก็บอกว่าพูดว่า เจ้าสาวซิๆ เขาก็พูดใหม่ เสียงดังขึ้นว่า "ข้าพเจ้าและเจ้าสาว" เฮ้อ ค่อยยังชั่ว ดีนะที่ไหวตัวแก้ทัน สงสัยตกตะลึงความงามของเจ้าสาวมากไป

พองานเลี้ยงเลิก เราทั้งสองก็มายืนส่งแขก ที่หน้าบ้าน เชื่อไหมแขกบางคนทั้งหญิงทั้งชายเดินหนีบแขนขวา เดินตัวลีบแขนขวาไม่แกว่ง คล้ายคนเป็น อัมพฤกษ์ ให้เดาซิว่าทำไมเขาถึงต้องเดินแบบนั้น ไม่มีอะไรหร๊อก เขาหนีบเอาเหล้าราคาแพงกลับบ้าน เรายืนมองแล้วก็ขำ เอาไปตรงๆก็ได้ ไม่ต้องซ่อนไว้ใต้เสื้อแล้วหนีบไปหรอก เพราะเราถือว่าให้แล้วก็ให้เลย บางคนยกมือรับไหว้เรา ขวดเหล้าหลุด ตะครุบกันชุลมุนวุ่นวาย ดูแล้วตลกดี

เขียนเรื่องนี้เอาสนุกๆ ไม่มีสาระ แค่จะบอกว่าถ้าเราทำตัวดี ให้พ่อแม่ชื่นชมชื่นใจ พ่อแม่นั่นแหละที่จะทำสิ่งที่ดีที่สุดให้เรา

By ทอนกิด: ชอบตรงที่บอกว่า "แค่จะบอกว่าถ้าเราทำตัวดี ให้พ่อแม่ชื่นชมชื่นใจ พ่อแม่นั่นแหละที่จะทำสิ่งที่ดีที่สุดให้เรา" อึ้งไปเรย กินใจสุดสุด อยากให้คนที่เป็นลูกและกำลังเจริญเติบโตได้อ่านจัง ต่ออะนะหลังแต่งงาน............หวานแค่ไหน


ขับรถชนตำรวจขาขาด...
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค

ลูกพี่ลูกน้องของเราคนหนึ่ง เป็นคนหนุ่มมีอนาคตก้าวไกล ทำงานเป็นนายธนาคารของธนาคารใหญ่แห่งหนึ่ง เงินเดือนมากเอาการอยู่ และอนาคตมีหวังที่จะไปเป็นนายแบ็งค์ใหญ่ เพราะเขาทำงานเก่ง มีหัวคิดก้าวหน้า เจ้านายรักและสนับสนุนเขามาก กำลังจะให้ย้ายไปทำหน้าที่ใหญ่โตขึ้นในสำนักงานใหญ่ แต่อะไรมันก็ไม่เที่ยงแท้แน่นอน อยู่ๆทุกอย่างก็จบสิ้น พังพินาศเพราะการดื่มเหล้า เมามายจนขาดสติ

เขามีนิสัยชอบดื่มสุรา ดื่มมาตั้งแต่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ระยะแรกก็ดื่มน้อยๆ เอาแค่สังสรรค์ เข้าสังคม เขาบอกอยู่เรื่อยๆว่า "ผมไม่มีทางติดสุรา ผมเป็นนายมัน ไม่ใช่มันเป็นนายผม" ตอนนั้นเขายังอายุน้อย เงินเดือนก็น้อย ไม่พอใช้ ตำแหน่งหน้าที่การงานก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ใครก็ไม่รู้จัก เพื่อนก็มีน้อย สังคมก็เลยน้อยตามไปด้วย เขาก็เลยดื่มบ้างไม่ดื่มบ้าง ส่วนมากดื่มเองที่บ้าน เป็นการ warm up ขั้นต้น ของชีวิตคนขี้เมาในอนาคต

แต่พอตำแหน่งหน้าที่การงานสูงขึ้น มีคนรู้จักมากขึ้น ต้องออกไปรับรองแขก ติดต่อลูกค้าและเพื่อนฝูงเกือบทุกวัน ก็ต้องดื่มตามประเพณีของงานเลี้ยง ดื่มเหล้าดีๆ ดื่มได้ไม่อั้นเพราะทางธนาคารที่ตัวเองทำงานเป็นคนจ่าย โดยเบิกเป็นค่ารับรอง ที่นี่ก็หวานหมูสะดือจุ่นนะซิ ทุกคนสนุกสนานเฮฮา กิน ดื่มได้เต็มที่ กินฟรี ดื่มฟรี เอ้าดื่มๆ มาชนแก้วกันหน่อยพวกเรา มา ม๊า มา ดื่มให้ซ่ำทรวงเลยพรรคพวก ไม่ต้องเกรงใจ ของฟรีโว้ย

แต่ที่นี้เหล้าไม่ใช่น้ำเปล่า มันเป็นยาเสพติดชนิดหนึ่ง ที่ถูกกฎหมาย ดื่มทุกวัน มันก็ต้องติดเป็นธรรมดา แม้แต่เทวดาดื่มแบบนี้ก็เสร็จทุกราย กลายเป็นเทวดาขี้เมาตกสวรรค์เหมือนกัน น้องชายคนนี้ก็กลายเป็นคนติดเหล้า ต้องดื่มตอนเย็นหลังเลิกงานจนเมามาย เวลาเมาดีหน่อยไม่โวยวาย เงียบๆซึมๆแต่เดินเป๋ไปเป๋มา

อยู่มาวันหนึ่งเขาไปงานเลี้ยงรับรองลูกค้าธนาคาร ซึ่งแน่นอนก็ต้องมีการดื่มกินกันเต็มที่ พอดึกเมาจนเกือบไม่มีสติ ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน น้องชายคนนี้ขับรถกลับบ้านเอง ระหว่างทาง ก็มีตำรวจจราจร ขี่มอเตอร์ไซค์ซ้อนท้ายกันสองคน ขี่นำอยู่ข้างหน้ารถน้องชาย คนเมาตาลายไม่มีสติ อยู่ๆก็ขับเข้าไปชนตำรวจสองคนนั้นและทับทั้งสองคนอยู่ใต้รถ ชนตำรวจแล้ว คนเมาก็ยังนั่งเฉยไม่รู้เรื่อง ฟุบอยู่กับพวงมาลัย หลับสบาย

มีคนมาช่วยตำรวจสองคนนั้นออกจากใต้ท้องรถ ปรากฏว่า ทั้งสองคนถูกทับขาสองข้างทั้งคู่ อาการสาหัสนำส่งโรงพยาบาล ต้องตัดขาทั้งสองคนทิ้ง และต้องผ่าตัดช่วยชีวิต ต้องอยู่โรงพยาบาลนานเกือบสามเดือน หายดีแล้วกลายเป็นคนพิการทั้งคู่ ต้องออกจากงาน ต้องใส่ขาเทียมทั้งสองข้าง ลูกเมียเดือดร้อนทั้งสองครอบครัว ไม่มีเงินจะใช้ ข้าวไม่มีกิน ลูกไม่มีเงินเรียน ชีวิตและอนาคตอันสดใสของตำรวจทั้งสองและลูกๆดับวูบไปเพราะความเมาของคนๆเดียวแท้ๆ

ทางฝ่ายน้องชาย ก็ถูกตำรวจจับกุมไปขังคุกอยู่นาน ต้องถูกให้ออกจากงานอันทรงเกียรติ กลายเป็นคนที่น่ารังเกียจของหน่วยงานของตัวเอง ตกงานกะทันหันแบบไม่ได้ตั้งตัว แต่ยังดียังพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่เมื่อใช้วิ่งเต้นคดี และจ่ายชดเชยให้ตำรวจทั้งสองแล้วก็เหลือเงินไม่มาก ต้องดิ้นรนลดตัวเองลงมาค้าขายก๊อกๆแก๊กๆ เพื่อให้ชีวิตอยู่รอดไปวันๆ อนาคตของตัวเองและพลอยลามไปถึงลูกๆก็ตกต่ำ ลำบากเลือดตาแทบกระเด็น

แต่ ถึงกระนั้นก็ยังไม่สำนึก กินเหล้าต่อมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายลงเอยด้วยโรคตับแข็ง จะรักษาตัวเองก็ไม่มีเงิน ทำงานก็ไม่ได้ ลูกๆก็ยังเรียนไม่จบ คิดดูซิว่าความทุกข์ของเขาจะมากขนาดไหน ทุกข์คนเดียวไม่พอ ยังพาลูกและเมียมาทุกข์ด้วย

เรื่องนี้บอกว่า เหล้าทำลายเราได้ในพริบตาเดียว เวลากินสนุกมีเพื่อนกินมากมาย แต่เวลาทุกข์ เราทุกข์คนเดียว เพื่อนกินเหล้าหายหมด อนาคตเราพังพินาศ ไม่มีเพื่อนคนไหนจะมาช่วยเรา สังคมก็ไม่มาช่วย อาจจะซ้ำเติมเราด้วยซ้ำ แถมยังพลอยทำให้คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่มาทุกข์ไปด้วย

ฉะนั้นหยุดและคิดสักนิด ถ้าคิดจะกินเหล้าเอามันส์เอาสนุก ต้องตั้งสติให้ดี กินได้แต่อย่าปล่อยให้เราเป็นทาสของมัน รู้จักหยุดอย่าปล่อยให้ติดมันจนเลิกไม่ได้ แต่ดีที่สุดก็เลิกมันไปซะเลย